หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

จิตร ภูมิศักดิ์

จิตร ภูมิศักดิ์


โดย วรศักดิ์ ประยูรศุข


ถ้า จิตร ภูมิศักดิ์ ยังอยู่ จะมีอายุครบ 82 ปี

มี การจัดงานรำลึกถึงไปเมื่อ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กล่าวในงานนี้ว่า จิตรทิ้งมรดกต่างๆ ไว้ให้สังคมไทยมากมาย แต่ด้วยอำนาจของรัฐบาลเผด็จการในยุคต่างๆ ทำให้ชื่อของเขาหายไปจากความรับรู้ของผู้คน 

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

จิตรมีเวลาอยู่บนโลกนี้แค่ 35 ปี (2473-2509) แต่ทำงานราวกับ 100 ปี

จิตรใช้เวลาส่วนหนึ่งเรียนหนังสือที่พระตะบอง, ร.ร.เบญจมบพิตร, ร.ร.เตรียมอุดมศึกษา และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ 

ติดคุก 6 ปี ระหว่าง 2501-2507 โดยไม่มีความผิดใดๆ นอกจากคิดไม่เหมือนรัฐบาลทหารขณะนั้น

พ้นคุกออกมาอยู่ในเมืองไม่เต็มปี ปลายๆ ปี 2508 

เข้าป่าทางอีสาน 

ผลงานต่างๆ ของจิตร สร้างสรรค์ขึ้นระหว่าง เรียน ติดคุก และอยู่ในป่านั่นเอง

เดือน พ.ค.2509 โดนเจ้าหน้าที่ล้อมยิงเสียชีวิตที่ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ผู้เกี่ยวข้องได้บำเหน็จรางวัลมากมาย ได้ไปเที่ยวอเมริกา เลื่อนยศเลื่อนขั้นกันใหญ่ 

สะท้อนถึง "ความกลัว" ของรัฐบาลเผด็จการที่มีต่ออุดมคติ และความคิดความรู้ของจิตร

ความ กลัวนั้นตามหลอน ลากยาวมาถึงระหว่าง 2509 ถึง 2516 อันเป็นช่วงรัฐบาลเผด็จการของ จอมพลถนอม กิตติขจร ทำให้ชื่อของจิตร หนังสือและผลงานของจิตร เป็นสิ่งต้องห้าม 

จนเกิด 14 ตุลาฯ 2516 จึงมีการรื้อฟื้นผลงาน และประวัติของจิตร กลายเป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนนักศึกษาและปัญญาชน

จนกระทั่งรัฐประหารนองเลือด 6 ตุลาฯ 2519 หนังสือและเรื่องราวของจิตรโดนขึ้นบัญชีดำอีกครั้ง 

การเมืองค่อยๆ คลี่คลายไป ทำให้มีการกลับมาสนใจเรื่องราวของจิตรอีกครั้ง 

แต่กระนั้นก็ยังเบลอๆ ค่ายเพลงแห่งหนึ่งเคยทำมิวสิกวิดีโอ เพลงจิตร ภูมิศักดิ์ ของหงา คาราวาน ออกมา 

จิตรในมิวสิกวิดีโอกลายเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ อาจจะเพราะได้ยินเนื้อเพลงตอนต้นๆ ว่า "...เขาตายในชายป่า"

ถ้า จิตรยังอยู่ และไม่แก่เกินไป ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีข้อมูลและการสื่อสารอย่างนี้ เขาน่าจะสนุกกับการค้นคว้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อีกมาก 

แต่นั่นก็เป็นการสมมุติ ในโลกของความจริง "กลุ่มอำนาจ" ไม่ว่ายุคไหน พร้อมใจกันกลัวคนอย่างจิตร 

บีบคั้นจนต้องทิ้งชีวิตในเมืองเข้าป่า แม้ตายยังตามปกปิด ไม่อยากให้คนรู้จัก ไม่พูดถึง ไม่ยกย่อง ไม่เชิดชู 

แม้ว่าผลงานวิชาการ หนังสือ บทกวี เพลง ของจิตร ยังอ้างอิงและตีพิมพ์เผยแพร่อยู่เรื่อยๆ 

นักวิชาการที่มีจุดยืนประชาธิปไตย มักจะต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนั้น อย่างเบาะๆ ก็โดนข่มขู่คุกคาม โดนทำร้าย บุกชกหน้าบ้าง

ต่างจากนักวิชาการอีกแบบ ที่อัดฉีดบำเหน็จรางวัล ตำแหน่ง ลาภยศ เงิน กล่อง ฯลฯ อวยกันไม่ยั้ง 

