หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ประเทศไทยประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ประเทศไทยประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน 

 


 
ทหารและกองทัพเป็นกาฝากในงบประมาณภาษีประชาชน และกอบโกยเอาทรัพยากรส่วนรวม มาเป็นผลประโยชน์ของนายทหารระดับใหญ่ๆ โดยบทบาทหน้าที่ของทหารที่ผ่านมา ทหารไม่เคยต่อสู้เพื่อปากท้องหรือเสรีภาพของประชาชนเลย แต่กลับเป็นผู้ปราบปรามและถ่วงความก้าวหน้าของประชาธิปไตยมากกว่า

โดย ฮิปโปน้อย บรมสุขเกษม 


เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าระบบการเมืองในประเทศไทยนั้น มักจะถูกทหารแทรกแซงอยู่ตลอด กองทัพเป็นหนึ่งในกลไกรัฐที่สำคัญในการปราบประชาชน บางประเทศรัฐสภามีอำนาจสั่งการเหนือกองทัพ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว กองทัพอยู่เหนือการเมืองเสมอด้วยเหตุผลที่ว่า

ทหารใช้อำนาจที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตย มาเป็นเงื่อนไขในการยึดอำนาจประชาชนได้เสมอ โดยทหารมักอ้างว่าถ้าหากไม่อยากให้มีการปฏิวัติ รัฐบาลก็อย่าสร้างเงื่อนไขในการปฏิวัติ

ยกตัวอย่างเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในวันที่ 19 กันยายน 2549 การการยึดอำนาจรัฐประหาร โดย คณะปฏิรูประบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อันเป็น ประมุข (คปค.) ที่นำโดย พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้เป็นหัวหน้าในการทำรัฐประหาร และในการทำรัฐประหารในครั้งนี้สำเร็จได้โดย ไม่มีการเสียเลือดหรือเกิดเหตุการณ์จลาจล แม้ว่าทางฝ่ายทหารจะเอารถถังออกมาข่มขวัญกลางกรุงก็ตาม

แล้วการทำรัฐประหารครั้งนี้ สื่อมวลชนกระแสหลักพยายามทำให้ประชาชนหลงประเด็นคือ สื่อช่วยสร้างภาพให้กับการทำรัฐประหารว่ามีความชอบธรรม เป็นการทำรัฐประหารที่สุภาพ ทหารเองก็เป็นมิตรกับประชาชน ที่ทหารทำเพียงแต่ยื่นมือมาช่วยประเทศชาติ ในช่วงที่เกิดวิกฤติบ้านเมือง ซึ่งเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าการทำรัฐประหารนั้นจะเสียเลือดหรือไม่เสียเลือด ทหารก็ไม่สมควรจะยึดอำนาจ และที่สำคัญที่สุดทหารไม่มีสิทธิ์และความชอบธรรมใดๆ เพราะทหารจะต้องไม่มีอำนาจเหนือกว่าประชาชนในรัฐ

ในทุกครั้งที่เกิดรัฐประหาร ทหารมักอ้างความชอบธรรมต่างๆนานา ในการทำรัฐประหาร การทำรัฐประหารทุกครั้ง มักจะอ้างว่าเกิดจากการทุจริตคอร์รัปชั่น เกิดวิกฤติปัญหาที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ดังนั้นทหารจึงจำเป็นต้องมาบริหารประเทศแทน ซึ่งข้ออ้างที่ทหารจะนำมาใช้เป็นวาทกรรมนั้น ก็แล้วแต่สถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น ทหารชอบอ้างว่านักการเมืองคอร์รัปชั่นโกงกิน แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อทหารเข้ามาคุมอำนาจทางการเมืองแล้ว ทหารก็หาผลประโยชน์ไม่ต่างอะไรจากนักการเมืองด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเงินเดือน เบี้ยประชุม การนั่งในตำแหน่งสำคัญของรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่การอุปโลกน์สร้างองค์กรมาเพื่อของบและเบี้ยประชุม ซึ่งคอร์รัปชั่นกันหนักกว่าเก่าอีก

และอีกประเด็นหนึ่งคือ ทหารและกองทัพเป็นกาฝากในงบประมาณภาษีประชาชน และกอบโกยเอาทรัพยากรส่วนรวม มาเป็นผลประโยชน์ของนายทหารระดับใหญ่ๆ โดยบทบาทหน้าที่ของทหารที่ผ่านมา ทหารไม่เคยต่อสู้เพื่อปากท้องหรือเสรีภาพของประชาชนเลย แต่กลับเป็นผู้ปราบปรามและถ่วงความก้าวหน้าของประชาธิปไตยมากกว่า

