หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

แดงก้าวหน้าทวงนิรโทษกรรม รวมพล10เมษา ถามกฤษฎีกา

แดงก้าวหน้าทวงนิรโทษกรรม รวมพล10เมษา ถามกฤษฎีกา




8 เมษายน 2556 go6TV - นางสุดา รังกุพันธ์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะแกนนำกลุ่ม 29 มกราฯ ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ระบุว่า วัน ที่ 10 เม.ย.นี้ เวลา 09.00 น. ประชาชนในนามกลุ่ม 29 มกราฯ ได้นัดหมายรวมตัวที่กำแพงประวัติศาสตร์ 6 ตุลาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะเดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อทวงถามความคืบหน้าของการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการ ขจัดความขัดแย้ง ตามที่ทางกลุ่มได้มีการชุมนุมเเละเสนอแนวทางนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองต่อรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา

ทั้ง นี้ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม 3 ฉบับทั้ง ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ร่าง พ.ร.ก.ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวมถึงร่างรัฐธรรมนูญของนักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ที่ทางกลุ่ม 29 มกราฯ ยื่นต่อรัฐบาลยังค้างอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการกฤษฎีกา

(ที่มา)
http://www.go6tv.com/2013/04/10.html?spref=fb

ที่นี่ความจริง

ที่นี่ความจริง

 




ที่นี่ความจริง 9 04 56
พบกับอ.สาวิตรี(2)
http://www.youtube.com/watch?v=kh_d1mcvlYs

ที่นี่ความจริง 8-4-2013
พบกับอ.สาวิตรี(1)
http://www.youtube.com/watch?v=UF1J37xCPP4&list=UU8plyTl978zwLwp6Otn8YpQ&index=3

Wake Up Thailand

Wake Up Thailand
 
 
THATCHER …ONLY GOD FORGIVES!

Wake Up Thailand ประจำวันที่ 9 เมษายน 2556  ตอนที่ 2 
THATCHER …ONLY GOD FORGIVES! 
http://www.dailymotion.com/video/xyumpp_thatcher-only-god-forgives_news#.UWRIaTf6mZQ  
  

ไม่มีใครอยู่เหนือศาล แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ 

Wake Up Thailand ประจำวันที่ 9 เมษายน 2556  ตอนที่ 1
ไม่มีใครอยู่เหนือศาล แม้แต่ศาลรัฐธรรมนูญ 
http://www.dailymotion.com/video/xyultd_yy-y-  

Divas Cafe ประจำวันที่ 9 เมษายน 2556

Divas Cafe ประจำวันที่ 9 เมษายน 2556


หนีร้อนไปพึ่งไอศครีม^^ 

หนีร้อนไปพึ่งไอศครีม
http://www.dailymotion.com/playlist/x2jl9s_VoiceTV_divas-cafe/1#video=xyuogx 

“รัฐ” ไม่ได้เป็นเจ้าของ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” แต่เป็นแค่ “นอมินี” ของ “กษัตริย์” เท่านั้น

“รัฐ” ไม่ได้เป็นเจ้าของ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” แต่เป็นแค่ “นอมินี” ของ “กษัตริย์” เท่านั้น



โดย โชติศักดิ์ อ่อนสูง 
  
ราชาธิปไตย
http://www.youtube.com/watch?v=ToI2I0NQPv8 

(1) 
Royalist ท่านหนึ่งได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ในเฟซบุ๊คของเขา โดยได้เปรียบเทียบ “สนง.ทรัพย์สินฯ” ไว้อย่างน่าสนใจมาก เพียงแต่ว่า Royalist ท่านนี้ได้ละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญบางอย่างไป ทำให้ข้อสรุปที่ได้จึงกลายเป็นกลับหัวกลับหางกับความเป็นจริง ผมจึงจะยกการเปรียบเทียบดังกล่าวมาเล่าพร้อมกับจะพยายามชี้ให้เห็นข้อเท็จ จริงที่ Royalist ท่านนั้นมองข้ามไปให้ผู้อ่านได้เห็น ซึ่งผมคิดว่าด้วยวีธีนี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนสามารถทำความเข้าใจสถานะความ เป็นเจ้าของของ สนง.ทรัพย์สินฯได้ง่ายขึ้น


