โดย เจษฎา โชติกิจภิวาทย์
วิทยากร บุญเรือง
เรา จะด่วนสรุปว่า “การเลือกตั้งไม่สำคัญ” ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะ “ไม่มีประชาธิปไตยที่ไร้การเลือกตั้ง” การเลือกตั้งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นที่จะขาดเสียมิได้ในระบอบประชาธิปไตยYoshifumi Tamada
รัฐ ประหารครั้งใหม่ก็จะให้ ผลอย่างเดียวกัน และอาจเลวร้ายกว่า เช่นความแตกร้าวในกองทัพซึ่งแสดงออกให้เห็นได้แต่เพียงระเบิดไม่กี่ลูก ก็จะกลายเป็นระเบิดกันทุกวัน และวันละหลายครั้ง อำนาจรัฐอาจไม่ถูกท้าทายที่ราชประสงค์ แต่อาจถูกท้าทายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศนิธิ เอียวศรีวงศ์
“การเลือกตั้ง”
เป็นพื้นฐานสำคัญยิ่งในระบอบประชาธิปไตยและการพัฒนาประชาธิปไตย
รัฐบาลที่มาจากการการเลือกตั้งจากประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตย
ขึ้นสู่อำนาจในการบริหารประเทศผ่านความชอบธรรมจากประชาชนผู้เลือกตั้ง
ตามหลักการ “หนึ่งสิทธิหนึ่งเสียง” “คนเท่ากัน”
ผู้ปกครองมิใช่มาจากชาติกำเนิดและ ฐานันดรศักดิ์ ตลอดทั้ง ระบอบประชาธิปไตย
ยังได้เปิดพื้นที่ด้านสิทธิเสรีภาพในการสื่อสาร
สิทธิเสรีภาพในการรวมกลุ่มของประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ ได้อย่างเสรี
มากกว่าระบอบการปกครองแบบอื่นๆเมื่อเปรียบเทียบกัน
สำหรับสังคมการเมืองไทย นอกจากการปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็น ระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ยังมีการ “รัฐประหาร” เกิดขึ้น
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมักถูกขัดขวางด้วยการรัฐประหารอยู่ตลอดเวลา
ในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์การเมืองไทย หรือที่เรียกกันว่า “วงจรอุบาทว์”
ทางการเมืองไทย และข้ออ้างในการรัฐประหาร มักอ้างเรื่องเกี่ยวกับ
“ความจงรักภักดี” “การคอรัปชั่นของนักการเมือง”
“การใช้อำนาจการเมืองแทรกแซงข้าราชการประจำ” เป็นต้น
แต่บางครั้งก็เป็นการรัฐประหารในแวดวงกองทัพ เผด็จการอำนาจนิยม
กลุ่มอนุรักษ์นิยม เพื่อกระชับอำนาจและหรือแย่งชิงอำนาจกันเองก็มีปรากฏ
ประวัติศาสตร์การรัฐประหารในสังคมการเมืองไทย สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ได้เขียนบทความขึ้นในหนังสือเล่มนี้ ชี้ให้เห็นถึง ตัวละคร บทบาท ข้ออ้าง
ความสลับซับซ้อน
ความเหมือนและความต่างในแต่ละเงื่อนไขของเหตุการณ์ของการรัฐประหารในประวัติ
ศาสตร์ที่เกิดขึ้น หรือ “ประวัติศาสตร์การรัฐประหารในประเทศไทย”
และการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ได้สะท้อนถึงการต่อสู้ระหว่าง
“ฝ่ายประชาธิปไตย” กับ “ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย” ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์”
ที่ต่อเนื่องมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ขณะที่ ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ก็ได้ชี้ให้เห็นบริบทการเมืองไทยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา ๒๕๓๔
และได้ตั้งประเด็นคำถามส่วนหนึ่งของบทความในหนังสือเล่มนี้
ถึงความย้อนแย้งของคนชั้นกลาง
ผู้เอาการเอางานในการต่อสู้กับเผด็จการทหารคณะผู้รักษาความสงบเรียบร้อยแห่ง
ชาติ (รสช.) ที่ก่อการรัฐประหาร เมื่อวันที่ ๒๓ กุมพาพันธ์ ๒๕๓๔
และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง
ซึ่งต่อมาก็มีกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐
ที่ประชาชนทุกกลุ่มสาขาอาชีพ มีส่วนร่วมมากที่สุดในกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ
แต่คนชั้นกลางเหล่านี้ส่วนมากกลับผันผวนสลับข้างหันมาสนับสนุนการรัฐประหาร
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ล่าสุด ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42548
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น