งบประมาณทหารนั้นมากกว่ากระทรวงศึกษาและกระทรวง สาธารณะสุขอีก อย่างในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2556 ของกระทรวงกลาโหม ได้ระบุกรอบวงเงิน 180,811,381,800 บาท และถ้าเปรียบเทียบกันกับงบประมาณปี พ.ศ.2555  ซึ่งได้รับงบประมาณ 168,667,373,500 บาท ก็เท่ากับว่ากระทรวงกลาโหมได้งบประมาณมากกว่าเดิมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท 

ว่าด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ว่าด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112




ความกลัวพิษภัยมาตรา 112

ความกลัวพิษภัยมาตรา 112



 


ความกลัวพิษภัยมาตรา 112 นี่มันเป็นเรื่องน่ากลัวจริงนะ และคนที่กลัวก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดหรือผิดปกติ

กูก็กลัวจะถูกคุกคาม, ถูกคนแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 112, ถูกส่งเข้าคุกโหดเมืองไทย, หรือถูกกลั้นแกล้งคุกคามในคุก จนไม่สามารถทำงานที่อยากจะทำเช่นนี้ได้

จึงต้องแก้ปัญหาความกลัวด้วยการตั้งมั่นเปิดประเด็นปัญหาเมืองไทยและรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112 ที่ต่างแดนเช่นนี้

กูได้รับฟังคนที่เมืองไทยพูดกับกูบ่อยๆ ว่า มีครอบครัว ยังไม่กล้าทำอะไรเรื่องนี้ตรงๆ

แม้คนไทยที่อยู่ต่างแดนที่คุยด้วยจำนวนไม่น้อยยังไม่กล้าพูดเรื่องสถาบันฯ เมืองไทยอย่างเปิดเผย ต่างก็บอกว่า มีครอบครัวอยู่เมืองไทย กลัวกลับเมืองไทยไม่ได้

พวกนักข่าวต่างประเทศในไทย ที่มีภาษีดีกว่าคนอื่นก็ยังกลัว จนไม่กล้าเล่นข่าวกันอย่างตรงๆ ... ถ้าจะเล่นเรื่องมาตรา 112 ก็ต้องเตรียมการถึงขั้นปิดสำนักงานในเมืองไทยแล้วทำสารคดีเรื่องมาตรา 112 ทิ้งทวนเช่นที่สำนักข่าว ABC ของออสเตรเลียทำ หรือที่แอนดรูว์ ทำ แต่ก็ต้องแลกกับอาชีพการงานที่มั่นคง และไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยกันเลยทีเดียว

ข้าราชการ ผู้พิพากษา ตำรวจ ทหาร หรือ สลิ่ม รัฐบาล สส. ต่างก็กลัวมาตรา 112 - กลัวจะถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี

ลึกๆ แล้วพวกสลิ่มก็คงกลัวมาตรา 112 และที่พากันลุกขึ้นมาปกป้องสถาบันกันอย่างคลุ้มคลั่ง ก็เพราะกลัวข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดีกันนี่ล่ะ

ถ้าจะแก้ปัญหาความกลัว ไม่ใช่ลุกขึ้นมาประจานคนที่หวาดกลัว หรือไม่กล้าทำอะไรเพราะความหวาดหวั่นถึงพิษภัยที่จะตามมา

แต่ต้องลุกกันขึ้นมาช่วยกดดันให้กฎหมายตัวนี้ และพรบ. คอมพิวเตอร์ ถูกยกเลิกไปให้ได้โดยเร็วที่สุด เช่นที่คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในเมืองไทยและต่างแดนกำลังทำกันอยู่

ขจัดความกลัวด้วยการรณรงค์ให้มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
ด้วยการเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา
112
ให้ยกเลิก พรบ. คอมพิวเตอร์
ให้แก้รัฐธรรมนูญ
ให้ปฏิรูปเรือนจำ
ให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม
และปฎิรูปวิถีสำนักพระราชวัง
เป็นต้น


ช่วยด่าต่อด้วยว่าเป็นแถลงการณ์ที่ทุเรศและเลวมากๆ

ช่วยด่าต่อด้วยว่าเป็นแถลงการณ์ที่ทุเรศและเลวมาก
 
กระทรวงการต่างประเทศ - Bangkok, Thailand 



Junya Lek Yimprasert
Junya Lek Yimprasert

กระทรวงต่างประเทศทำตัวราวกับว่า ผ่านมา 5-6 ปีแล้วกับเรื่องคดีมาตรา 112 คนต่างชาติยังโง่กันอยู่ ยังเอาข้ออ้างที่ถูกหักล้างไปหมดทุกข้อมานานแล้วเช่นนี้ มาใช้อ้างต่อกรณีพี่สมยศกันอยู่นั่นแหละ

