ว่าด้วยทุน: เล่ม 2 ภาคที่ 1 การเปลี่ยนรูปของทุนและวงจรของมัน(บทที่2-4)
เราสามารถมองการหมุนเวียนของทุนซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ไม่มีจุดจบ โดยเริ่มที่ “ทุนการผลิต” (P)
P...... C’ => M’ => C.....P
เวลาเราพิจารณาส่วนนี้ เราต้องทราบว่าทุนเงินเดิม M กับทุนเงินส่วนเกิน m (ที่รวมกันเป็น M’) ถูกลงทุนใหม่อีกรอบพร้อมกันหรือไม่ เพราะอาจถูกใช้ในการบริโภคโดยนายทุน หรืออาจถูกนำมาลงทุนในที่อื่นก็ได้
• สินค้าที่ถูกบริโภค ต่างจากสินค้าที่เป็นทุนในการหมุนเวียนของทุน
• เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมองว่าทุนนิยมเป็นแค่ระบบการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่ทุนนิยมผลิตเพื่อสะสมและเป็นระบบหมุนเวียน
• ปริมาณสินค้าที่ถูกผลิตขึ้น ถูกกำหนดจากอัตราการขยายของกระบวนการผลิต ไม่ได้ถูกกำหนดจากอุปสงค์(ความต้องการ)ในตลาด ในขั้นตอนแรกการที่สินค้าจะถูกบริโภคหรือไม่ มิได้เกี่ยวกับกระบวนการหมุนเวียน เพราะประเด็นหลักคือการขาย
• สถานการณ์นี้นำไปสู่ การผลิตล้นเกิน การตัดราคา การล้มละลาย และวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้มาจากการลดลงของอุปสงค์ในขั้นตอนแรก แต่มันมาจากการที่สินค้าขายไม่ออก ซึ่งไม่เหมือนกัน
• การที่สินค้าจากการผลิตจะตกอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง ไม่มีผลอะไรต่อการหมุนเวียนของทุนในเบื้องต้น เพราะนายทุนไม่สนใจว่าสินค้าจะถูกบริโภคหรือไม่ แค่ให้ความสำคัญตรงที่มันถูกขายหรือไม่
• ทุนเงินหรือเงิน ไม่ใช่จุดเริ่มต้นและจุดจบของการหมุนเวียน
• ทุนเงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างให้กรรมาชีพ เป็นทุนที่นำมาแลกเปลี่ยนจากสินค้าที่กรรมาชีพเคยผลิตเองแต่แรก ไม่ใช่เงินของนายทุน แต่มันอยู่ในมือนายทุน
• ทุนที่เกิดจากระบบการผลิต แปรรูปจากสินค้าที่ถูกผลิต และเป็นตัวแทนของการทำงานในอดีต
• ในขณะเดียวกัน ทุนเงินที่เป็นตัวแทนของการทำงานในอดีต เป็นตัวแทนของสินค้าที่จะผลิตในอนาคตด้วย (ภาพรวมแบบวิภาษวิธีคือ: อดีต ปัจจุบัน อนาคต)
• ค่าจ้างเป็นเงินจากการทำงานของคนงานในอดีต และ เป็นตัวแทนของสินค้าที่คนงานจะซื้อในอนาคตเพื่อเลี้ยงชีพ
• ทุนเงินมีหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงสินค้า ให้เป็นปัจจัยการผลิตใหม่ และแรงงานรับจ้างใหม่
• อย่าลืมว่ามูลค่าของปัจจัยการผลิตเปลี่ยนแปลงตามประสิทธิภาพการผลิตด้วย มันไม่คงที่
• ถ้า “ทุนเงิน” ค้างอยู่ในสภาพเงิน หรือถูกใช้ในการบริโภค โดยไม่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง มันถือว่าเป็น “ทุน” ไม่ได้ มันเป็นแค่ “เงิน” หรือในกรณีที่ยังไม่นำมาใช้ เป็น “ทุนเงินที่จะใช้ในอนาคต”
• ถ้านายทุนใช้ทุนเงินทีละนิดทีละหน่อยในกระบวนการผลิต จะมีการสะสมเงิน นี่คือบทบาทของทุนเงิน คือเป็นทุนที่ออมไว้ได้ บทบาทอีกอันคือใช้ซื้อปัจจัยการผลิตและพลังการทำงาน(สินค้า)
• เราไม่สามารถเห็น ทุนเงิน ทุนสินค้า และทุนการผลิต แบบแยกส่วนโดดเดี่ยวได้
• เราจะเห็นปรากฏการณ์ของ “ทุนเงิน” เมื่อมีการหยุดพัก ชะลอ กระบวนการผลิต ไม่ว่าการหยุดนี้จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี หรือจะมาจากเจตนาของนายทุนหรือไม่
