หน้าเว็บ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Daily Dose 28มีค55

The Daily Dose 28มีค55



(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=1y80HUJwbQQ

รัฐสวัสดิการ เป็นระบบทุนนิยมที่ก้าวหน้าที่สุด

รัฐสวัสดิการ เป็นระบบทุนนิยมที่ก้าวหน้าที่สุด


รายจ่ายสวัสดิการสังคมของรัฐต่อ GDP


ที่มา Bus Tewarit

มีเพื่อนที่เคารพท่านนึง กล่าวว่า
" น่าจะเป็นไปในแนว รัฐสวัสดิการ ซึ่งเป็นไปได้ยากตราบใดที่มนุษย์ยังมีจุดบกพร่องอยู่ รัฐสวัสดิการจะต่างกับทุนนิยม ตรงมีความปลอดภัยในการดำรงชีวิตมากกว่า แต่จะไม่ค่อยมีการพัฒนาเทคโนโลยี"


--------------------------

ผมขออนุญาตเห็นแย้งในคำพูดดังกล่าวดังนี้

1. รัฐสวัสดิการก็ยังเป็นระบบทุนนิยมครับ และเป็นระบบทุนนิยมที่ก้าวหน้าที่สุด เนื่องจากยังเป็นระบบที่รับรองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลอยู่ เพียงแต่จะเพิ่มกิจการที่เป็นการสาธารณะเข้าไป เช่น รัฐวิสาหกิจต่างๆที่มีการเข้มข้นขึ้นครับ


2. สิ่งสำคัญอีกอย่างของรัฐสวัสดิการที่บอกว่ามันคือระบบทุนนิยมที่มีความก้าว หน้า เพราะความมั่นคงในระบอบรัฐสภาและความเป็นประชาธิปไตยที่มีอัตราการรวมตัวของ คนงาน(ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในสังคม) และการเจรจาต่อรองมากขึ้น นี่เป็นการสะท้อนความก้าวหน้าของ
"ระบอบประชาธิปไตย" ในสังคมครับ อย่างเช่นประเทศในแถบแสกนดิเนเวียครับที่มีอัตราการจัดตั้งสหภาพแรงงานกว่า 60 % ส่งผลให้สวัสดิการสูง

3. การบอกว่าประเทศทุนนิยมที่เป็นรัฐสวัสดิการ
"ไม่ค่อยมีการพัฒนาเทคโนโลยี" นั้นอาจเป็นการเข้าใจที่ค่อนข้างผิดครับ เพราะส่วนมากประเทศที่เป็นรัฐสวัสดิการกลับทำในสิ่งตรงข้ามครับ เนื่องจากอุตสาหกรรมที่เป็นแรงงานเข้มข้น(ใช้เทคโนโลยี่น้อย)กลับเป็นประเทศ ที่มีสัดส่วนรายจ่ายต่อสวัสดิการสาธารณะน้อยครับ ในขณะที่ตรงข้าม ประเทศอย่างสแกนดิเนเวีย เยอรมัน ญี่ปุ่น ฯลฯ ที่เป็นผู้ส่งออกเทคโนโลยี่ กลับมีสัดส่วนรายจ่ายสังคมสาธารณะสูง ซึ่งสูงจากมาตรฐานที่ OECD องค์การความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา ประเมินไว้ ประเทศเหล่านี้ก็จัดอยู่ในประเทศรัฐสวัสดิการ

4. การตั้งสมติฐานว่า
"..มนุษย์ยังมีจุดบกพร่องอยู่.." อันนี้ค่อนข้างจะไม่ยอมรับในคุณค่าเรื่อง "ความเสมอภาค" หลักการ One Man One Vote หรือไม่ครับ ซึ่งเป็นคุณค่าพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตยครับ คือถ้าเราเชื่อมั่นในการเลือกตั้งเชื่อมั่นในดุลยพินิจของทุกคน มนุษย์ทุกคน Good ครับ ถ้าเราตั้งสมติฐานว่ามนุษย์โดยรวมไม่ Good แล้วเราก็คงไม่ยอมรับเสียงทุกคนที่เท่าเทียมกันครับ

