โดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข
80 ปีบนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากราชาธิปไตย
มาเป็นประชาธิปไตยของไทยเราเต็มไปด้วยชีวิต เลือดเนื้อ
กองกระดูกของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยครั้งแล้วครั้งเล่า จอมพลสฤษดิ์
ธนรัชต์ ใช้อำนาจเผด็จการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากโดยไม่มีความผิด
เช่นเดียวกันกับการสังหารหมู่ประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516, 6 ตุลาคม
2519, พฤษภาทมิฬ 2535 ล่าสุด 19 พฤษภาคม 2553 ทั้ง 4
เหตุการณ์นองเลือดเป็นอาชญากรรมของรัฐเผด็จการทหาร
และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบต่อการสูญเสีย
และไม่มีใครต้องถูกประณาม หรือถูกตำหนิ ถูกดำเนินคดีให้ต้องรับโทษทัณฑ์
บรรดาขุนศึกนายทหารที่เกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่าประชาชนอย่างป่าเถื่อนล้วน
ดำรงอยู่ในตำแหน่งเกียรติยศ เป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นถนอม กิตติขจร, ประภาส จารุเสถียร, ณรงค์ กิตติขจร,
สงัด ชะลออยู่, สุจินดา คราประยูร ฯลฯ บางคนยังได้ดิบได้ดี
เป็นผู้มีบารมีมากล้น และอิทธิพลกว้างขวางจนถึงทุกวันนี
บรรดาคนเป็น ที่มีชีวิตอยู่ได้แต่อาศัยเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง ไต่เต้าสู่ตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ ในที่สุดพวกเขาเป็นได้แค่ลิ่วล้อสถุลของระบบการเมืองแบบเก่าเท่านั้น
แม้แต่ในเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงจนเสียชีวิตเป็นใบไม้ร่วงกลางถนน 94 ศพ ระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 เหตุการณ์ผ่านมา 2 ปี ยังหาฆาตกรไม่พบ และไม่มีใครหน้าไหนต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิต ผู้ที่เป็นรัฐบาลในขณะนั้นยังหน้าด้านปฏิเสธหน้าตาเฉยอีกว่า ไม่ได้สั่งการให้ทหารยิงประชาชน
ที่น่าทุเรศไปกว่านี้ก็คือ การแสดงออกถึงความโง่เขลา และสันดานหยาบช้าของผู้นำกองทัพไทยที่ออกมาปฏิเสธเรื่องปืนสไนเปอร์เป็น เพียงปืนติดลำกล้องเพื่อใช้ระวังป้องกันซึ่งในตลาดนัดมีขายสำหรับใช้ยิงนก นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าได้ถามลูกน้องแล้วไม่ได้ยิงใครสักคน ! (17 ส.ค. 55)
สำหรับบางคนที่กินหญ้า กินฟางเป็นอาหารอาจจะเชื่อคำกล่าวของผู้นำกองทัพไทย แต่ในความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ตำตา เต็มบ้าน เต็มเมือง ก็คือว่า ทหารกว่า 30,000 นายที่มาในปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ได้แบกจอบ แบกเสียม มาเดินทอดน่องในพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง แต่เป็นกำลังทหารพร้อมอายุธสงครามตั้งแต่หัวจรดตีน มาสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง แทนที่จะใช้ตำรวจปราบปรามจลาจล ซึ่งได้รับการฝึกฝนทำหน้าที่สลายการชุมนุมเป็นไปตามขั้นตอนจากเบาไปหาหนัก การใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธบรรจุกระสุนจริง ส่อเจตนาที่จะเข่นฆ่าปราบปรามประชาชน อีกทั้งในวันสลายการชุมนุม กำลังทหารยังปกปิดชื่อ – นามสกุล บนหน้าอก และปิดบังทะเบียนรถ ชื่อหน่วยงานสังกัด ซึ่งขนอาวุธเข้ามาในที่ชุมนุมอีกด้วย (ดูรูปถ่ายในนิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 22) เป็นการแสดงถึงเจตนาอำพรางพฤติกรรมอำมหิตในครั้งนี้
นอกจากนี้ยังมีรายงานสรุปการเบิกจ่ายกระสุนจากหน่วยคลังแสงสรรพาวุธทหาร บกระหว่างวันที่ 11 มีนาคม 2553 จนสิ้นสุดปฏิบัติการปรากฏว่ามีการเบิกกระสุนจำนวน 597,500 นัด แต่ส่งคืน 479,577 นัด เท่ากับใช้ไป 117,923 นัด ในจำนวนนี้มีการเบิกกระสุนปืนซุ่มยิง (Sniper) 3,000 นัด ส่งคืน 880 นัด รายงานชิ้นนี้เห็นได้ชัดเจนในเจตนาสังหารหมู่ประชาชน ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิต 94 ศพ และที่บาดเจ็บอีก 3,000 คนคือความเป็นจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
