กรณี"ล้วงโผ" เหตุเกิดที่"กลาโหม" รอยร้าวในเครือข่าย"พท."
ท่ามกลางเทศกาล "จัดทัพ" ข้าราชการ ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2555 ก่อนเดือนตุลาคม
อยู่ๆ มีข่าวจากกระทรวงกลาโหม เกรียวกราวในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่า พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่จะเกษียณอายุราชการในปีนี้ และปกติวางตัวโลว์โปรไฟล์ ไม่ค่อยเป็นข่าว
ให้ข่าวผ่านสื่อว่า มีการล้วงโผแต่งตั้งปลัดกระทรวง
ปลัดกระทรวงที่ พล.อ.เสถียร เล็งจะเสนอตั้งมาแทนตัวเอง คือ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัด อัตราจอมพล อันเป็นคุณสมบัติสำคัญ
แต่ถูก "มือดี" ดันหลัง พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ข้ามห้วยจากผู้ช่วย ผบ.ทบ. เข้ามาเป็นคู่แคนดิเดต
ขั้นตอนการแต่งตั้งอยู่ระหว่างดำเนินการ
คนล้วงโผว่า ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมนั่นเอง
สำหรับ พล.อ.อ.สุกำพล เป็นสายตรงจากดูไบที่ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง
นั่งเก้าอี้ รมว.คมนาคม ในรัฐบาล "ปู 1" ยุคบุกเบิก
หลังน้ำท่วมใหญ่ การปรับ ครม.เมื่อต้นปี 2555 ย้ายมานั่ง รมว.กลาโหม
ดู เส้นทางจากกระทรวงเกรดเอ มาสู่กระทรวงที่มีการเผชิญหน้าทางการเมืองสูง และมีข่าวเล็ดลอดมาหยั่งเสียงบ่อยๆ ว่า ถ้านายกฯหญิงจะมานั่งกลาโหม จะเกิดอะไรขึ้น
ก็ต้องถือว่า สถานะของบิ๊กโอ๋ในเวลาที่ผ่านมา ตกเป็นเป้าอยู่เหมือนกัน
แต่การ "ถอดชนวน" เด้งด่วน 3 นายพล โดยอิงข้อกฎหมายเป็นเรื่องเป็นราว และอธิบายต่อสังคมได้เนียนพอควร
เรียกเสียงเฮจากกองเชียร์ไม่น้อย
ปมสำคัญของเหตุการณ์ในท้องเรื่อง อยู่ที่การ "ขยาย" วงของเรื่องราวให้กว้างขวางออกไป
การกรณี "ล้วงโผ" ที่สังคมพร้อมให้ความสนใจ
แต่เมื่อมีการขยายปัญหา ไปแตะนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดย พล.อ.เสถียรเผยว่า ได้ทำหนังสือแจ้งนายกฯ และขอเข้าพบเพื่อชี้แจง
อีกมุมหนึ่งได้ ขยายไปถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
โดย พล.อ.เสถียรได้เผยว่า เตรียมเข้าพบ พล.อ.สุรยุทธ์ และนำสำเนาบัญชีรายชื่อมอบให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วย
เพื่อให้ตรวจสอบว่า หากผลการแต่งตั้่ง แตกต่างจากเอกสาร แสดงว่ามีการปรับแปลงแก้ไขรายชื่อนายทหารชั้นนายพล
ทำให้ "อุณหภูมิ" พุ่งทะลุปรอททันที
วัน ที่ 28 ส.ค. จึงมีคำสั่งสำนักรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ที่ 188/55 เรื่องให้นายทหารปฏิบัติหน้าที่ราชการ ลงนามโดย พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ให้ 1.พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัด กห. ปฏิบัติหน้าที่ให้คำปรึกษา และข้อพิจารณาเสนอแนะ เกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติ และการใช้ทหารพัฒนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
2.พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัด กห. ปฏิบัติหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อพิจารณาเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบาย และยุทธศาสตร์ด้านการป้องกัน และช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
3.พล.อ. พิณภาษณ์ สริวัฒน์ จก.สม. ปฏิบัติหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อพิจารณาเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายและ ยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการเพื่้อแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ตั้่งแต่บัดนี้
ตามมาด้วยการดวลคารม ระหว่าง พล.อ.สุกำพล กับ นายวิทยา แก้วภราดัย แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของดีกรีอดีต รมว.สาธารณสุข ในการถามตอบกระทู้ถาม เมื่อวันที่ 30 ส.ค.ที่ผ่านมา
พล.อ.สุกำพลระบุเหตุผลในการย้าย 3 นายพล เพราะนำเอาความลับเรื่องการโยกย้ายมาเปิดเผย ทั้งที่ยังไม่มีข้อยุติ
พร้อมกับงัดข้อกฎหมาย ยืนยันว่ามีอำนาจสั่งการ หักด่านข้อกล่าวหาไปได้
ท่าทีของ พล.อ.เสถียร หลังจากทราบคำสั่ง ก็คือ
"...ไม่ เสียใจ ทำตามความถูกต้อง ยอมเสียสละทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตยังยอม...เมื่อถูกทำลักษณะนี้ก็ไม่เป็นไร อีกหน่อย ผบ.เหล่าทัพก็โดนเหมือนกัน ผมเป็นต้นแบบให้..."