หัดทำการบ้านกันซะทีเถอะ
หัดพูดความจริงและยอมรับความจริงกันบ้างเถอะ
ประชาชนจะได้ให้อภัยและเดินหน้าไปด้วยกันด้วยภารดรภาพกันมากขึ้


สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล 

อ่านแถลงการณ์แก้ตัว ของกระทรวงการต่างประเทศ เรืองคุณสมยศ แล้วบอกตรงๆว่า ทุเรศ มากๆครับ

แล้วอยางนี้ จะถือเป็นความรับผิดชอบของ รัฐบาลได้ไหม ในเมื่ออกในนามกระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาล?

ก่อนอืนนะทีแถลงการณ์บอกว่า กฎหมายหมิ่น มีไว้ลงโทษ คนที่ "spreading false information to incite hatred toward the monarchy" นั้น ผิดข้อเท็จจริงด้วย กฎหมายหมิ่นของไทย ไม่ได้เกียวกับเรือง ว่า information น้ัน false หรือ true เลย คือ ไม่อนุญาตให้มีการพิสูจน์ว่า ข้อมูลหรือสิ่งทีเผยแพร่ จริงหรือไม่จริง เอาความจริง มาโต้แย้ง ไม่ได้

ต่อมา ในย่อหน้า 3 และ 4 ที่พยายามอ้างวา คดียังไม่สิ้นสุด สมยศ มีสิทธิ์อุทธรณ์ และทีผ่านมา สมยศได้รับ fair trial คือดำเนินคดีแบบยุติธรรม โดยเฉพาะทีแถลงการณ์พยายามแก้ตัวเรืองการไมให้ประกันสมยศ

นับว่า ทุเรศ และเลวมากครับ (ไมใช่เรือง ห้ามประกันถึง 10 กวาครั้งเท่านั้น เรื่องพาคุณสมยศ ไปตะลอนๆ ทำไมไม่กล้าเอ่ย?)

(ที่มา)

กไก่ “กองกำลังติดอาวุธ”

กไก่ “กองกำลังติดอาวุธ” 

 


ถ้าเราเข้าใจตรงนี้เราไม่ควรหลงเชื่อว่า “ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศไม่ควรเข่นฆ่าประชาชนคนไทยด้วยกัน” เพราะจริงๆ แล้วกองกำลังติดอาวุธของรัฐไทยมีไว้ปราบปรามประชาชนไทยและทำสงครามกับที่ อื่นพร้อมๆ กัน

โดย ลั่นทมขาว


กองกำลังติดอาวุธคือองค์ประกอบสำคัญของรัฐ เพราะเลนินเคยอธิบายในหนังสือ “รัฐกับการปฏิวัติ” ว่ารัฐไม่เคยเป็นกลาง และเป็นผลพวงมาจากการมีสังคมที่แบ่งเป็นชนชั้น โดยที่รัฐทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกกับการที่ชนชั้นปกครองกดขี่ชนชั้น อื่นๆ ในระบบทุนนิยมซึ่งปัจจุบันเป็นระบบที่มีทั่วโลกในทุกประเทศ ชนชั้นปกครองคือชนชั้นนายทุน แต่ความหมายไม่ได้แปลว่าชนชั้นปกครองประกอบไปด้วยนักธุรกิจอย่างเดียว

เพราะชนชั้นนายทุนคือคนส่วนน้อยที่ควบคุมบริษัทและกลุ่มทุนใหญ่ รวมถึงรัฐวิสาหกิจด้วย และชนชั้นปกครองมีมากกว่าแค่นายทุน มีพวกนายพลในกองทัพ นายตำรวจชั้นสูง คนที่ดำรงตำแหน่งเป็นประมุข คนที่เป็นนักการเมืองโดยเฉพาะคนในคณะรัฐมนตรีและฝ่ายค้าน ข้าราชการชั้นสูงและพวกผู้พิพากษาระดับสูงด้วย คนกลุ่มนี้ร่วมกันแบ่งหน้าที่การงานเพื่อกดขี่ประชาชนคนอื่นที่สังกัดชนชั้น กรรมาชีพ ชนชั้นผู้ประกอบการรายย่อย และชนชั้นกลาง เป้าหมายโดยรวมคือการรักษาระบบทุนนิยมที่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากการทำงาน ของประชาชนธรรมดาเหล่านี้
   