Royalist ท่านนั้นได้เปรียบเทียบไว้ว่า “(สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) เหมือนบริษัทมหาชน ที่ในหลวงทรงเป็น "ประธานกิตติมศักดิ์", รมว.คลัง เป็น "ประธานบอร์ด", ผู้อำนวยการ สนง.ทรัพย์สินฯ เป็น CEO” (โปรดดู https://www.facebook.com/photo.php?fbid=280522802081962&set=a.117227755078135.19760.100003727339052&type=1)

อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้ว การเปรียบเทียบนี้ได้ละเลยข้อเท็จจริงที่สำคัญบางอย่างไป กล่าวคือ ไม่มีประธานกิตติมศักดิ์บริษัทมหาชนที่ไหนมีอำนาจแต่งตั้งบอร์ดบริหารของ บริษัทเกือบทั้งหมด (โดยทั่วไป อำนาจการตั้งบอร์ดเป็นของ “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งก็คือคนที่เป็นเจ้าของบริษัทนั่นเอง) และไม่มีประธานกิตติมศักดิ์ของบริษัทไหนที่สามารถใช้สอยเงินกำไรของบริษัท แต่เพียงผู้เดียว (โดยทั่วไปกำไรของบริษัทนอกจากจะหักไว้เพื่อการลงทุนเพิ่มหรืออื่นๆแล้วก็ ปันผลให้ “ผู้ถือหุ้น” ซึ่งก็คือคนที่เป็นเจ้าของบริษัท)


(2)
สนง.ทรัพย์สินฯมีคณะกรรมการซึ่งมีอำนาจดูแลกิจการทั้งหมดของ สนง. โดยมี รมว.กระทรวงการคลังเป็นประธานโดยตำแหน่ง และมีกรรมการอื่นอีกไม่น้อยกว่า 4 คนซึ่งแต่งตั้งโดยกษัตริย์ โดย 1 ในกรรมการที่กษัตริย์แต่งตั้งนั้นทำหน้าที่เป็น ผู้อำนวยการด้วย (ดู พรบ.ระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2491 ม.4 ตรี) อย่างไรก็ตามในปัจจุบันกรรมการที่กษัตริย์แต่งตั้งมีทั้งหมดถึง 6 คน (ดู http://www.crownproperty.or.th/about_us_02.php)


จะเห็นได้ว่าอำนาจในการแต่งตั้ง “บอร์ด” ส่วนใหญ่ของ สนง. (หรือของบริษัทถ้าเอาตามที่ Royalist ท่านนั้นได้เปรียบเทียบไว้) ส่วนใหญ่ (ขั้นต่ำ 80% ของบอร์ดทั้งหมด หรือ 86% ตามตัวเลขจริงในปัจจุบัน) ซึ่งรวมถึงคนที่ทำหน้าที่เสมือนเป็น CEO (ตามที่ Royalist ท่านนั้นได้เปรียบเทียบไว้) นั้นอยู่ที่กษัตริย์ ทั้งที่โดยปกติอำนาจนี้ต้องเป็นอำนาจของผู้ถือหุ้น (ซึ่งก็คือเจ้าของบริษัท) เท่านั้น


นั่นหมายความว่าในทางปฏิบัติ “กษัตริย์” เป็น “เจ้าของตัวจริง” ของ สนง.ทรัพย์สินฯ ไม่ใช่ “รัฐ” อย่างที่ Royalist หลายๆคนพยายามยืนยัน เพราะมีอำนาจตั้งบอร์ดแบบเดียวกับผู้ถือหุ้น/เจ้าของบริษัทโดยทั่วไป
(ส่วนเรื่อง “รมว.คลัง เป็นประธานโดยตำแหน่ง” ผมจะกลับมาพูดทีหลัง)


ไม่เพียงเท่านั้น กษัตริย์ยังเป็นผู้เดียวที่สามารถใช้สอยกำไรของ สนง.ทรัพย์สินฯ และเป็นการใช้สอยได้ตามอัธยาศัยไม่ว่ากรณีใดๆ พูดง่ายๆคือเอาไปใช้ยังไงก็ได้ (ดู พรบ.ระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2491 ม.6 วรรค 2) จะมียกเว้นก็แต่ในกรณีที่มีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (มาตรา/วรรคเดียวกัน) ซึ่งก็คือผู้ที่เป็นตัวแทนของกษัตริย์อยู่ดี 

ปัดตกอุทธรณ์ ครก.112 เลขาฯ สภา ระบุเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐไม่ใช่สิทธิเสรีภาพ

