สถาบันกษัตริย์ในอุษาคเนย์กับกระแสการเปลี่ยนแปลง
โดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
โดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
นักวิชาการจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มหาวิทยาลัยเกียวโต
เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ร่วมกับร้านหนังสือ Book Re : public จัดเวทีเสวนา "สถาบันกษัตริย์ในโลกปัจจุบันและอนาคต" นำโดย ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยเกียวโต ณ ร้าน Book Re : public มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจดังนี้
ผม
อยากพูดถึงสถาบันกษัตริย์ในบ้านใกล้เรือนเคียงเป็นตัวอย่าง
ซึ่งจะสะท้อนว่าถ้าสถาบันกษัตริย์ไม่มีการปรับตัว
โอกาสจะอยู่รอดจะเหลือน้อย ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศที่ยังคงมีระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หลงเหลืออยู่มี 4 ประเทศ
คือประเทศไทย บรูไน มาเลเซีย และกับพูชา
เราจะมาดูตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย
จะพบว่ามีทั้งประเทศที่สถาบันกษัตริย์มีการปรับตัว และประเทศที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ไม่ยอมปรับตัวจนนำไปสู่ความล่มสลาย
วันนี้ผมอยากพูดถึงปัจจัยที่ทำให้สถาบันกษัตริย์ยังคงอยู่ และดูว่าสถาบันกษัตริย์มีการเปลี่ยนแปลงในสภาพสังคมที่มันเปลี่ยนไปหรือไม่ และจะยังอยู่ร่วมกับประชาธิปไตยได้หรือไม่
อย่าง
ที่เราทราบกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เดิมประเทศส่วนใหญ่ก็อยู่กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่ก็มีการยกเลิกไปแล้วในหลายประเทศ เช่น พม่า เวียดนาม ลาว
ส่วนที่ยังคงหลงเหลือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มี 4 ประเทศ
ซึ่งมีระดับการครอบงำที่ต่างกันไป
กรณีของบรูไน ถือว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เต็มรูปแบบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ซึ่ง
กษัตริย์ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองว่ามีความชอบธรรมหรือไม่ ต้องมองรอบๆ
ตัวหมายถึงประเทศอื่นๆ และนานาประเทศด้วยว่ามีการปรับเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
ในส่วนกัมพูชา สถาบันกษัตริย์ตกอยู่ใต้การครอบงำของพลเรือนคือฮุนเซ็น ฮุนเซ็นถือเป็นผู้นำที่อยู่ในอำนาจมายาวนานที่สุด ซึ่งต่างจากประเทศอื่นๆ
ใน
มาเลเซีย ไม่มีการยกสถาบันกษัตริย์ให้เป็นเทวราชา ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
มองย้อนหลังช่วงการเลือกตั้งมาเลเซียเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
สถาบันกษัตริย์ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองในการเลือกตั้ง
โดยนักการเมืองนำเอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือ
มีการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาคัดค้าน
แต่มาเลเซียก็โชคดีที่ไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเหมือนไทย
ก็เลยไม่เป็นปัญหาเท่าไรนัก
กรณีเนปาล-ภูฏาน
ถ้ามองไปทั่วโลก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นี้แทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว และ
บางคนก็มองว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
ยกเว้นประเทศอังกฤษที่สถาบันกษัตริย์ยังคงอยู่ได้
เพราะมีพื้นที่ให้ประชาชนในการออกมาแสดงความคิดเห็น