เพื่อให้ทำตัวเป็น "เฟอร์นิเจอร์" ประดับ "ระบบ" ไปเรื่อยๆ

ดูจากการเมืองวันนี้ คงอีกนาน กว่าสภาพที่ว่านี้จะเปลี่ยนไป 
และหมายถึงตัวชี้วัด สภาพการเมืองของประเทศไทยอีกด้วย
 

(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348751238&grpid=&catid=02&subcatid=0200

พท.ฝุ่นตลบ ลุ้นเสียบมท.1-รองนายก หลังยงยุทธไขก๊อก ดันโผโยกย้ายผู้ว่าฯ2ต.ค. เสริมศักดิ์ปัดเลื่อยขา

พท.ฝุ่นตลบ ลุ้นเสียบมท.1-รองนายก หลังยงยุทธไขก๊อก ดันโผโยกย้ายผู้ว่าฯ2ต.ค. เสริมศักดิ์ปัดเลื่อยขา


 

ตัดก่อนตาย(หมู่) ? เหตุผลที่ "ยงยุทธ" ต้องทิ้งเก้าอี้รองนายกฯ และมท.1

 










 











"ยงยุทธ"ทำบุญวัดสระเกศฯ ก่อนประกาศลาออกเก้าอี้รองนายกฯ-มท.1 ไม่แจงเหตุผลบอกเรื่องส่วนตัว อ้างปรึกษาผู้ใหญ่แล้ว ย้ำทำหน้าที่ หัวหน้าและ ส.ส.ต่อไป "นพดล"ปัด"แม้ว-ปู"กดดัน พท.หวั่นถูกศาล รธน.สอย "เสริมศักดิ์"ปัดเอี่ยวเบื้องหลัง

"ยงยุทธ"ยัน"ปู"ไม่กดดัน

ภาย หลังมีกระแสข่าวจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ต้องการให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ภายหลังถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดร้ายแรงคดีเรื่องสนามกอล์ฟอัลไพน์ เพราะเกรงว่าอาจขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญมาตรา 102

ล่า สุด เมื่อวันที่ 28 กันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยยังคงปฏิบัติภารกิจตามปกติ ในช่วงเช้าได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างคันป้องกันน้ำท่วม ริมคลองรังสิตประยูรศักดิ์ โดยนายยงยุทธกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังไม่ได้สั่งการใดๆ ให้ลาออก และได้พูดคุยกับนายกฯเรื่องนี้มาตลอด พร้อมกันนี้ยืนยันว่า "จะยังเห็นหน้ากันอยู่และผมยังทำงาน ขอแถลงข่าวบ่าย 3 ครั้งเดียวที่วัดสระเกศฯ ผมไม่เครียดอะไร และได้คุยกับนายกฯตลอดทุกวัน และวันที่นายกฯกลับ ผมก็จะเดินทางไปรับด้วยตัวเอง ที่ผ่านมานายกฯไม่เคยโทร.มากดดันและไม่เคยโทร.มาสั่งให้ลาออก" นายยงยุทธกล่าว

"ยงยุทธ"ฟังสวดชยันโต

จากนั้นเวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยงยุทธเดินทางมาที่วัดสระเกศราชวรวิหาร เพื่อเข้ากราบนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และสมเด็จพระราชาคณะ ที่มีการประชุมมหาเถรสมาคมอยู่ โดยในระหว่างนั้นมีกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาให้กำลังใจ โดยนายยงยุทธได้ออกมาพบและรับมอบดอกกุหลาบสีแดงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในระหว่างนั้นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง พร้อมทั้งนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เดินทางมาให้กำลังใจ

ต่อมานายยงยุทธ และนางอุบล วิชัยดิษฐ ภริยา พร้อมทั้งคณะได้เข้าทำพิธีสวดชยันโต มีสมเด็จพระราชาคณะนับสิบรูป ร่วมสวดมนต์ในครั้งนี้ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ประกาศลาออก2เก้าอี้

จากนั้นเวลา 16.00 น. นายยงยุทธได้ออกมาแถลงข่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดี พยายามฝืนยิ้มเล็กน้อย โดยมีสื่อมวลชนรอทำข่าวอยู่เป็นจำนวนมาก นายยงยุทธกล่าวว่า วันนี้เป็นวันสิริมงคล ที่มีสมเด็จพระราชาคณะนับสิบรูป ร่วมสวดชยันโต ซึ่งตนได้แผ่เมตตาไปยังผู้มีพระคุณ และเจ้ากรรมนายเวร ที่ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมมาแต่ชาติปางไหนไม่ทราบ และวันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่ตนได้ยื่นหนังสือลาออก โดยเป็นการลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยความเต็มใจและได้ส่งหนังสือลาออกไปยังทำเนียบรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อย แล้ว โดยการลาออกจะมีผลในวันที่ 1 ตุลาคมนี้