5. เอาเข้าจริง
"ประชานิยม" ก็เป็นหน่ออ่อนของ "รัฐสวัสดิการ" เพียงแต่ยังพูดแต่เรื่องสิ่งที่รัฐให้ แต่ยังไม่พูดถึงการระดมทรัพยากรของรัฐ เช่น ภาษีทางตรงในอัตราก้าวหน้า เพื่อนำมาจัดสรรสวัสดิการให้กับสังคม และการรวมตัวต่อรองของคนในสังคมด้วยครับ
ด้วยความเคารพครับ :)

** เพิ่มเติม

ภาพด้านบนเป็นภาพรายจ่ายสวัสดิการสังคมของรัฐต่อ GDP ครับ ที่มา OECD หรือองค์กรความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา อ้างถึงใน http://news.bbc.co.uk/2/shared/spl/hi/pop_ups/05/business_comparing_welfare_states/html/2.stm
จะเห็นประเทศอย่างในแสกนดิเนเวียที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐสวัสดิการมีอัตราส่วน ในรายจ่ายสังคมสาธารณะต่อ GDP สูงมาก ในขณะที่ประเทศที่อยู่ใน OECD แต่มีความเข้มข้นของค่าใช้จ่ายด้านสังคมต่ำคือ ประเทศเกาหลีและเม็กซิโก (ประมาณร้อยละ6-7 ของ GDP) ซึ่งประเทศเม็กซิโกนั้นถือว่ามีรายได้ต่อหัวใกล้เคียงกับประเทศไทยและถือว่า รายได้ต่อหัวต่ำที่สุดในกลุ่มสมาชิก OECD แต่ก็ยังมากกว่าไทยถึง 3 เท่าคือไทยจ่ายเพียง 2.3 ของ GDP (โดยค่าเฉลี่ยรายจ่ายสังคมสาธารณะในประเทศที่อยู่ใน OECD จะอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท) 


(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.com/

อินโดฯประท้วงเดือด"น้ำมันแพง"บานปลายเป็นเหตุจลาจลทั่วประเทศ

อินโดฯประท้วงเดือด"น้ำมันแพง"บานปลายเป็นเหตุจลาจลทั่วประเทศ

 

Student demonstration and clashes March 27, 2012. Jakarta Indonesia

http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=ubV2MJjDbk4 



ตำรวจอินโดนีเซียใช้กำลังสลายกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาประท้วงต่อต้านแผนขึ้นราคาน้ำมันของรัฐบาล


ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาและปืนใหญ่ฉีดน้ำใส่ผู้ประท้วงหลายพันคนที่ชุมนุม คัดค้านการขึ้นราคาน้ำมันในกรุงจาการ์ตา หลังจากผู้ประท้วงบางส่วนใช้ความรุนแรง ขว้างก้อนหินใส่ตำรวจ ปิดถนนและจุดไฟเผาสิ่งกีดขวาง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน โฆษกตำรวจอินโดนีเซียคาดว่า มีผู้ชุมนุมทั่วประเทศมากกว่า 80,000 คน ขณะที่รัฐบาลเตรียมนำเรื่องดังกล่าวหารือในรัฐสภาวันพฤหัสฯนี้

ผู้ใช้รถยนต์ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่า 240 ล้านคน และถือเป็นประเทศผู้นำเข้าน้ำมันดีเซลและแกสโซลีน รายใหญ่ที่สุดในเอเชีย ปกติจะจ่ายเงินค่าน้ำมันน้อยกว่าประเทศอื่นๆในเอเชีย เนื่องจากนโยบายให้เงินอุดหนุนกองทุนน้ำมันของรัฐบาลที่ใช้มานานหลายสิบปี  ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันของอินโดนีเซียมีราคาต่ำกว่าราคาตลาดกว่าครึ่ง


