หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ฉีกหน้ากาก สนธิ ลิ้มทองกุล 1

http://www.youtube.com/watch?v=ANqa1ZH7JZg&feature=player_embedded#!

จิบน้ำชากับคนรู้ใจครั้งที่4-2 11-09-2011.wmv

ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย
 http://www.youtube.com/watch?v=fdqrntF6Ne8&feature=player_embedded#!

อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
 http://www.youtube.com/watch?v=_TPlWvFD4WU&feature=player_embedded

ทอม ดันดี
http://www.youtube.com/watch?v=ixwDZVoPH3E&feature=player_embedded
บทความแปล: พรรคประชาธิปัตย์และการ “เร่งเครื่อง” ให้เข้าสู่วิกฤติการณ์ทางการเมือง

อ้างอิง:http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2011/09/11/democrat-party-and-getting-a-political-crisis-in-motion/
บทความลงพิมพ์เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

รูปภาพ

แปลโดย: ดวงจำปา

พรรคประชาธิปัตย์ได้ประกาศว่า เวลาได้หมดลงแล้วสำหรับรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ผู้ช่วยโฆษกของพรรคซึ่งได้พ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งมาอย่างย่อยยับเมื่อต้น เดือนกรกฎาคม ได้ประกาศก้องว่า รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งได้เข้ามาทำงานอย่างเป็นทางการเป็นเวลาหนึ่งเดือนนั้น ควรจะสิ้นสุดลงได้แล้ว

ผู้ช่วยโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นายอรรถพร พลบุตร ได้เตือนว่า ประชาชน (ชาวไทย – ผู้แปล) “ควรที่จะเตรียมพร้อมกับวิกฤติการณ์ทางการเมืองรอบใหม่ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นภาย ในหกเดือนนี้ เพราะว่า รัฐบาลซึ่งบริหารโดยพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ได้ละเมิดอำนาจของตนเอง เพื่อผลประโยชน์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร...” เขายังได้อ้างต่อไปด้วยว่า “การใช้อำนาจของรัฐบาลไปในทางที่ผิดนั้น ได้เริ่มเป็นเรื่องที่ประชาชนในสังคมไทย ไม่สามารถที่จะยอมรับได้”

ข้อ กล่าวหาเกี่ยวกับการ “ละเมิดอำนาจ” เหล่านี้ รวมไปถึง “การสร้างความกดดันเพื่อจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษจาก นายกฯ ทักษิณ, ความพยายามที่จะรื้อฟื้นคดีที่ดินรัชดาภิเษกขึ้นมาใหม่, การย้ายพนักงานของรัฐที่เป็นไปโดยไม่ชอบธรรม, และการแต่งตั้งบุคคลที่มีข้อหาอันฉกาจฉกรรจ์ให้ไปมีตำแหน่งทางการเมือง....” นอกไปจากเรื่องเหล่านี้แล้ว, เขาก็ยังเพิ่มเรื่อง “นโยบายหลักของรัฐบาล เป็นต้นว่า เงินค่าครองชีพขั้นต่ำจำนวน 300 บาทต่อวัน, เงินเดือน 15,000 บาท ต่อเดือนสำหรับบุคคลที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี และโปรแกรมการประกันข้าวเปลือกซึ่งเต็มไปด้วยข้อบกพร่องและสามารถส่งผลกระทบ ไปถึงเสถียรภาพของโครงการด้วย”

ท้ายสุดแล้ว, นายอรรถพร ได้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเพิ่งเข้ามาบริหารงานได้เพียงเดือนเดียว ให้ลาออกไปเสีย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว “รัฐบาลจะเผชิญกับแรงต่อต้านซึ่งทวีเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ จากหลายทางสังคมหลายฝ่าย.”

