6 ปีรัฐประหารอัปยศ
โดยสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
เผยแพร่ครั้งแรก หนังสือพิมพ์โลกวันนี้ วันสุข ปีที่ 8 ฉบับที่ 377 ประจำวันเสาร์ ที่ 15 กันยายน 2555
เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 นายทหารกลุ่มหนึ่ง ที่นำโดย พล.อ.สนธิ
บุณยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมด้วย พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข
ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร แม่ทัพกองทัพภาคที่ 3
พล.ท.อนุพงศ์ เผ่าจินดา แม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 เป็นต้น
ได้นำกองทัพเข้าก่อการยึดอำนาจทำการรัฐประหาร เพื่อล้มรัฐบาลของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ได้ทำการล้มเลิกประชาธิปไตย
แล้วล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งชาติไปด้วย มาถึงขณะนี้เวลาผ่านมาแล้ว 6 ปี
คงจะต้องสรุปว่า การรัฐประหารครั้งนี้ เป็นครั้งล้มเหลวที่สุด
เป็นการรัฐประหารที่นำมาสู่ความวุ่นวาย ความแตกแยก
และการนองเลือดของประชาชน และเป็นการชี้ให้เห็นว่า
การแก้ปัญหาทางการเมืองด้วยวิธีการอันไม่เป็นประชาธิปไตย
ภายใต้กรอบแนวคิดอนุรักษ์นิยมจัด ย่อมไม่ได้ผล
และนำไปสู่ความอัปยศเป็นที่สุด
ก่อนอื่นคงต้องอธิบายว่า การรัฐประหารในประเทศไทยครั้งนั้น
เผชิญปัญหาประการแรกทันที
เพราะเป็นการรัฐประหารที่เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่เอื้ออำนวยของสถานการณ์
ระหว่างประเทศ เพราะโลกนานาชาติไม่ได้ถือกันแล้วว่า
การรัฐประหารเป็นวิถีทางการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบอารยะ
ประเทศที่ก้าวหน้าในยุโรป ไม่มีการรัฐประหารมาเป็นเวลาช้านาน
ในลาตินอเมริกา แอฟริกา
ก็แทบจะไม่เหลือประเทศที่เปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยวิธีการรัฐประหารเลย
การรัฐประหาร พ.ศ.2549 ของไทยจึงถูกมองด้วยความประหลาดใจและไม่เข้าใจ
กล่าวกันว่าแม้กระทั่งสหรัฐอเมริกาก็มีความเห็นว่า
การรัฐประหารในไทยครั้งนั้น “ไม่มีเหตุผลที่จะยอมรับได้” สถานการณ์เช่นนี้
ทำให้คณะรัฐประหารไม่สามารถถือครองอำนาจไว้ได้ยาวนาน
ต้องรีบดำเนินการให้กลับเข้าสู่กระบวนการทางการเมืองปกติโดยเร็ว
ความล้มเหลวของการรัฐประหารประการสำคัญ
เห็นได้จากการไม่บรรลุข้ออ้างในการรัฐประหาร เช่น
ข้ออ้างที่จะทำหารรัฐประหารเพื่อการป้องกันความรุนแรงและความแตกแยกในสังคม
จะเห็นได้ว่า หลังรัฐประหาร สังคมไทยก็ยังแตกแยกยิ่งกว่าเดิม
และยิ่งนำมาซึ่งความรุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และจนถึงขณะนี้
ผลกระทบจากความแตกแยกและความรุนแรงก็ยังไม่อาจเยียวยาได้ แม้ว่า พล.อ.สนธิ
บุณยรัตกลิน ในวันนี้ จะเปลี่ยนบทบาทมาเป็น ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร
และรับตำแหน่งประธานกรรมาธิการปรองดองฯของรัฐสภา
พร้อมทั้งเสนอกฎหมายปรองดองเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
แต่การปรองดองก็ยังไม่บรรลุผล
ข้ออ้างต่อมา คือ เรื่องของการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
ก็เห็นได้ชัดว่า หลังจากการัฐประหาร
มีการเอาอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายศัตรูทางการเมืองกันชัดเจน
ดังเช่นการใช้มาตรา 112 มาจับกุมประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก จนถึงขณะนี้
ก็ยังมีผู้บริสุทธิ์ถูกคุมขังอยู่ การที่กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ตามมาตรา 112 ยังคงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการขังผู้บริสุทธิ์
หรือทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตคาคุกเช่นนี้
ไม่ได้เป็นการปกป้องพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
แต่จะยิ่งทำให้เกิดความแยกห่างจากประชาชนมากยิ่งขึ้น
ข้อกล่าวหาเรื่อง รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แทรกแซงองค์กรอิสระ
ในวันนี้ องค์กรอิสระทั้งหมดก็ยังถูกแทรกแซงโดยฝ่ายตุลาการ
ที่ทำให้องค์กรเหล่านี้ มีบทบาทอันอัปลักษณ์บิดเบี้ยว
การดำเนินการและผลงานล้วนไม่เป็นที่ยอมรับ
กลายเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอยุติธรรม เช่นเดียวกับองค์กรตุลาการอื่น
ส่วนข้อกล่าวเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงขณะนี้