การประท้วงมีขึ้นท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ โดยที่กรุงจาร์กาตา ต้องใช้ตำรวจมากถึง 22,000 นาย ขณะที่สมาชิกรัฐสภากำลังอภิปรายแผนของรัฐบาลที่จะเลิกอุดหนุนราคาน้ำมัน เนื่องจากราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งหากรัฐสภาบรรลุข้อตกลง ก็จะทำให้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในสัดส่วน 1 ใน 30 โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันอาทิตย์นี้ และคาดว่าจะทำให้ราคาสินค้าและบริการต่างๆปรับเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 7


การอุดหนุนราคาน้ำมันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ชาวอินโดนีเซียสามารถใช้น้ำมันราคาถูก ประมาณ 2 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อ 1 แกลอน หรือประมาณ 16 บาทต่อ 1 ลิตร  โดยปีที่แล้ว รัฐบาลต้องใช้เงินอุดหนุนถึง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณร้อยละ 20 ของงบประมาณบริหารประเทศ และก่อให้เกิดการขาดดุลงบประมาณ ที่อาจเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าน่าจะนำเงินก้อนนี้ไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษาและสาธารณสุขมากกว่า
  
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332926034&grpid=&catid=06&subcatid=0600

ความจริง"ไล่ล่า" "พลัง"แห่ง"กรรม" ครบรอบ 2 ปี 98 ศพ

ความจริง"ไล่ล่า" "พลัง"แห่ง"กรรม" ครบรอบ 2 ปี 98 ศพ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 







ตัวเลขเป็นทางการของผู้เสียชีวิต ผู้เสียหายจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองระหว่างปี 2548 ถึงปี 2553 มีจำนวนทั้งหมด 2,369 คน เสียชีวิต 102 ราย บาดเจ็บและทุพพลภาพ 2,267 คน

มากสุดในปี 2553 จำนวน 98 ราย จาก เหตุการณ์ระหว่างเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.ปี 2553

ที่กำลังจะครบ 2 ปีในเดือนหน้า

ในจำนวนนี้ รวมถึง นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่น และ นายฟาบิโอ โปเลงกี ช่างภาพชาวอิตาลี

ทั้งหมดนี้ คือผู้อยู่ในข่ายได้รับการเยียวยา ตามมติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2555

ซึ่ง ส.ส.จากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นรัฐบาลขณะเกิดเหตุ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองให้ระงับการจ่ายเงิน พร้อมกับขอให้ไต่สวนฉุก เฉิน เพื่อขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ระงับจ่ายเงินไว้ก่อน

ศาลปกครองเมื่อวันที่ 9 มี.ค. มีคำสั่งไม่รับคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน

เหตุผล ในการขอให้ศาลปกครองระงับจ่ายเงินเยียวยา จากผู้ทรงเกียรติแห่งพรรค การเมือง เป็นแนวคิดเดียวกับที่แพร่สะพัดอยู่ตามโซเชียลมีเดียต่างๆ

นั่นคือ เป็นการจ่ายเงินไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย ไม่เสมอภาค

หากเสมอภาคต้องจ่ายเงินให้กับเหยื่อพฤษภาทมิฬ 2535 ด้วย

เป็นการนำเงินภาษีของประชาชนมาจ่ายให้กับผู้ชุมนุมที่ทำผิดกฎหมาย 


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332922798&grpid=&catid=02&subcatid=0202

"ปู"บอกฝ่ายค้านฟังเสียงข้างมากให้เคารพในกติกา ไม่ปฏิเสธมีแนวโน้มออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม

"ปู"บอกฝ่ายค้านฟังเสียงข้างมากให้เคารพในกติกา ไม่ปฏิเสธมีแนวโน้มออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม

 