และสถาบันกษัตริย์ก็มีการปรับตัวให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตย
ย้อน
กลับมาดูในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เราจะดูว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่รอด กรณีเนปาล
สิ่งที่เราคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น ก็สามารถเกิดขึ้นได้
และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันกษัตริย์ที่ค่อนข้างรุนแรง
อยากจะเปรียบเทียบกับประเทศภูฏาน เพราะมีบริบทใกล้เคียงกัน กรณี
เนปาลอย่างที่รู้ว่าราชวงศ์สุดท้ายก็ล่มสลายไปแล้ว
ตอนนี้เป็นสาธารณรัฐไปแล้ว
แต่ก่อนล่มสลายได้เกิดโศกนาฎกรรมเมื่อพระบรมโอสาธิราช
หยิบปืนสังหารกษัตริย์ พระราชินี และ
ตัวพระองค์เอง ส่วนสาเหตุของการสังหารก็ว่าไปต่างๆ นานา
แต่เหตุการณ์นี้นำไปสู่จุดจบของสถาบันกษัตริย์
เมื่อมีการแต่งตั้งลุงเป็นกษัตรย์
สถาบันกษัตริย์รวบอำนาจไว้ส่วนกลางอย่างมาก มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน
จนถูกต่อต้านจากประชาชนอย่างมาก
และนำไปสู่การล้มสถาบันกษัตริย์ในที่สุดตามที่เราทราบกันดี
ส่วน
กรณีภูฏานก็มีการปรับตัว โดยเราจะเห็นความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีการเลือกตั้ง
เพราะคิดว่าอาจจะเห็นตัวอย่างของเนปาล ถ้าจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป
จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับประชาชน มีการเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย
กษัตริย์จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง
มีการพูดกันในภูฏานว่ากษัตริย์จิกมีมีความกังวลใจว่ากรณีเนปาลจะกลายเป็น
โดมิโนมาถึงภูฏานได้จึงชิงปรับตัวก่อน
ผม
คิดว่ากษัตริย์เองก็มีการติดต่อสื่อสารกันตลอด
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของภูฏานก็น่ามาจากเหตุของเนปาลได้
กษัตริย์จิกมีมีการเปิดรับประชาธิปไตยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยสถาบันกษัตริย์
ยังมีอำนาจหลงเหลืออยู่ นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งแรก
และอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์คือทั้งพรรครัฐบาล และฝ่ายค้านต่างนิยมเจ้า
ในทางตรงข้ามกษัตริย์จิ๊กมีก็ครอบงำในด้านอื่นๆ
เป็นการลดอำนาจกษัตริย์เพื่อจะครอบงำประชาธิปไตยนั่นเอง
ข้อแตกต่างของเนปาลกับภูฏาน ภูฏานยังไม่มีการต่อต้านสถาบัน ทำให้กษัตริย์จิกมีสามารถควบคุมประเทศได้มาก แต่เนปาลประชาชนต่อต้านสถาบันกษัตริย์อย่างมาก
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กรณีไทย วิกฤตทางด้านการเมือง นำไปสู่การใช้สถาบันมาใช้เป็นเครื่องมือด้านการเมืองโดยกลุ่มอนุรักษ์นิยม ใน
การให้ได้มาเพื่อประโยชน์ส่วนตน
ความพยายามในการสร้างปฏิปักษ์ทางด้านการเมืองส่งผลลบต่อสถาบันกษัตริย์
สร้างความสั่นคลอน ดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาเกลือกกลั้วกับการเมือง
การ
ดึงสถาบันเข้ามามีส่วนร่วมกับการเมือง ทำให้สาธารณะชนตั้งคำถามอย่างมาก
ดังนั้นจึงมีความเห็นว่าสาธารณะชนน่าจะแสดงความเห็นต่อสถาบันได้
ปัญหาของไทยคือกลุ่มอนุรักษ์นิยม
ไม่ได้อยู่กับความเป็นจริงเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือ
ไม่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ วิธีการต่อต้านก็ใช้กฎหมายหมิ่น ลืมไปว่าสังคมไทยนั้นเติบโต กระแสประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในโลก และไม่อาจปิดกั้นกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้
