สังคมในฐานะตัวประกันถาวรของรัฐประหาร
โดยประวิตร โรจนพฤกษ์
ในสังคมที่มีรัฐประหารที่ ‘ประสบความสำเร็จ’ 18 ครั้งในรอบแปดทศวรรษ
คงเป็นการไม่ฉลาดนักที่ใครจะออกมาประกาศว่ารัฐประหารเป็นเรื่องของอดีตที่
ไม่มีวันเกิดขึ้นอีก แต่หากรัฐประหารก่อให้เกิดประชาธิปไตยได้จริง
ป่านนี้ไทยคงเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดระดับต้นๆ
ของโลกประเทศหนึ่งไปนานแล้วเพราะผ่านรัฐประหาร ‘เพื่อประชาธิปไตย’ มากว่า
18 ครั้งในรอบ 80 ปี
ในโอกาสวันคล้ายวันครบรอบ 6 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549
ผู้เขียนก็ไม่คิดว่าจะมีปัญญาชนสาธารณะผู้ใดจะกล้าฟันธงว่าเมืองไทยจะไม่มี
รัฐประหารอีกแล้ว
หกปีหลังรัฐประหาร 19 กันยา
ไม่มีนายพลคนใดต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป
ไม่มีแม้กระทั่งคำขอโทษหรือการแสดงความเสียใจต่อสาธารณะ
หรือแม้แต่ต่อลุงนวมทอง ไพรวัลย์ แท็กซี่ผู้พลีชีพผูกคอตายต้านรัฐประหาร
ประชาชนคนไทยจำนวนมิน้อยยังคงยึดมั่นกับความเชื่อในเรื่อง
‘รัฐประหารที่ดี’ (‘good coup’)
ว่าจะช่วยกำจัดการโกงกินของนักการเมืองให้หมดจากแผ่นดินไปได้
โดยที่พวกเขาอาจไม่ตระหนักว่าแท้จริงแล้วรัฐประหารคือส่วนหนึ่งของปัญหาการ
เมืองไทยที่ทำให้ประเทศไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้
หลายคนยังเชื่อว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การก่อรัฐประหารแต่อยู่ที่ คมช.
หรือคณะรัฐประหาร 19 กันยา ที่ไม่เด็ดขาดและปราศจากความสามารถที่จะกำจัด
‘ระบอบทักษิณ’ ให้หมดสิ้นไปจากสังคมไทย ทักษิณ ชินวัตร อาจเป็นนายกฯ
ที่ลุแก่อำนาจ มีปัญหาซุกหุ้น ฆ่าตัดตอน
ปราบปรามกรือเซะตากใบโดยไม่เคารพสิทธิในการมีชีวิตของผู้อื่น
รวมถึงคุกคามสื่อที่เห็นต่างจากทักษิณในยุคที่เขาเป็นนายกฯ
แต่รัฐประหารมิใช่ทางออก
หากรัฐประหารได้นำสังคมไทยดิ่งลงสู่สภาพที่คนจำนวนมิน้อยได้ตัดสินใจว่าตน
ไม่จำเป็นต้องยึดกติการ่วมใดๆ ในการต่อสู้ทางการเมืองอีกต่อไป
แม้คนเสื้อแดงจะเป็นผลพวงโดยไม่เจตนาของรัฐประหาร 19 กันยา 49
แต่คนที่เกลียดทักษิณจำนวนมิน้อยก็ยังคงถวิลหารัฐประหารที่ดีสมบูรณ์แบบ
(perfect coup) ที่พวกเขาเชื่อว่าจะช่วยกวาดล้างการเมืองให้สะอาด
อันเป็นความคิดมักง่ายและตื้นเขิน เพราะไม่มีการตั้งคำถามว่า
อำนาจที่ไปกระจุกตัวอยู่กับคณะรัฐประหารนั้นตรวจสอบได้หรือไม่
และกองทัพบกและโดยเฉพาะคณะรัฐประหารมีปัญหาเรื่องคอรัปชั่นหรือใช้อำนาจไปใน
ทางที่มิชอบด้วยหรือไม่?