 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ถึงบรรยากาศความวุ่นวายในการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อขอมติให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณารายงานการสร้างความปรองดองของกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาแนว ทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ว่า ส่วนตัวมองว่าทุกคนต้องการของการหารือปรองดองได้รับฟังความคิดเห็นจากทุก ฝ่ายทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะกติกาของเสียงส่วนใหญ่เราก็ต้อง เคารพ แต่แน่นอนก็ต้องให้เกียรติเสียงส่วนน้อยด้วย ยืนยันว่าสภาเป็นศูนย์รวมที่ดีที่สุดที่จะมาหารือกันถึงทางออกของประเทศใน เรื่องของความปรองดองในสภาก็จะมีทั้งเสียงที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถือเป็นครรลองที่ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่เป็น ประชาธิปไตยอย่างถูกต้อง สภาจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะได้ใช้กลไกของระบอบประชาธิปไตยในการหา ทางออกของประเทศ เพราะว่าในขั้นตอนของการหาทางออกของประเทศคงต้องมีหลายขั้นตอนที่ต้องทำกัน ไม่ใช่แค่ว่าวันนี้ก็จะจบแล้ว จากนี้ก็ต้องมีในรายละเอียดว่าจะเป็นอย่างไร

เมื่อถามว่านข ฝ่ายค้านกังวลว่าจะนำไปสู่การนิรโทษกรรมจะชี้แจงอย่างไรไม่ให้เกิดความ เคลือบแคลง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับข้อสงสัยนี้ก็จะเห็นว่าในส่วองสภาก็เป็นการเสนอเพื่อพิจารณาของสภา ร่วม ซึ่งประกอบไปด้วย ส.ส.และส.ว. หลายท่านอาจจะบอกว่าทางพรรคเพื่อไทยมีเสียงส่วนใหญ่แต่จริงๆ แล้วถ้าดูเสียงที่ออกมาจะมีเสียงของ ส.ว.ด้วย ประกอบกันก็ถือเป็นองค์ประกอบที่ครบทุกท่านที่อยู่ในสภาก็เป็นตัวแทนของ ประชาชนจากทั่วประเทศจริงๆ จากการเลือกตั้ง ส.ว.ก็มีทั้งที่มาจากส่วนของการเลือกตั้งและการแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิก็ เชื่อว่าตรงนี้เป็นกลไกที่จะมีการรวมทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เราก็น่าใช้เวทีนี้ร่วมกันถกทางออ

 

(อ่านต่อ)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332921688&grpid=&catid=03&subcatid=0305

คลิปกิจกรรมใจถึงใจฝากสายใยผ่านลูกกรง

คลิปกิจกรรมใจถึงใจฝากสายใยผ่านลูกกรง




เว็บไซต์ เสรีชน ดอทคอม (www.serichon.com) และผู้รักความเป็นธรรมได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น เพื่อร่วมแรง และร่วมส่งกำลังใจ มอบให้นักโทษการเมืองเสื้อแดง ภายใต้ชื่อโครงการ 
ใจถึงใจ ... ฝากสายใย ... ผ่านลูกกรง "
(
เพราะเรา .. รักกัน .. มากพอ )

ในวันพุธ ที่ 28 มี.ค. 55 ตั้งแต่เวลา 11.00 น.-15.00 น. ณ เรือนจำพิเศษ หลักสี่ (ร.ร.พลตำรวจบางเขนเก่า) 

กิจกรรม ภายในงาน
ร่วมกันจัดและนำส่งอาหารมื้อเที่ยง ให้เพื่อนๆในเรือนจำ :

: " Mini Concert " 
โดย วงไฟเย็น / คุณ อู๋ เสรีชน /
คุณ แป๊ะ บางสนาน / คุณอเล็ก :
ตลกเสื้อแดง จัมโบ้ // อ.หวาน ฯลฯ :
กิจกรรม " ตู้ไปรษณีย์ ใจถึงใจ " :
(ร่วมกันเขียนการ์ด ส่งกำลังใจ หรือ บทกลอนจากใจ ส่งไปให้เพื่อนเรา )

