โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
เผยแพร่ครั้งแรกใน นิตยสาร “โลกวันนี้วันสุข” ฉบับวันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2555
เบื้องหลังพฤติการณ์ของสื่อมวลชนกระแสหลักเหล่านี้ก็คือ ความคิดที่รับใช้เผด็จการ ผนวกกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ทั้งของนายทุนเจ้าของสื่อและนักสื่อสารมวลชนอาชีพเกือบทุกระดับ
สื่อสารมวลชนในยุคปัจจุบันที่เป็นค่ายใหญ่ ๆ เป็นธุรกิจมูลค่านับหมื่นล้านบาท มีเครือข่ายโยงใยผลประโยชน์ไปยังเครือข่ายราชการที่อยู่ในอำนาจรัฐและสาย สัมพันธ์กับพรรคการเมืองเก่าแก่บางพรรค อยู่ภายในโครงครอบทางอำนาจและอุดมการณ์จารีตนิยมที่คอยบ่อนทำลายระบบการ เมืองแบบเลือกตั้งในประเทศไทยมาทุกยุคสมัย อิงแอบอำนาจและแบ่งปันผลประโยชน์กับพวกเผด็จการแฝงเร้นจนแยกกันไม่ออก
การเมืองแบบเลือกตั้งที่ถูกตัดตอนด้วยรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เต็มไปด้วยจุดอ่อนมากมาย สื่อมวลชนกระแสหลักจึงรับหน้าที่เป็นแกนหลักในการเผยแพร่และตอกย้ำวาทกรรม “นักการเมืองเลว” มาทุกยุคสมัย ปั่นกระแสในหมู่คนชั้นกลางในเมืองให้เกลียดชังนักการเมือง สร้างเงื่อนไขทางความคิดในหมู่ประชาชน ที่นำไปสู่รัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและฉีกรัฐธรรมนูญทุก ครั้งนับตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา
นักสื่อมวลชน ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง ลงมาถึงบรรณาธิการ คอลัมนิสต์ คนเขียนข่าว จนถึงคนอ่านข่าวหน้าจอทีวีและวิทยุ เป็นกลุ่มวิชาชีพพิเศษเช่นเดียวกับนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย คือสถาปนาตนเองเป็นฐานันดรที่แยกจากประชาชนทั่วไป ด้วยการสมมติ “จรรยาบรรณและจริยธรรม” ชุดหนึ่งขึ้นมา ให้สาธารณชนเชื่อว่า พวกตนเป็นกลุ่มคนที่มีความสูงส่งทางสติปัญญา สถานะ ความรู้ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและคุณธรรม คนพวกนี้รวมตัวกันอยู่ในองค์กรอาชีพ เป็นสมาคมสื่อมวลชนประเภทต่าง ๆ มีจุดประสงค์หลักคือ ปกป้องผลประโยชน์และสถานะของคนในอาชีพมิให้ถูกตรวจสอบจากสาธารณชน มีกิจกรรมหลักคือ เชิดชูกันเอง ให้รางวัลกันเองไปมา และคอยข่มขู่ผู้คนที่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบพวกเขาว่า “คุกคามสื่อ”
มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ดีพอ สูงส่งพอ สะอาดพอที่จะไปตรวจสอบ ชี้นิ้วประณามคนอื่นได้หมด แต่สังคมไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบคนพวกนี้
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42623
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น