ปัดตกอุทธรณ์ ครก.112 เลขาฯ สภา ระบุเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐไม่ใช่สิทธิเสรีภาพ

 

 
พวงทอง ภวัครพันธุ์ ตัวแทน ครก. 112 วิพากษ์สภามองเรื่องสิทธิและเสรีภาพในแบบแคบและไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิ เสรีภาพของประชาชน ปกป้องตนเองมากกว่าจะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงในระยะยาว

เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา นายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ออกหนังสือยืนยันคำวินิจฉัยเดิมถึงนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ตัวแทนคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก. 112) ซึ่งอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของประธานรัฐสภาที่วินิจฉัยจำหน่าย ร่างพ.ร.บ.แก้ไขมาตรา 112 โดยหนังสือยืนยันคำวินิจฉัยเดิมระบุด้วยว่าร่างดังกล่าวมีการแยกองค์ประกอบ ความผิด ลักษณะการกระทำความผิดที่ผ่อนคลายลงและอัตราโทษที่น้อยลง ย่อมจะทำให้การละเมิด กล่าวหา หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายได้โดยง่ายขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงของรัฐได้ จึงไม่ใช่เงื่อนไขในการเสนอแก้กฎหมายตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ดังนั้น จึงไม่อาจเสนอร่างฯ ฉบับดังกล่าวให้รัฐสภาพิจารณาตามรัฐธรรมนูญ ม.163 ได้

ด้าน พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิชาการตัวแทนคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112  (ครก.112) กล่าวถึงกรณีที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรยืนยันคำวินิจฉัยเดิมว่า กรณีนี้สะท้อนว่าสภามองเรื่องสิทธิและเสรีภาพในแบบแคบและไม่ให้ความสำคัญกับ สิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นการปกป้องตนเองมากกว่าทำเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์มีความมั่นคงใน ระยะยาว

นักวิชาการตัวแทน ครก.112 ยังวิจารณ์คำวินิจฉัยที่ชี้ว่า ม.112 เป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐไม่ใช่สิทธิเสรีภาพ ว่า “มันเป็นสิ่งที่แยกไม่ออก ในยุคปัจจุบัน เขาจะมองว่ามันเป็นเรื่องความมั่นคงของรัฐ แต่ว่าความมั่นคงของรัฐที่วางอยู่บนการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ขัดกับระบอบประชาธิปไตย มันจะต้องถูกแก้ไข ในยุคปัจจุบันนี้คุณปฏิเสธไม่ได้สิทธิเสรีภาพเป็นหัวใจสำคัญของสังคม ดังนั้นความมั่นคงของรัฐมันจะไปละเมิดสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชน ไม่ได้”

“เราพยายามที่จะแก้ไขเรื่องนี้อย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมายรัฐ ธรรมนูญ ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมมากที่สุดในการแก้ไขปัญหานี้ แต่สภากลับปิดเส้นทางนี้ที่จะมีการแก้ไขอย่างเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา เท่ากับผลักให้ประชาชนกลับใต้ดินกันต่อไป” พวงทอง กล่าว

สำหรับการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ ตัวแทน ครก.112 ยอมรับว่ามาถึงจุดที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ จึงยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเนื่องจากถูกปิดหนทางจากสภา ทั้งที่ทำโดยถูกต้องโดยกฎหมายถูกปิดโดยสภาเป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก

ทั้งนี้ ครก.112 ยื่น ร่าง พรบ.แก้ไขมาตรา 112 โดยมีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมลงรายมือชื่อ 30,383 คน ต่อประธานสภาไปเมื่อ29 พ.ค.55 แต่ถูกรัฐสภาจำหน่าย ร่างฯ ดังกล่าว ไปเมื่อ ก.ย.55

(ที่มา)

คอร์รัปชั่น คือเครื่องชี้วัดความเป็นประชาธิปไตย

คอร์รัปชั่น คือเครื่องชี้วัดความเป็ประชาธิปไตย



 



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ตีพิมพ์ใน “เลี้ยวซ้าย” เดือนเมษายน ๒๕๕๖