ก็ยังไม่มีหลักฐานหรือข้อพิสูจน์อันชัดเจนแต่อย่างใด
แต่เรื่องนี้ก็ยังเป็นมายาคติขนาดใหญ่ ที่ยังคงมีการสร้างอย่างต่อเนื่อง
และทำให้ฝ่ายประชาชนเสื้อเหลืองเชื่อว่าเป็นความจริง และยังคงต่อต้าน
พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
แต่ผลของการรัฐประหารที่เสียหายอย่างยิ่ง คือ การล้มเลิกรัฐธรรมนูญ
และระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ
เพราะความจริงแล้วการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยพัฒนาอย่างราบรื่นมา
ตั้งแต่ พ.ศ.2535 มีการเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ และมีกติกาชัดเจนว่า
พรรคการเมืองที่ได้เสียงมากที่สุด และรวบรวมเสียงในรัฐสภาได้มากกว่าครึ่ง
ก็จะได้จัดตั้งรัฐบาล และการเปลี่ยนรัฐบาลก็เป็นไปตมครรลองประชาธิปไตยเสมอ
ยิ่งกว่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับที่ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ.2540
ก็ถือว่าเป็นฉบับประชาธิปไตยและประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดฉบับหนึ่ง
แต่คณะรัฐประหารล้มเลิกหมด และนำเอารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับอัปลักษณ์ ที่ให้อำนาจแก่ศาลเหนือการเมือง มาใช้แทน
จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก
แต่กระนั่นความพยายามที่จะแก้ไขยกเลิกรัฐธรรมอัปลักษณ์นี้
ก้ยังถูกต่อต้านจากฝ่ายปฏิกิริยาเสมอมา
ปัญหาสำคัญที่นำมาสู่ความรุนแรงก็คือ
การที่กลุ่มอำมาตยาธิปไตยที่อยู่เบื้องหลังทางการเมืองหลังรัฐประหาร
สนับสนุนให้มีการตั้งรัฐบาล
โดยพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับที่สองในการเลือกตั้งเมื่อ
พ.ศ.2550
โดยให้มีการรวบรวมเสียงจากพรรคเสียงเล็กน้อยกับกลุ่มแปรพักตร์มาตั้งรัฐบาล
บริหารประเทศ นั่นคือ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่รับตำแหน่งในเดือนธันวาคม พ.ศ.2551
จึงนำมาซึ่งการต่อต้านคัดค้านอย่างหนัก ในที่สุด
ชนชั้นนำที่ค้ำจุนรัฐบาลอภิสิทธิ์
ก็สนับสนุนการใส่ร้ายป้ายสีด้วยการสร้างผังล้มเจ้า
เพื่อเปิดทางให้เกิดการใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างปราบปรามประชาชนด้วยกอง
ทัพ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 94 คน และบาดเจ็บนับพันคน
มีผู้ถูกจับกุมจำนวนมาก
และในขณะนี้ก็ยังมีการดำเนินคดีกับประชาชนที่ถูกจับกุมอยู่
แต่ในอีกด้านหนึ่ง การรัฐประหาร พ.ศ.2549
ก็ได้ทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หวนกลับ
โดยเฉพาะในเรื่องการตื่นตัวของประชาชน
ที่มีความสนใจและมีส่วนร่วมทางการเมือง
อันทำให้การรัฐประหารครั้งใหม่คงเกิดขึ้นอีกได้ยาก และที่เห็นได้คือ
การเกิด”ปรากฏการณ์ตาสว่าง”
ที่ทำให้ประชาชนเห็นถึงความชั่วร้ายของฝ่ายอำมาตย์
และทำให้เกิดการปฏิเสธสถาบันหลัก(Establishment)ที่ครอบงำสังคมไทยมาช้านาน
และทำให้เห็นว่า สังคมไทยที่แท้จริงแล้วเป็นเมืองตอแหล หน้าไหว้หลังหลอก
พร่ำพูดกันแต่เรื่องดีด้านเดียว ไม่สนใจความจริง
ชนชั้นนำไทยไม่สนใจและเอาใจใส่ชีวิตของประชาชนระดับล่าง ยิ่งกว่านั้น คือ
การได้เห็นธาตุแท้ของตุลาการและกระบวนยุติธรรม
ที่ไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนชั้นล่าง แต่ยอมจำนนกับการรัฐประหาร
และพร้อมที่จะเอื้ออำนวยให้มีการจับผู้บริสุทธิ์เข้าคุก
สถานการณ์ในระยะ 6 ปีนี้ ได้ชี้ให้เห็นว่า
การที่จะสร้างประเทศให้มีความก้าวหน้ามั่นคง
ไม่อาจจะฝากความหวังใดกับชนชั้นนำ
เพราะชนชั้นนำไทยมีแนวโน้มทางทัศนะที่เป็นอนุรักษ์นิยมจัด โลกทัศน์แคบ
หวาดกลัวความคิดแตกต่าง ยอมรับและปอปั้นอภิสิทธิ์ชน และไม่นิยมประชาธิปไตย
อำนาจในการเปลี่ยนแปลงสังคมจึงอยู่ที่ประชาชนระดับล่าง
ซึ่งมีใจรักประชาธิปไตย เคารพในสิทธิของมนุษย์ คิดในหลักเสมอภาค และ
มีจิตใจกล้าต่อสู้ ปัญญาชนที่ก้าวหน้าและอยู่ฝ่ายประชาชน เช่น
กลุ่มนิติราษฎร์ ครก.112 กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ
นักวิชาการแนวหน้าคนอื่น อาจจะมีบทบาทในการนำเสนอประเด็นต่อสังคมไทย
แต่การผลักดันให้เป็นจริง
ย่อมอยู่ที่การทำให้ประเด็นเหล่านั้นมีลักษณะยอมรับร่วมกันในหมู่ประชาชน
การเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยจึงจะเป็นจริงได้
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42685
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น