ในบรูไน มีการสร้างความชอบธรรมให้สถาบันกษัตริย์ บนความยึดมั่นในศาสนาอิสลาม ความเชื่อมั่นในชาติ ศาสนา
พระมหากษัตริย์ อุดมการณ์นี้ได้รับการต่อต้านจากคนกลุ่มน้อยในบรูไน
ที่ไม่ใช่มุสลิม เช่นชาวจีน จะรู้สึกว่าถูกริดรอนสิทธิ
การปกครองด้วยระบบสมบูรณาสิทธิราชย์ที่ผูกกับอิสลามมันยิ่งเลวร้าย
และเขารู้สึกว่าสถาบันกษัตริย์มีส่วนในการสร้างความแตกแยกของประเทศ
แต่อย่างไรก็ตามชนกลุ่มน้อยนี้ถือว่าน้อยมาก
เพราะประชาชนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม จึงไม่ค่อยมีผลกระทบเท่าไหร่นัก
ใน
บรูไนก็มีเรื่องอื้อฉาวของสถาบันกษัตริย์ น้องชายของกษัตรย์ (เจฟรีย์)
ได้รับมอบหมายให้เป็น รมต.คลัง และก่อปัญหาคอร์รัปชั่น
ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำเจรจากับต่างประเทศในการค้าขายก๊าซธรรมชาติ
ดูแลเรื่องการลงทุนเรื่องการค้าขายน้ำมัน ก๊าชธรรมชาติโดยเฉพาะ
นอกจากนี้เจฟรีย์ยังมีธุรกิจส่วนตัวในเรื่องนี้ด้วย
แต่ปัญหาคือเงินที่ได้จากการซื้อขายน้ำมันเป็นจำนวนหลายหมื่นล้านกลับหายไป
จาก
กรณีตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดจึงอยากสรุปว่าความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์
นั้นขึ้นอยู่กับไหวพริบของสถาบันกษัตริย์
และคนที่อยู่รอบตัวต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับประชาธิปไตย
รวมไปถึงการสร้างภาพลักษณ์ตัวเองในการอยู่รอดด้วย
การปรับตัวต้องทำใน 2 ระดับ
คือระดับปัจเจกบุคคล กษัตริย์ต้องสะท้อนความโปร่งใส รับผิดชอบต่อสังคม
เป็นแบบอย่างของการประพฤติที่ดี เป็นธรรมราชา ซึ่งมีความแตกต่างจากเทวราชา
คือเน้นความเป็นมนุษย์มากกว่า ไม่ใช่เหนือมนุษย์
หากสถาบันกษัตริย์สามารถนำธรรมราชามาใช้อย่างมีไหวพริบ
ก็จะมีส่วนสร้างพลานุภาพให้กับสถาบันกษัตริย์ได้
กรณีเนปาลนั้นเป็นเพราะกษัตริย์องค์สุดท้ายขาดความชอบธรรมด้านศาสนา
รวบอำนาจมาไว้ที่ตัวเอง จึงพบกับจุดจบดังกล่าว
ใน
ระดับชาติ เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่าสถาบันกษัตริย์อยู่รอดได้เพราะกองทัพ
โดยอ้างถึงความจำเป็นที่ต้องคงไว้ซึ่งความมั่นคง การก่อรัฐประหารในไทย
ก็กล่าวอ้างว่าทักษิณเป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งกลายเป็นปัญหา
ในสมัยปัจจุบันโลกมันเปลี่ยนไปมาก เราจะเห็นว่าภารกิจของกองทัพมันเปลี่ยนไป
กลายเป็นกองทัพที่ปราบปรามประชาชน
นอก
จากนี้เรื่องการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ มีผลโดยตรงต่อสถาบัน
กรณีเนปาลนั้นคนจนเยอะมาก เลยเป็นปัญหา กรณีไทย มีการพัฒนาเศรษฐกิจพอสมควร
แต่ยังมีปัญหาบ้าง แต่ไม่คิดว่าเป็นปัจจัยที่จะสั่นคลอนสถาบัน
เพราะเศรษฐกิจของเรายังพัฒนาต่อไปได้แม้ในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการ
เมืองอย่างมาก
เรื่อง
สุดท้ายสถาบันกษัตริย์จะอยู่รอดได้หรือไม่ยังขึ้นอยู่การสนับสนุนจากต่าง
ประเทศ และพันธมิตร
กรณีเนปาลนั้นเห็นชัดเจนว่าจากเดิมที่เคยเป็นพันธมิตรที่ดีกับอินเดีย
เมื่อเนปาลหันไปร่วมมือกับจีน ทำให้อินเดียไม่พอใจ
จึงไม่ให้การสนับสนุนสถาบันเมื่อเกิดปัญหากับประชาชน ใน
ส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มักจะขอความชอบธรรมจากสหรัฐฯ เป็นต้น
ความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์จึงอยู่ที่การบริหารความสัมพันธ์ทั้งในประเทศ
นอกประเทศ และกับสถาบันต่างๆ ในสังคม และการปรับตัวอยู่ร่วมกับประชาธิปไตย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น