เลี้ยงพี่น้องหน้าเรือนจำ28มีค55

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=-wUsvYxOWbw&feature=player_embedded

แมลงสาปเถื่อน"ป่วนสภา" คุกคาม"ตะโกนด่าบิ๊กบังผู้มีพระคุณ"ทรราชย์"(มีคลิป)

แมลงสาปเถื่อน"ป่วนสภา" คุกคาม"ตะโกนด่าบิ๊กบังผู้มีพระคุณ"ทรราชย์"(มีคลิป)

 

ภาพขณะพลพรรคแมลงสาปกำลังรุมทึ้ง... "บังสนธิ"


Posted Image

Posted Image


(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=DT-TWCHlB7k

ดูกันจะจะ! ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายและลีลา"พล.อ.สนธิ" ถูกฝ่ายค้าน-ส.ว.บางกลุ่มล้อมกรอบถล่มหนัก

 

ภาพเหตุการณ์ความวุ่นวายและลีลาของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ ในฐานะประธานกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางปรองดองแห่งชาติ  ระหว่างถูกฝ่ายค้านและ ส.ว.บางกลุ่มล้อมกรอบและถล่มหนักกลางที่ประชุมร่วมรัฐสภา กรณีการเสนอรายงานผลการศึกษาแนวทางปรองดองฯ เมื่อค่ำวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา

 

(ที่มา) 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1332923487&grpid=&catid=03&subcatid=0305

'มาร์กาเร็ต'ภรรยาป๋วย อึ๊งภากรณ์ เสียชีวิตแล้ว–บทบันทึกจากลูกชายคนเล็ก ‘ใจ อึ๊งภากรณ์’

'มาร์กาเร็ต'ภรรยาป๋วย อึ๊งภากรณ์ เสียชีวิตแล้ว–บทบันทึกจากลูกชายคนเล็ก ‘ใจ อึ๊งภากรณ์’

 

 

"ขอร่วมไว้อาลัย และร่วมแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง กับการจากไปของคู่ชีวิต ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์"


สตรีผู้ทำหน้าที่เคียงข้างด้วยความเข้าใจ และเต็มไปด้วยความรักต่อครอบครัวถึงที่สุด"


ขณะที่ นายใจ อึ๊งภากรณ์ หนึ่งในบุตรชายของนายป๋วยและนางมาร์กาเร็ต ได้เขียนเล่าประวัติชีวิตของมารดาผู้เพิ่งจากไปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า


มาร์กาเร็ด อึ๊งภากรณ์ 1919-2012


มาร์กาเร็ดเกิดในตระกูลที่เน้นอุดมการณ์ แต่เป็นความเชื่อและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน
คุณตาเป็นครูสอนศาสนานิกายกระแสรองที่ปฏิเสธ ความหรูหรา ในช่วงท้ายๆ ของชีวิต คุณแม่ของมาร์กาเร็ดเป็น "คเวเคอร์" พ่อของมาร์กาเร็ดเป็นคนอนุรักษ์นิยมรักชาติที่อาสาไปรบในสงครามโลกครั้งที่ หนึ่ง ซึ่งทำให้แม่ของมาร์กาเร็ดต่อต้านสงคราม


มาร์กาเร็ดเติบโตที่ลอนดอนทางใต้ใกล้ๆ แม่น้ำเทมส์ เขาจะเล่าว่าตอนเด็กๆ จะไปเล่นตามสวนและทุ่งในพื้นที่จนรู้จักดอกไม้ธรรมชาติหลายชนิด


มาร์กาเร็ดเข้าโรงเรียนสตรีเซนต์พอลส์ ซึ่งตอนนั้นมีอาจารย์เป็นเฟมินิสต์ และครูเหล่านั้นมีอิทธิพลกับมาร์กาเร็ดเป็นอย่างมาก