เป็นการทิ้งบอมบ์ เตือนไปยัง "ผบ.เหล่าทัพ" อันเป็นเรื่อง "อ่อนไหว" สำหรับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
และเปิดประตู ให้นักการเมืองเข้ามาผสมโรง โจมตีการล้วงลูก
แต่ปรากฏการณ์สำคัญอยู่ที่ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ที่หอบดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ขอขมาต่อ พล.อ.อ.สุกำพล
พร้อม กับให้สัมภาษณ์ว่า "บิ๊กโอ๋" ทำถูกต้องแล้ว การประชุมพิจารณาแต่งตั้งนายทหารระดับชั้นนายพลตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 และตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ยังไม่เสร็จสิ้น
การตั้งปลัดกลาโหม ยังไม่ผ่านคณะกรรมการของกระทรวงกลาโหมซึ่งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด
จึงไม่ควรที่กรรมการจะนำไปเปิดเผยข้ามขั้นตอน
รู้สึก เสียใจ และรู้สึกผิดที่มีส่วนร่วมทำหนังสือดังกล่าว รวมถึงหนังสือนำเรียน น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนำเรียน พล.อ.เปรม ซึ่งไม่ถูกขั้นตอนด้วย
ที่ร่วมกระทำไปเพราะถูกกดดันจากผู้ใหญ่ และมีงานเร่งด่วนกระชั้นมาก จึงขาดความรอบคอบในการร่างและตรวจเอกสาร
การ สั่งให้ไปราชการหรือช่วยราชการนั้น กรมเสมียนตรามีหลักการชัดเจน จะสั่งเพราะกรณีกระทำผิด หรือกรณีไม่ได้กระทำผิดก็ได้ ไม่อยากให้เป็นเรื่องการเมืองมาโจมตีกันแบบฉวยโอกาส ทำให้ผมรู้สึกละอายที่ทำให้นักการเมืองเข้ามาทำให้วุ่นวาย
สุดท้าย กรณีที่เกิดขึ้น ใครจะมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ย่อมเป็นไปตามการตัดสินใจของคณะกรรมการ
ขณะที่เครือข่ายพรรคไทยรักไทย อาจจะต้องไปจับเข่าเคลียร์กันเองด้วย
เพราะ ชื่อตัวละครที่เกี่ยวข้อง หรือโดนลากมาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.สุกำพล ไปจนถึง พล.อ.เสถียร พล.อ.ชาตรี ซึ่งหลังบ้านทั้่งคู่สนิทสนมกัน ไปจนถึง "เจ๊" ล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้าระหว่างกัน
แต่ตำแหน่งหน้าที่ เป็นเรื่องของส่วนรวมที่ต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์และกฎหมาย
ถ้าเอาคำว่า "พวกพ้อง" มาอยู่เหนือหลักเกณฑ์และกฎหมาย อนาคตของวิธีคิดวิธีปฏิบัติแบบนี้จะเป็นอย่างไร ก็พอจะมองเห็นกันได้อยู่
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1346552704&grpid=01&catid=&subcatid=
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น