การคอร์รัปชั่นน่าจะเป็นการที่บุคคลใช้ตำแหน่งของตนเอง และอำนาจที่มาจากตำแหน่งนั้น ในการแสวงหาผลประโยชน์หรือความร่ำรวยเกินมูลค่าที่ตัวเองผลิตให้สังคมผ่านการทำงาน ถ้าตำแหน่งที่บุคคลคนนั้นดำรงอยู่ ได้มาอย่างไม่ชอบธรรม หรือมาจากการที่ตนไม่ได้ทำงานเลย ก็ต้องสรุปว่ายิ่งโกงยิ่งผิดศีลธรรมมากขึ้น

การที่สังคมมีหรือไม่มีการคอร์รัปชั่น เป็นเรื่องของระดับประชาธิปไตยและระดับอำนาจของประชาชนที่จะปกครองตนเอง แต่การคอร์รัปชั่นมีหลายรูปแบบ ทั้งที่ผิดกฏหมายบ้านเมืองและไม่ผิดกฏหมาย เพราะในสังคมชนชั้นปัจจุบัน ผู้ที่ออกกฏหมายมักเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมคอร์รัปชั่นเสมอ 

ดังนั้นเวลา อานันท์ ปันยารชุน กล่าวถึงการคอร์รัปชั่นว่า “เป็นเรื่องที่ทุกประเทศประสบปัญหาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ หรือเศษหนึ่งส่วนสิบของใบ” เขากำลังโกหกเต็มปาก และคำโกหกก็มีหลายชนิดอีกด้วย เพราะการละเลยไม่พูดถึงความจริงบางประเด็นนั้น ก็เป็นการโกหกชนิดหนึ่ง

อานันท์ ปันยารชุน พูดไม่หมดเวลาเขาพูดเกี่ยวกับการคอรับปชั่นในไทยว่า “ตอนนี้เป็นเครือข่ายหมด ครอบคลุมถึงนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ สื่อ องค์กรต่างๆ ทั้งรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่องค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญสร้างขึ้นอย่างสวย ให้เป็นองค์กรตรวจสอบ” เพราะกลุ่มคนกลุ่มสำคัญที่ อานันท์ ไม่พูดถึงคือทหาร

ทหารไทยเป็นผู้นำร่องในการกินบ้านกินเมือง ตั้งแต่สมัย จอมพลป. พิบูลสงคราม จอมพลผิน ชุณหะวัณ และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ และมาพัฒนาเต็มรูปแบบภายใต้ “จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอก” สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และ “จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ” ถนอม กิตติขจร กับ จอมพล ประภาส จารุเสถียร แค่ดูยศตำแหน่งของสฤษดิ์กับถนอมก็เริ่มเห็นว่าสองคนนี้พยายามคุมเก้าอี้และเงินทองมากมาย กิจกรรมของนายทหารโกงกินเหล่านี้ครอบคลุมถึงการลักลอกขายสินค้าผิดกฏหมายข้ามพรมแดน การขายของเถื่อน การเป็นมาเฟียรับเงินเพื่อ “คุ้มครอง” ธุรกิจเอกชน และการสูบเลือดจากรัฐวิสาหกิจ และที่สำคัญคือเขาสามารถทำได้เพราะเคยใช้ความรุนแรงในการยึดอำนาจผ่านรัฐประหาร เผด็จการทหารไทยคือมหาโจรนั้นเอง

พอประชาชนลุกฮือเรียกร้องประชาธิปไตย พวกนายพลจอมพลเหล่านี้ก็พร้อมจะฆ่าทิ้ง กรณีใหญ่สุดสมัยถนอมกับประภาส คือการกราดยิงประชาชนในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖   

นายทหารมือเปื้อนเลือดอีกคนชื่อ สุจินดา คราประยูร เป็นทหารรุ่นน้องที่ทำรัฐประหารในปี ๒๕๓๔ แล้วร่ำรวยเกินเงินเดือนธรรมดาของนายทหาร ซึ่งมันจบลงด้วยการสั่งให้ลูกน้องฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอีกครั้ง สนธิ สนธิ บุญยรัตกลิน และประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นลูกศิษย์ที่ดีของพวกนี้

ที่น่าสนใจคือ อานันท์ ปันยารชุน ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดย สุจินดา คราประยูร และหลังจากที่ สุจินดา ฆ่าประชาชน อานันท์ ก็ระลึกถึงบุญคุณโดยการออกกฏหมายฟอกตัวสุจินดา เหตุการณ์เหล่านี้คงอธิบายว่าทำไม อานันท์ ปันยารชุน ไม่กล่าวถึงการคอร์รัปชั่นของทหารแต่อย่างใด