มาร์กาเร็ดเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและแน่วแน่ ในความคิด และเขาเป็นคนกล้าหาญ เขากล้าหาญในสองเรื่องใหญ่คือ เรื่องที่หนึ่งคือ กล้าแสดงจุดยืนต้านสงคราม โดยที่ไม่ยอมทำงานช่วยรัฐบาลอังกฤษในการทำสงครามโลกครั้งที่สอง และเลือกไปทำงานสังคมสงเคราะห์แทน


เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาที่เป็นผู้ชายและต้านสงครามจะติดคุกเพราะไม่ ยอมไปรบ มาร์กาเร็ดต่อต้านสงครามตลอดชีวิต เขาไปร่วมประท้วงใหญ่กับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งจากยุคมหาวิทยาลัย เพื่อต่อต้านสงครามอิรักในปี 2003 ตอนนั้นเขาอายุ 84


ในเรื่องที่สอง มาร์กาเร็ดกล้ารักเพื่อนนักเรียนคนที่ชื่อป๋วย ซึ่งเป็นคนไทย สองคนพบกันที่มหาวิทยาลัยลอนดอน หลังสงครามโลกมาร์กาเร็ดกล้าตัดสินใจเดินทางไปอีกซีกหนึ่งของโลก เพื่อไปใช้ชีวิตในประเทศไทยที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาตั้งใจเรียนภาษาไทยจนอ่านและพูดได้


มาร์กาเร็ด เป็นนักสังคมนิยมประชาธิปไตย ตอนที่เขาเรียนที่มหาวิทยาลัย เขาได้รับอิทธิพลจากเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับ ส.ส.ฝ่ายซ้ายของพรรคแรงงาน


มาร์กาเร็ดไม่ใช่มาร์คซิสต์ แต่ในช่วงแรกๆ เขาไม่ยอมเป็นสมาชิกพรรคแรงงาน เพราะมองว่าไม่ซ้ายพอ เขาพึ่งมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคแรงงานในช่วงท้ายของชีวิต ในยุคนายกแทชเชอร์ มันเป็นการแสดงจุดยืนต้านแทชเชอร์และพรรคพวก


อย่างไรก็ตามเขาจะพูดเสมอว่าพรรคแรงงานถูก ทำลายไปหมดโดยโทนนี่ บแลร์ เขาเกลียดแนวเสรีนิยมและทัศนะมือใครยาวสาวได้สาวเอาของพวกกลไกตลาดและฝ่าย ขวา เขาคัดค้านการแปรรูปรัฐสวัสดิการ และบ่นว่า "พวกใส่ซูด" คุมอำนาจเพื่อความโลภ


เขารักประเทศไทยและอาศัยอยู่ในไทยหลายๆ ปี แต่เขาเกลียดทหารเผด็จการที่ชอบแทรกแซงการเมืองไทย เกลียดการโกงกินคอร์รัปชั่น และการที่ผู้น้อยต้องหมอบคลานต่อผู้ใหญ่ เขามองว่าทุกประเทศควรเป็นสาธารณรัฐ


มาร์กาเร็ด ไม่เชื่อในศาสนาและเกลียดความงมงายทุกชนิด ที่บ้านซอยอารีเขาจะรื้อศาลพระภูมิทิ้ง แต่เขามองว่าลูกๆ ควรเรียนรู้เรื่องศาสนาต่างๆ แล้วตัดสินใจเอง
มาร์กาเร็ด รักธรรมชาติ รักการอ่านหนังสือ สนใจประวัติศาสตร์และประเด็นทางสังคม เขารักดนตรีของ Beethoven

ถ้าเขารู้ว่าผมเขียนบทความนี้เกี่ยวกับเขา เขาคงจะต่อว่าผมด้วยความรำคาญ


(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/03/39845