"สาเหตุที่ลาออก มีเหตุผลนิดเดียวคือว่าความเห็นข้อกฎหมายในส่วนหนึ่งก็บอกว่าผมทำถูก แต่อีกส่วนก็บอกว่าผมทำหน้าที่ไม่ได้ เพื่อป้องกันปัญหาทั้งหมดในฐานะที่ผมมีเหตุผลเป็นส่วนตัวของผมเอง เป็นความจำเป็นของผมเองที่มีความประสงค์ที่จะลาออกจากทั้ง 2 ตำแหน่ง แต่ยืนยันว่าผมยังคงทำหน้าที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่ออยู่ ทั้งนี้ ในระหว่างนี้จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม ผมจะยังคงทำหน้าที่ตามปกติ" นายยงยุทธกล่าว

(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348889595&grpid=00&catid=&subcatid=

"กรีซ"ปะทุเดือดครั้งใหม่ ตำรวจปะทะผู้ประท้วงต้าน"รัดเข็มขัด"

"กรีซ"ปะทุเดือดครั้งใหม่ ตำรวจปะทะผู้ประท้วงต้าน"รัดเข็มขัด"


 
ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ประท้วง ที่ปาระเบิดทำมือเข้าใส่ หลังเกิดเหตุชุมนุมครั้งใหม่ใกล้กับรัฐสภาในกรุงเอเธนส์ เพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล


ชาวกรีซผละงานทั่วประเทศในวันนี้ ตามการเรียกร้องของสหภาพแรงงาน เพื่อประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดรอบใหม่ที่จะบังคับใช้ในเดือนหน้า เพื่อลดการใช้จ่ายลงราว 1.15 ล้านยูโร ตามเงื่อนไขการรับความช่วยเหลืองวดใหม่

คาดว่าการผละงานจะกระทบเที่ยวบิน เรือโดยสารข้ามฟาก บริการเดินรถไฟ และบริการของภาครัฐ นอกจากนี้ สหภาพแรงงานยังเรียกร้องให้ผู้ประกอบการค้าปิดทำการด้วยในวันนี้ นับเป็นการผละงานทั่วประเทศครั้งที่ 3 แล้วในปีนี้ แต่จะเป็นบททดสอบแรกของรัฐบาลผสมชุดใหม่ที่เพิ่งรับงานเมื่อเดือนมิถุนายน และต้องประคองประเทศให้อยู่ในยูโรโซนต่อไป

รัฐบาลผสม 3 พรรค นำโดยนายกรัฐมนตรีอันโตนิส ซามาราส กำลังเร่งสรุปมาตรการลดค่าใช้จ่ายอีก 11,500 ล้านยูโร (ราว 460,000 ล้านบาท) และหารายได้เพิ่มจากภาษีอีก 2,000 ล้านยูโร (ราว 80,000 ล้านบาท) ภายใต้มาตรการรัดเข็มขัดที่จะเสนอต่อรัฐสภาในต้นเดือนตุลาคม ซึ่งจะกระทบข้าราชการหลายพันคนที่เดือดร้อนอยู่แล้วจากการถูกลดเงินเดือนสูง สุดถึงร้อยละ 40 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะถูกขยายอายุเกษียณอีก จาก 65 ปี เป็น 67 ปี

รัฐบาลกรีซต้องออกมาตรการรัดเข็มขัดรอบใหม่แลกกับความช่วยเหลืองวดใหม่ 31,500 ล้านยูโร (ราว 1.26 ล้านล้านบาท) จากสหภาพยุโรป (อียู) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เพื่อนำไปจ่ายเงินเดือน เงินบำนาญ เพิ่มทุนให้ธนาคารที่ถูกรัฐปรับโครงสร้างหนี้ และจ่ายหนี้ค้างชำระผู้รับเหมาเอกชน

นอกเหนือจากกรีซ การประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดยังปะทุขึ้นที่สเปนและโปรตุเกส โดยที่สเปน ตำรวจยิงกระสุนยางเข้าใส่ผู้ชุมนุมที่พยายามบุกไปยังรัฐสภา ทำให้มีผู้ถูกจับกุมราว 38 คน และบาดเจ็บ 64 ราย เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนที่รัฐบาลสเปนจะประกาศมาตรการรัดเข็มขัดครั้งใหม่ใน วันพรุ่งนี้