ทัศนคติเช่นนี้สะท้อนความเชื่อที่ว่าหากคุณเชื่อว่าใครเป็น ‘คนดี’
เขาย่อมทำอะไรดีและถูกต้องโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ เวลาบรรดา ‘คนดี’
ก่อรัฐประหาร
พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจเหมือนกับผู้อื่น
เหมือนกับ ‘คนชั่ว’
พูดง่ายๆ คือ คนไทยจำนวนมิน้อยยังคงเชื่อใน ‘ความดี’ และ ‘คนดี’ ที่ไม่จำเป็นต้องถูกตรวจสอบวิพากษ์หรือถ่วงดุลอำนาจใดๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้รัฐประหารจะขัดรัฐธรรมนูญ ขัดหลักประชาธิปไตย
ก็ไม่เป็นไร เพราะผู้ที่สนับสนุนรัฐประหาร เชื่อใน ‘ความดี’
ของคณะรัฐประหาร 19 กันยา 2549 – ไม่เพียงแต่ไม่เป็นไร
หากรัฐประหารยังเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมสรรเสริญดังที่มีประชาชนจำนวนหนึ่งนำ
ดอกไม้ไปมอบให้ทหารเมื่อหกปีที่แล้ว
และดังที่สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนและไม่ละอายตนเองในบท
บรรณาธิการและบททรรศนะว่า ‘รับได้’
หลายคนยังได้สรุปอีกว่า ในเมื่อคนเหล่านี้ชอบเลือกทักษิณนัก
พวกเขาก็คงเลวเหมือนทักษิณ
หรือมิเช่นนั้นก็โง่เสียจนถูกทักษิณหลอกและซื้อได้ หรือไม่ก็ทั้งเลวและโง่
ผลที่ตามมาคือความโกรธแค้นเจ็บปวดของประชาชนผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งเลือก
ตั้งส่วนใหญ่ที่เลือกทักษิณและพรรคไทยรักไทย
ที่รู้สึกว่าพวกเขาเหมือนประชาชนชั้นสอง
ที่มีคนที่อ้างตนว่ารู้ดีมีการศึกษามีคุณธรรมตัดสินแทนพวกเขาผ่านลำกระบอก
ปืนและรถถัง จนในที่สุดนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดเดือนเมษาพฤษภาปี 2553
ที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครต้องออกมารับผิดชอบกับความตายกว่าเก้าสิบศพ
หกปีหลังรัฐประหาร 19 กันยา ไม่มีความพยายามอันใดในการปฏิรูปกองทัพ
เพื่อที่จะให้กองทัพมีวินัยและอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง
และไม่ไปจุ้นจ้านแทรกแทรงการเมืองอีกต่อไป
ทุกวันนี้กองทัพบกยังคงเป็นเจ้าของฟรีทีวีสองในหกสถานี
เป็นเจ้าของคลื่นวิทยุกว่า 60 เปอร์เซนต์ของทั้งประเทศ
มีหุ้นจำนวนมหาศาลในธนาคารทหารไทย ผบ.ทบ.
มักให้สัมภาษณ์เรื่องการเมืองเป็นนิจ แถมนักข่าวมักถาม ผบ.ทบ. เป็นระยะๆ
ว่า: ‘ท่านคะๆ จะมีรัฐประหารเร็วๆ อีกหรือเปล่าคะ?’ – คำถามคือ
มีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงกี่ประเทศ
ที่กองทัพบกมีอำนาจและอิทธิพลมากขนาดนี้?
ในสถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นยิ่งที่สังคมไทยจะต้องปฏิรูปกองทัพ
โดยเฉพาะกองทัพบก
และควรมีขบวนการประชาชนที่จะผลักดันแคมเปญให้เกิดการปฏิรูป
ความเชื่อเรื่องรัฐประหารที่ ‘ดี’
จะต้องถูกท้าทายอย่างตรงไปตรงมาและกว้างขวางเช่นกัน หากไม่สำเร็จ
สังคมไทยก็จักยังคงต้องตกเป็นตัวประกันถาวรของการรัฐประหารต่อไป
ตำแหน่งที่หนึ่งในประเทศที่เสพติดรัฐประหารมากที่สุดในโลก
มิใช่ตำแหน่งที่สังคมไทยควรภาคภูมิใจ
นอกจากเสียแต่ว่าคนจำนวนมากติดรัฐประหารกันงอมแงมจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
ป.ล. มีผู้ที่สนับสนุนรัฐประหารคนหนึ่งในทวีตภพบอกผมว่า
รัฐประหารคราวหน้า ทหารมิควรยึดแต่สถานีโทรทัศน์ หากควรปิดอินเทอร์เน็ตด้วย
– ทั้งนี้คงเป็นเพราะทุกวันนี้ การถกเถียงเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับการเมือง
ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งในโลกไซเบอร์
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42706
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น