สมควรหรือไม่ ที่นายอรรถพรควรจะถูกเฉดหัวออกไปในฐานะของบุคคลที่วิกลจริต ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่สามารถยอมรับกับความจริงได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่เคยมีความสามารถที่จะชนะการเลือกตั้งเลย? เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เหตุผลต่างๆ สำหรับทัศนคตินี้ก็คือ:

ข้อที่หนึ่ง, เมื่อไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและแกนนำคนเสื้อแดง นายจตุพร พรหมพันธ์ ได้ทราบมาว่าได้กล่าวข้อความดังนี้ “กลุ่มผู้มีอำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญกำลังสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อจะทำลายรัฐบาล ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย” เรื่องนี้ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลย ที่กลุ่มอำมาตย์ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านนายกฯ ทักษิณ กำลังลงมือปฎิบัติงาน, วางแผนและสร้างยุทธวิธีอยู่

ข้อที่สอง, พรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงให้เห็นอยู่เสมอว่า ตัวพรรคเองไม่ยอมรับกระบวนการการเลือกตั้ง ดังนั้น จะไม่มีการพ่ายแพ้การเลือกตั้งโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะแพ้ยับเยินขนาดไหน ดังนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเคารพในผลการเลือกตั้งเหล่านี้

ข้อที่ สาม, พรรคประชาธิปัตย์มีประวัติอันยาวนานในการพึ่งพาขุมกำลังที่มีอำนาจการตัดสิน ใจอย่างเด็ดขาด ซึ่งไม่ได้มาจากครรลองระบอบประชาธิปไตย เพื่อที่จะยกพรรคของตัวเองให้กลายเป็นรัฐบาลได้ โดยการตกลงเงื่อนไขกับ ฝ่ายสถาบันฯ, ทางกองทัพ, กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มอำมาตย์ที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง

ข้อสุดท้าย, พรรคประชาธิปัตย์เองก็คาดหวังว่าจะมีเหตุการณ์แบบเก่าเกิดขึ้นอีก นายกฯ ทักษิณได้ชนะการเลือกตั้งอย่างมโหฬารที่สุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 และถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตาม ทางฝ่ายกองทัพก็นำเอารถถังเข้ามายึดอำนาจ เพียงแค่ 14 เดือนต่อมา หลังจากการก่อกวนปลุกปั่นอย่างเป็นเวลายาวนาน โดยฝ่ายกำลังต่อต้านนายกฯ ทักษิณ

สำหรับนายอรรถพรและพรรคของเขานั้น การพ่ายแพ้การเลือกตั้งก็เปรียบเสมือนกับ หลุมบ่อที่กระเทือนบนท้องถนนเท่านั้น และในไม่ช้านี้ ก็สามารถที่จะฟันฝ่าเรื่องเหล่านี้ไปได้ โดยการใช้ การโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านนายกฯ ทักษิณ, ใช้สำนวนโวหาร และโดยการใช้สื่อของฝ่ายเสื้อเหลือง, กลุ่มนักวิชาการ และ กลุ่มผู้รวบรวมมวลชน ให้ เริ่มเร่งเครื่องให้เกิดการเคลื่อนไหวต่างๆ ขึ้นมา




ความคิดเห็นของผู้แปล:

สิ่ง ที่ดิฉันเห็นเป็นอย่างแรก ก็คือ การโกหกกับคำว่า "การปรองดอง" เพราะไม่อย่างนั้น นายคนนี้จะไม่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้อย่างเด็ดขาด

รอบ นี้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องการดำเนินการในรูปแบบเดิม สร้างความปั่นป่วนปลุกระดมให้กับบ้านเมืองอีก เราก็คงเห็นพวกแดง hardcore ออกมาปกป้องรัฐบาลที่พวกเขาเลือกแน่ๆ เป่านกหวีดเรียกคนเสื้อแดง โดยการนัดกันแค่นั้น ก็คงจะได้สองหมื่นคนขึ้นไป

ที่สำคัญคือพวก สื่อ และ นักวิชาการ รวมไปถึง นักปลุกระดมที่ออกมาอย่าง หมอตุลย์ นั้น ก็ควรจะต้องระวังตัว ระวังปากให้ดีเหมือนกัน เพราะเหตุการณ์ในปัจจุบัน มันไม่เหมือนเมื่อสมัย พฤษภาคม 2553 แน่ๆ และ ถ้าจะให้กองทัพฯ เข้ามายุ่งอีก ดิฉันไม่อยากจะวาดภาพ แต่คิดว่า จะเป็นแบบรัสเซีย หรือมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป

และถ้ามีการตัดสินโดยทางฝ่ายตุลาการภิวัฒ น์ อีกครั้งหนึ่ง รับรองได้ว่า ประชาชนเขาไม่ยอมแน่ เผลอๆ กระบวนการยุติธรรมก็อาจจะถึงความระส่ำระสายง่ายๆ ถ้าเกิดทำอะไรขัดขวางสายตาของประชาชนส่วนใหญ่เขา

ดิฉันคาดว่า ฝ่ายทหารจะโดนหนักที่สุดในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะมีอาวุธยุโธปกรณ์ดีแค่ไหน มันก็จะต้องมีบุคลากรอยู่เบื้องหลังตลอด พลังความแค้นของคนมันถึงจุดแล้ว และหลายๆ ท่านก็คงจะไม่ยอมให้ใครมาปล้นอำนาจได้อย่างง่ายๆ

งานนี้ พรรคประชาธิปัตย์น่าจะถูก “ยำ” จากต่างประเทศด้วย นี่ขนาดคนเขียนบทความนี้ เขาอยู่ทางยุโรป ก็ยังทราบรายละเอียดขนาดนี้ ลองคิดดูซิว่า ศัตรูซึ่งพรรคของคุณได้ไปสร้างไว้ทั่วโลกนั้น มีขนาดไหน นี่ยังไม่รวมถึง ประเทศจีนและรัสเซียเสียด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเรื่องการยึดอำนาจเกิดขึ้น พรรคที่จะพังคือพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเกือบทั้งโลก ไม่มีใครไปคบค้าสมาคมด้วย และอย่าหวังพึ่งฝ่ายอำมาตย์เลย เพราะพวกนี้ ก็จะไปไหนมาไหนไม่ได้เหมือนกัน

ตามบทความนี้ แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าพรรคแมลงสาปจะแพ้การเลือกตั้งแค่ไหน มันก็ไม่ยอมรับฟัง ผลการตัดสินของประชาชนทั้งสิ้น จะเอาแต่พึ่งกับอำนาจจากมือที่มองไม่เห็น อยากจะถามจริงๆ ว่า อำนาจเหล่านั้นน่ะ คุณคิดว่าจะกลับมาง่ายๆ อีกครั้งหนึ่งเชียวหรือ?

รอบ นี้ ผู้เขียนเขาวิเคราะห์มาแล้วว่า การปั่นป่วนควรจะมาในรูปแบบใด เราก็ต้องเตรียมพร้อมค่ะ สงครามยังไม่หยุด เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดและยอมแพ้

เขาจะเอา นายกฯ ทักษิณ เข้ามาสร้างกระแสต่อต้านนั่นเอง เราจะเห็นเหตุผลสองข้อแรก ที่นายอรรถพรกล่าวไว้ การโยงเอาตัว นายกฯ ทักษิณเข้ามา เป็นเรื่องง่าย ต่อการปลุกปั่น สร้างความเกลียดชัง และสร้างมวลชนเหมือนคราวที่ผ่านมาเมื่อปี พ.ศ. 2549

ที่แปลกใจมากก็ คือ ยังมีประชาชนพอสมควร โดยเฉพาะทางภาคใต้ และกรุงเทพฯ กระทำการสนับสนุนกับวิธีการสกปรกของพรรคนี้อยู่อีกหรือคะ? แล้วคุณจะเอาการปกครองแบบไหนเข้ามาใช้ในประเทศ แสดงว่า คุณไม่เข้าใจถึงระบอบประชาธิปไตยที่มาจากเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศกันเชียว หรือ?

พวกเราเสื้อแดง พร้อมหรือยังคะ ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ดิฉันหวังว่า คงจะไม่มีเรื่องของ “สันติ อหิงสา อโหสิ” ในคำศัพท์นะคะ เรามีสิทธิ์ที่และความชอบธรรมต่อการปกป้องรัฐบาลที่พี่น้องเสื้อแดงได้เลือก ให้เข้ามาบริหารประเทศ ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยแน่ๆ ค่ะ

ดวงจำปา