เสรีนิยมไปกันได้ด้วยดีกับเศรษฐกิจพอเพียง?
โดย สามชาย ศรีสันต์
เมื่ออาจารย์คณะพัฒนาเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลขัดต่อรัฐธรรมนูญฉบับที่มาจากคณะรัฐประหาร
พ.ศ.2550 มาตรา 84 (1) ข้อความว่า
รัฐต้องดำเนินการตามนโยบายด้านเศรษฐกิจต่อไปนี้ “สนับ
สนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรีและเป็นธรรมโดยอาศัยกลไกตลาด
และสนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
โดยต้องยกเลิกและละเว้นการตรากฎหมายและกฎเกณฑ์ที่ควบคุมธุรกิจซึ่งมีบท
บัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ
และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน
เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ...”
ทำให้เกิดความสงสัยอย่างมาก เมื่อเหลียวกลับไปมองมาตราที่อยู่ด้านบนมาตรา
84
เพราะมีข้อความที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงต่อความรู้สึกที่เคยรับรู้ผ่าน
สื่อสารธารณะในสังคมไทยกล่าวคือ มาตรา 83 ของรัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า
“รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”
ทั้งสองมาตราเป็นสิ่งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้รัฐบาลไทยต้องดำเนินนโยบายตาม
ที่ระบุไว้นี้ จะทำเป็นอย่างอื่นมิได้ คำถามที่ชวนให้สงสัยก็คือ
เศรษฐกิจพอเพียงกับเสรีนิยมอยู่ด้วยกันได้ด้วยหรือ
แล้วหน้าตาของนโยบายการปฏิบัติจะออกมาอย่างไร
ในเมื่อฝ่ายหนึ่งบอกให้พอเพียง กินใช้เท่าที่ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน
พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่โลภ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่เป็นหนี้
กับอีกฝ่ายที่ส่งเสริมการแข่งขัน การค้ากำไร โดยไม่มีเส้นจำกัดขีดกั้น ?
ต่อเมื่อได้คิดทบทวน วิเคราะห์แล้วจึงได้คำตอบว่า
ทั้งสองสิ่งไปด้วยกันอย่างลงรอย
สอดคล้องสนับสนุนซึ่งกันและกันในบริบทของสังคมไทย ด้วยลักษณะดังต่อไปนี้
เสรีนิยม (libertarian) พวกเสรีนิยมเชื่อว่า
มนุษย์เป็นเจ้าของร่างของตนเอง เพราะร่างกายคือสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่เกิด
อยู่กับเรา และไม่มีใครสามารถพรากไปจากเราได้
มนุษย์จึงมีเสรีอย่างเต็มที่ที่จะกระทำใด ๆ ต่อร่างกาย
การถูกใช้กำลังทำร้าย บังคับ
ควบคุมต่อร่างกายถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
ซึ่งเป็นสิทธิที่ติดตัวมาพร้อมกับร่างกาย ดังนั้น
พวกเสรีนิยมเมื่อได้ลงแรงไปกับการทำงานใด ๆ เพื่อผลิต สร้าง
ทางเศรษฐกิจด้วยร่างกายที่ตนเป็นเจ้าของแล้ว
ผลผลิตที่ได้มาจากแรงงานนั้นจะต้องตกแก่ตนผู้เป็นเจ้าของแรงงาน
ทรัพย์สินที่เกิดขึ้น ผลผลิตจากการค้า การลงทุน
จึงเป็นทรัพย์สินที่ไม่พึงแบ่งปัน หรือกระจายให้กับใคร
เพราะเมื่อผู้อื่นไม่ได้ลงแรงผลิตก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะได้รับ
เช่นเดียวกันเมื่อรัฐเข้ามาแทรกแซงกลไกราคาทำให้ผลกำไรที่เคยได้รับน้อยลงไป
ทั้งที่ตนเองลงแรงเท่าเดิมตามกลไกตลาด
ในทัศนะของพวกเสรีนิยมย่อมไม่สามารถยอมรับได้
ความยุติธรรมของเสรีนิยมจึงเป็นเรื่องของการที่รัฐต้องไม่เข้ามายุ่ง
เกี่ยวแทรกแซงกับการจัดโครงสร้างการกระจายรายได้ให้ทั่วถึงและเท่าเทียม
ในสายตาของคนกลุ่มนี้ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า
สังคมไม่เป็นธรรม ในทางตรงข้าม มันเป็นธรรมดีอยู่แล้ว
เพราะคนจนไม่มีความสามารถมากพอที่จะหารายได้หรือทรัพย์สินได้เท่ากับคนรวย
รัฐจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะมาบังคับด้วยการจัดสรรงบประมาณ
หรือจัดเก็บภาษีเพื่อให้นำเงินของคนรวยไปช่วยคนจน
เพราะมันละเมิดสิทธิความเป็นเจ้าของทรัพย์สินเสมือนเป็นการขโมยแรงงานไปให้
คนยากจนที่ด้อยกว่า
(อ่านต่อ)
http://prachatai.com/journal/2012/10/42932
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น