เมื่อ"คำ ผกา"เขียนเรื่องข้อดีของการทำรัฐประหาร ปี 2549 ???
อาทิตย์นี้จะเขียนเรื่องข้อดีของการทำรัฐประหาร
เชื่อไหมว่าหากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 ฉันจะต้องเป็นหนึ่งในผู้เอาดอกกุหลาบไปไว้อาลัยเรือนแถวไม้ที่กำลังจะถูกรื้อที่อัมพวาแน่นอน
และหากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 ฉันจะทำอะไรอีก ฉันจะเชื่ออย่างที่ ว. วชิรเมธี เขียนว่า "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" นั่นเป็นเพราะคนในเจเนอเรชั่นของฉันเติบโตมาในยุคของปลายของกระแสนิวเอจของสังคมไทย
"นิวเอจ" เหล่านี้ทำอะไรบ้าง
พวกเขาอยากกลับไปหาภูมิปัญญาของท้องถิ่น รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ฟื้นความเข้มแข็งของชุมชน
กลับไปค้นหาปัญญาญาณที่มีอยู่ในศาสนา ความเชื่อของท้องถิ่นที่ถูกกดทับด้วยวิธีคิดและองค์ความรู้ ระบบเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์
รังเกียจชาตินิยมที่ไปทำลายความหลากหลายของความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ภาษา
ชิง ชังทุนนิยมที่ไปเปลี่ยนวิถีชีวิตชนบทหรือท้องถิ่นที่เคยพึ่งตนเองได้ให้ต้อง ตกเป็นทาสของ บริโภคนิยม จากที่เคยเพาะปลูกแบบไม่ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาก็ต้องพึ่งปุ๋ย พึ่งยาฆ่าแมลงจากนายทุน จากที่เคยปลูกพืชผัก ข้าวหลากหลายก็หันไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็ต้องใช้เงินซื้อ เช่น เลิกปลูกข้าวหันมาปลูกมันสำปะหลังก็ต้องใช้เงินซื้อข้าวกิน แทนที่จะปลูกข้าวกินเองได้เหมือนสมัยก่อน
จากที่เคยรักษาโรคภัยไข้ เจ็บด้วยองค์ความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมด้วยการใช้สมุนไพรก็ต้องหันมาพึ่งการ แพทย์สมัยใหม่ ราคาแพง ชาวบ้านจึงแปรสภาพจาก มนุษย์ที่เคยอุดมไปด้วยปัญญา ความรู้ สมบูรณ์ ร่ำรวยไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม จึงถูกกัดกร่อนทำลายให้หมดศักดิ์ศรี แปรสภาพมาเป็น ชาวบ้านผู้ยากจน โง่เขลา และหมดปัญญาจะพึ่งตนเอง ทั้งเป็นเหยื่อนายทุนและนักการเมือง
กระแส นิวเอจยังเฝ้าประณามระบบการศึกษาของรัฐว่ามุ่งสร้างอำนาจครอบงำ อันมีความจริง แต่ทางออกของบรรดานิวเอจคือการออกไปสร้างโรงเรียนทางเลือก อันท้ายที่สุดก็มีแต่บุตรหลานของผู้มีทางเลือกเท่านั้นที่ได้เรียนโรงเรียน ทางเลือก บรรดาบุตรหลานผู้ไม่มีทางเลือกจึงถูก "ครอบงำ" จากระบบการศึกษาต่อไป
อนาคตข้างหน้า บุตรหลานผู้ไม่มีทางเลือกก็ต้องกลายเป็น "ขี้ข้า" ของบุตรหลานผู้มีทางเลือกต่อไปอย่างไม่มีที่สุด
เชื่อไหมว่าหากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 ฉันจะต้องเป็นหนึ่งในผู้เอาดอกกุหลาบไปไว้อาลัยเรือนแถวไม้ที่กำลังจะถูกรื้อที่อัมพวาแน่นอน
และหากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 ฉันจะทำอะไรอีก ฉันจะเชื่ออย่างที่ ว. วชิรเมธี เขียนว่า "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" นั่นเป็นเพราะคนในเจเนอเรชั่นของฉันเติบโตมาในยุคของปลายของกระแสนิวเอจของสังคมไทย
"นิวเอจ" เหล่านี้ทำอะไรบ้าง
พวกเขาอยากกลับไปหาภูมิปัญญาของท้องถิ่น รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ฟื้นความเข้มแข็งของชุมชน
กลับไปค้นหาปัญญาญาณที่มีอยู่ในศาสนา ความเชื่อของท้องถิ่นที่ถูกกดทับด้วยวิธีคิดและองค์ความรู้ ระบบเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์
รังเกียจชาตินิยมที่ไปทำลายความหลากหลายของความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ภาษา
ชิง ชังทุนนิยมที่ไปเปลี่ยนวิถีชีวิตชนบทหรือท้องถิ่นที่เคยพึ่งตนเองได้ให้ต้อง ตกเป็นทาสของ บริโภคนิยม จากที่เคยเพาะปลูกแบบไม่ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาก็ต้องพึ่งปุ๋ย พึ่งยาฆ่าแมลงจากนายทุน จากที่เคยปลูกพืชผัก ข้าวหลากหลายก็หันไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็ต้องใช้เงินซื้อ เช่น เลิกปลูกข้าวหันมาปลูกมันสำปะหลังก็ต้องใช้เงินซื้อข้าวกิน แทนที่จะปลูกข้าวกินเองได้เหมือนสมัยก่อน
จากที่เคยรักษาโรคภัยไข้ เจ็บด้วยองค์ความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมด้วยการใช้สมุนไพรก็ต้องหันมาพึ่งการ แพทย์สมัยใหม่ ราคาแพง ชาวบ้านจึงแปรสภาพจาก มนุษย์ที่เคยอุดมไปด้วยปัญญา ความรู้ สมบูรณ์ ร่ำรวยไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม จึงถูกกัดกร่อนทำลายให้หมดศักดิ์ศรี แปรสภาพมาเป็น ชาวบ้านผู้ยากจน โง่เขลา และหมดปัญญาจะพึ่งตนเอง ทั้งเป็นเหยื่อนายทุนและนักการเมือง
กระแส นิวเอจยังเฝ้าประณามระบบการศึกษาของรัฐว่ามุ่งสร้างอำนาจครอบงำ อันมีความจริง แต่ทางออกของบรรดานิวเอจคือการออกไปสร้างโรงเรียนทางเลือก อันท้ายที่สุดก็มีแต่บุตรหลานของผู้มีทางเลือกเท่านั้นที่ได้เรียนโรงเรียน ทางเลือก บรรดาบุตรหลานผู้ไม่มีทางเลือกจึงถูก "ครอบงำ" จากระบบการศึกษาต่อไป
อนาคตข้างหน้า บุตรหลานผู้ไม่มีทางเลือกก็ต้องกลายเป็น "ขี้ข้า" ของบุตรหลานผู้มีทางเลือกต่อไปอย่างไม่มีที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น