ในยุคก่อนทุนนิยมการขูดรีดหรือการยึดขโมยมูลค่าส่วนเกินจากคนธรรมดา อาศัยกองกำลังติดอาวุธของชนชั้นปกครอง โดยมีการส่งทหารไปปล้นผลผลิตหรือเงินตราจากประชาชน หรือบังคับใช้แรงงาน และการที่เราเรียกว่า “ส่วนเกิน” ก็เพราะมันเป็นส่วนเกินจากผลผลิตหรือมูลค่าที่จำเป็นในการเลี้ยงชีพของคน ธรรมดา ถ้ายึดหรือขโมยมามากกว่านั้น เช่นยึดหมด ประชาชนธรรมดาจะอดตายและไม่สามารถผลิตอะไรให้ชนชั้นปกครองได้อีก
   
ในยุคทุนนิยมการขูดรีดทำเนียนกว่าในอดีต คือมีการกล่อมเกลาให้คนเชื่อว่านายทุน “มีสิทธิ์” กินกำไรจากการทำงานของพวกเรา โดยมีการอ้างว่านายทุนลงทุนของเขาแต่แรก แต่ไม่มีการอธิบายความจริงว่าทุนที่นายทุนนำมาลงทุนนั้นเดิมมาจากการทำงาน ของคนอื่น มันไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาด้วยความชอบธรรมแต่อย่างใด

การกล่อมเกลาแบบนี้ของชนชั้นปกครองอาศัยการคุมสื่อ โรงเรียน และมหาวิทยาลัย เพื่อให้การลักขโมยของนายทุนดำเนินไปอย่างราบรื่น มีการร่างกฏหมายโดยชนชั้นปกครองเองเพื่อสนับสนุนการลักขโมยอันนี้ด้วย เช่นกฏหมายแรงงาน หรือกฏหมายอันว่าด้วยการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่ถ้าเมื่อใดประชาชนลุกฮือไม่พอใจเพราะตาสว่างโกรธแค้น หรือเมื่อใดที่มีการนัดหยุดงาน เราจะเห็นกองกำลังติดอาวุธของชนชั้นปกครองออกมาปฏิบัติการทันทีเพื่อปราบ ปรามพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหาร

พนง.สอบสวนเบิกความ ชี้ “ลุงคิม” เหยื่อกระสุน พ.ค.53 เสียชีวิตจากทหาร

พนง.สอบสวนเบิกความ ชี้ “ลุงคิม” เหยื่อกระสุน พ.ค.53 เสียชีวิตจากทหาร


https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQSYIs-V1xCH9Nnt5UhXDxVMt0AQdCBa3NktImJm4X8jJEvrO9t
ไต่สวนการตาย “ลุงคิม ฐานุทัศน์” เหยื่อกระสุน 14 พ.ค.53 หัวหน้าพนักงานสืบสอบสวน ชี้จาก หัวกระสุน ทิศทางกระสุน เชื่อว่าผู้ตาย เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่ นัดต่อไป 9.00 น. 7 ก.พ.56

6 ก.พ.56 เวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 504 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดไต่สวนชันสูตรพลิกศพ คดีเลขที่ ช.12/2555  ในคดีที่พนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ นายฐานุทัศน์ อัศวสิริมั่นคง อายุ 55 ปี ที่ถูกยิงเข้าที่หลังด้านซ้าย กระสุนทะลุไขสันหลังและปอดขวา กระสุนไปฝังที่สะบักขวา บาดเจ็บสาหัสและเป็นอัมพาต เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 12.00 - 13.00 น. ของวันที่ 14 พ.ค.ถ3 บริเวณหน้าโรงรับจำนำน่ำเลี้ยง ถนนพระราม 4 บ่อนไก่ ช่วงที่มีการกระชับวงล้อมผู้ชุมนุมเสื้อแดงโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ ฉุกเฉิน(ศอฉ.)และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากนั้นนายฐานุทัศน์ ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมาเมื่อ 23 ก.พ. 55 เวลา 22.35 น. ที่ รพ.มเหสักข์

โดยในวันนี้ พ.ต.อ.สืบศักดิ์ พันธุสุระ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ได้เบิกความมีความเห็นโดยเชื่อว่าผู้ตายคือ นายฐานุทัศน์ เสียชีวิตจากการปฏิบัติงานของ เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติงานตามหน้าที่

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2013/02/45171