ส่วนที่โปรตุเกส คณะรัฐมนตรีได้จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ หลังจากเกิดการชุมนุมครั้งใหญ่เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกแผนการขึ้นภาษี
  

(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1348663329&grpid&catid=06&subcatid=0600

บทเรียนทักษิณ ชินวัตรกับปรีดี พนมยงค์

บทเรียนทักษิณ ชินวัตรกับปรีดี พนมยงค์

 
โดย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๓๗๙ ประจำวันเสาร์ ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๕

กรณี ของปัญหาเริ่มจากการที่ นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้กล่าวในวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๕ นี้ว่า เขาได้เขียนบันทึกส่วนตัวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ถ้าอยากเป็นรัฐบุรุษ ต้องรู้จักคำว่าเสียสละ แม้ว่าจะไม่กลับประเทศ ก็สามารถเป็นรัฐบุรุษได้เช่นกัน เหมือนนายปรีดี พนมยงค์ ที่ทำงานเพื่อประเทศโดยที่ไม่เคยกลับประเทศ เพียงเพราะอยากให้บ้านเมืองสงบ

ข้อเสนอของนายคณิต ได้รับการวิจารณ์ทันทีว่า เป็นข้อเสนอที่มาจากความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด และยังไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาที่แท้จริงของสังคมไทย ส่วนหนึ่ง ก็มาจากทัศนะของนายคณิตเอง ที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้น แต่นี่เป็นทัศนะแบบด้านเดียว เพราะปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่สนับสนุนการรัฐประหาร ก็เป็นสาเหตุสำคัญอีกด้านหนึ่งเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น ในรายงานของ คอป.เอง ก็ระบุว่า สังคมไทยมีปัญหารากฐานในทางเศรษฐกิจและสังคมจำนวนมาก เช่น ปัญหาช่องว่างระหว่างรายได้ ปัญหาความแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยทางการเมือง ฯลฯ กรณีเหล่านี้ คงแก้ไม่ได้ด้วยการเสียสละของ พ.ต.ท.ทักษิณ

แต่ที่สำคัญในทางประวัติศาสตร์นั้น นายปรีดี พนมยงค์ ต้องเดินทางออกจากประเทศ เพราะถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๐ ในครั้งนั้น กำลังของฝ่ายรัฐประหารได้ใช้รถถังบุกทำเนียบท่าช้างอันเป็นที่พำนักของนาย ปรีดี ทำให้นายปรีดีต้องลี้ภัยออกจากประเทศ หลังจากนั้น นายปรีดีก็ได้พยายามที่จะกลับประเทศหลายครั้ง ครั้งสำคัญ ก็คือ ได้เดินทางกลับมาเพื่อที่จะยึดอำนาจคืนในกรณี "ขบวนการประชาธิปไตย ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒" แต่ล้มเหลว ถูกปราบปรามอย่างหนัก ซึ่งกรณีนี้จะรู้จักกันนามว่า "กบฏวังหลวง" นายปรีดีต้องหลบซ่อนอยู่ในบ้านแถวฝั่งธนฯ ๖ เดือน แล้วจึงหลบหนีออกไปได้ แล้วจึงไม่ได้กลับมาเมืองไทยได้อีกเลย

ประเด็นสำคัญต่อมา ก็คือ นายปรีดีถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมสร้างคดีใส่ร้ายป้ายสีว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังกรณีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ ๘ และใช้ศาลเป็นเครื่องมือ ในการตัดสินประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ ๓ คน คือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ปทุมรส เพื่อเป็นการข่มขู่ไม่ให้นายปรีดีกลับประเทศ

ความจริงแล้วเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในเรื่องของนายปรีดี พนมยงค์ ก็มีบทเรียนอันอุดม จากการที่นายปรีดีนั้นมีพื้นฐานเป็นลูกชาวนา แต่อาศัยความสามารถทางการศึกษาเป็นเครื่องมือสร้างโอกาสจนได้ไปศึกษาต่าง ประเทศ และกลายเป็นคนแรกของประเทศไทยที่สำเร็จถึงขั้นปริญญาเอกวิชากฎหมายจากประเทศ ฝรั่งเศส แต่นายปรีดีมิได้มุ่งที่จะนำเอากฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจชน ชั้นนำสถาบันหลัก และทำร้ายประชาชนเหมือนนักกฎหมายจำนวนมากในยุคปัจจุบัน หากแต่ต้องการที่จะใช้กฎหมายในการสร้างความเป็นธรรมให้กับสังคม และในสมัยที่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย นายปรีดีก็ได้ร่วมก่อตั้งคณะราษฎร ซึ่งกลายเป็นสมาคมที่มีบทบาทนำในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงประเทศจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