ส่วนกรณีชายชุดดำที่เข้ามาปะทะกับกำลังทหารในความเป็นจริงผู้เสียชีวิต 94 คน เป็นพลเรือน 77 ราย อาสาสมัครกู้ชีพ – พยาบาล 5 ราย ผู้สื่อข่าว 2 ราย รวม 84 ราย ทั้งหมดนี้หากสืบประวัติโดยละเอียดย่อมประจักษ์ชัดเจนว่า พวกเขาไม่มีภูมิหลังเกี่ยวข้อง หรือมีความสามารถใช้อาวุธสงคราม หรือตายในสภาพที่มีอาวุธติดตัวอยู่ ความจริงเช่นนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นผลมาจากการใช้กำลังทหารที่ลุแก่ อำนาจด้วยความป่าเถื่อน โหดเหี้ยม อำมหิต ผิดมนุษย์ของรัฐบาลในขณะนั้น
ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐ 10 ราย เสียชีวิตมีการกล่าวหาว่ามีชายชุดดำใช้อาวุธตอบโต้ แต่จนขณะนี้ยังไม่สามารถจับกุมใครได้ ดังนั้นการหยิบยกเอาเรื่องกลุ่มชายชุดดำมาเป็นข้ออ้างจึงเป็นเพียงการเบี่ยง เบนประเด็นเพื่อกลบเกลื่อนความเลวระยำของรัฐบาลนั่นเอง
อันที่จริงเป็นปรากฏการณ์ทั่วไปอยู่แล้ว เมื่อรัฐใช้ความรุนแรงเข่นฆ่าประชาชน ย่อมเป็นสิทธิ และความชอบธรรมที่จะใช้อาวุธปะทะกับกำลังทหาร และมักจะกลายเป็นการจลาจล กระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมือง (Civil War) ในที่สุด
ในกรณีของผู้ร่วมชุมนุมคนเสื้อแดงอาจกล่าวได้ว่าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และเป็นผู้หญิงแม่บ้าน ไม่มีศักยภาพทางการทหาร หรือการใช้ความรุนแรง ไม่ใช่กลุ่มจัดตั้งที่มีกำลังติดอาวุธ ส่วนแกนนำเป็นพวกนักพูด สันทัดในการจับไมโครโฟน เป็นศิลปินร้องรำทำเพลง หรือไม่ก็เป็นตาวตลก ถือปืนไม่เป็น จึงเป็นแกนนำที่ไม่มีความสามารถในการทำศึกสงครามได้เลย
มีเพียงพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ที่มาเข้าร่วมการชุมนุม เสธแดงมีกองกำลังที่มาจากคนเร่ร่อน นำมาฝึกออกกำลังกายด้วยไม้พลองที่สนามหลวง มีความสามารถมากที่สุดแค่ยิงหนังสะติ๊กเท่านั้น แต่แล้วเสธแดงก็ถูกลอบสังหารสิ้นชีวิตเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เสียก่อนที่กองกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลจะเข้ามาเข่นฆ่าคนเสื้อแดงล้มตายระเน ระนาด เหมือนหมู หมา กา ไก่ ข้างถนน
เป็นเรื่องแปลกแต่จริง หลังจากฆ่ากันตายไปแล้ว รัฐบาลตั้งงบประมาณหลายล้านบาทตั้งคณะกรรมการอิสระค้นหาความจริง และการปรองดอง ผ่านมาสองปียังหาความจริงไม่เจอ มีแต่รายงานสากกะเบือประจำเดือนผลาญงบประมาณของรัฐกันสบายมือ
อันที่จริงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถทำความจริงในเหตุการณ์สังหารโหดได้มากกว่านี้ อย่างน้อยที่สุดจะต้องตรวจสอบบงประมาณกว่า 6,000 ล้านบาทที่ใช้ในการเข่นฆ่าประชาชนครั้งนี้ จะต้องมีการสะสางกันออกมาให้ได้ แต่นักการเมืองจากพรรคเพื่อไทย และแกนนำเสื้อแดง เมื่อได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกันแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอย่างเพียงพอจะทำให้ มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งหมด
กำลังทหารไม่ต่ำกว่า 30,000 นาย อาวุธสงคราม ปืน M.16, ทาโว่, ปืนกล และกระสุนกว่า 117,923 นัด งบประมาณ 6,000 ล้านบาท จำนวนคนตาย 94 ศพ บาดเจ็บอีก 3,000 คน การประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้น เป็นประจักพยานที่แจ่มชัดต่อโศกนาฏกรรมทางการเมืองในครั้งนี้
ภายใต้โครงสร้างระบบศักดินาสวามิภักดิ์ที่เต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ กลับดำเป็นขาว การสร้างวาทกรรมตอแหลรายวัน การปลิ้นปล้อนสารพัดความชั่วสกปรกของชนชั้นปกครองนี้ จะทำให้อาชญากรรมของรัฐ และความรุนแรงทางการเมืองจะยังคงดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าเมืองไทยจะฉิบหายวายวอด ไปในที่สุด
นี่แหละบทเรียนอันล้ำค่าที่เจ็บปวดยิ่ง เป็นการสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ “ศพไพร่ย่อมไร้ค่า ตายห่าช่างหัวมัน” ลืมมันเสียเถิด มาปรองดองกันเถอะเรา !!!
(ที่มา)
http://blogazine.in.th/blogs/somyot-redpower/post/3592
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น