• ทุนเงินอาจใช้ในรูปแบบ “สัญญาที่จะจ่ายในอนาคต” ผ่านการกู้ยืม แต่สัญญาดังกล่าวไม่ใช่ทุนเงินจนกว่ามันจะเข้าไปในกระบวนการผลิต
• เวลามีการลงทุนรอบต่อไป
สัดส่วน L : mp จะมีแนวโน้มลดลง ไม่คงที่
• มูลค่าส่วนเกินที่แปรไปเป็นทุนเงิน อาจไม่นำมาลงทุนใหม่ทันที อาจต้องรอเพื่อสะสมให้เพียงพอก่อน ดังนั้นอาจถูกนำมาฝากในธนาคาร หรือนำไปซื้อหุ้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับระบบการผลิตเดิม
• เงินออมบางส่วน ที่เก็บไว้ใช้ในยามลำบากของธุรกิจ ไม่เหมือนทุนเงินที่รอการสะสมเพื่อลงทุนต่อ เพราะมันจะไม่นำไปสู่การขยายการผลิต
บทที่ 3: การหมุนเวียนของ “ทุนสินค้า”
C’ => M’ => C .....P ....C’
• เวลาเราพิจารณาการหมุนเวียนของ “ทุนสินค้า” จะเห็นว่าทุนสินค้าที่นายทุนคนหนึ่งผลิต กลายเป็น “ต้นทุนสินค้า” ของนายทุนอีกคน เช่นเครื่องจักร
• ซึ่งแปลว่าเราต้องมองการหมุนเวียนของทุนสินค้าในระดับสังคมโดยรวม มองแค่ในระบบหมุนเวียนของนายทุนหนึ่งคนไม่ได้
บทที่ 4: สามวงจรของทุน
สามวงจรของทุน คือการหมุนเวียนของ “ทุนอุตสาหกรรม” คือ ทุนเงิน-ทุนการผลิต-ทุนสินค้า ในกระบวนการเพิ่มมูลค่า ซึ่งแรงผลักดันหลักคือการพยายามเพิ่มมูลค่า ไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของมนุษย์
• ทุนอุตสาหกรรมประกอบไปด้วยสามวงจรที่พูดถึงในบทที่ 1-3 และในสังคมโดยรวมทุนอุตสาหกรรมปรากฏในรูปแบบสามวงจรดังกล่าวในขั้นตอนต่างๆ ตลอดเวลา
• ทุนแยกเป็นส่วนต่างๆ ตามขั้นตอนดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันเป็นองค์รวมของสามวงจรเสมอ
• ระบบทุนนิยมไม่ใช่ภาพนิ่ง มันอธิบายด้วยภาพนิ่งไม่ได้ ต้องมองเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงเสมอ ส่วนต่างๆเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นเสมออย่างต่อเนื่อง
• ต้องมองทั้งส่วนแยกและองค์รวมพร้อมกัน เช่นนายทุนในฐานะปัจเจก และนายทุนทั้งหมดพร้อมกัน
• การหมุนเวียนนี้ดำเนินต่อได้ต่อเมื่อมีการเพิ่มมูลค่าของทุน แต่ถ้ามีปัญหาตรงนี้ จะเริ่มขาดเสถียรภาพ
• เนื่องจากการเพิ่มมูลค่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก “อัตรากำไร” ของนายทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเพิ่มกำไรเป็นเป้าหมาย.... และสัดส่วนทุนแปรผันที่ใช้จ้างงานจะลดลง เมื่อเทียบกับทุนคงที่
“ระบบทุนนิยมดำรงอยู่ไม่ได้ ถ้าการบริโภคเสพสุขส่วนตัวของนายทุนเป็นเป้าหมายในการผลิต”
• ระบบทุนนิยมเป็นระบบโลก มีตลาดโลก มีเงินโลก
• ในยุคเริ่มต้น สินค้าบางอย่างที่ใช้ในระบบทุนนิยม ผลิตในระบบอื่น(เช่นจากทวีปอื่น) แต่มันกลายเป็น “ทุนสินค้า” เมื่อเข้ามาในระบบการผลิตทุนนิยม
• เงินให้กู้ กับเงินจริง ไม่ต่างกัน เพียงแต่ใช้โดยนายทุนในระยะเวลาต่างกันของวงจรการผลิตเท่านั้น
• “เงิน” เกิดขึ้นแต่แรกในระบบพาณิชย์ ก่อนทุนนิยม แต่ทุนนิยมพิเศษตรงที่นำ “แรงงาน” มาเป็นสินค้า เพื่อพัฒนาระบบการผลิตอย่างรวดเร็ว
• ถ้าวงจรการหมุนเวียนของทุนเร็วขึ้น เงินจำนวนหนึ่งสามารถขับเคลื่อนการหมุนเวียนของทุนในปริมาณที่มากขึ้น
• ถ้าในการผลิต เครื่องจักรใช้ได้ 10 ปี มูลค่ามันจะค่อยๆถูกทำลายผ่านความสึกหรอปีละ 10%
(ที่มา)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น