ทำไมประเทศไทย ทั้งประเทศ ควรเป็นสาธารณรัฐ
โดย อ.ใจ อึ๊งภากรณ์
ใน
รายละเอียดรูปธรรมของชีวิตประจำวันปัจจุบันของคนไทยส่วนใหญ่
สถาบันกษัตริย์ไม่เคยมีความสำคัญเลย เช่นเรื่องการประกอบอาชีพ
เลี้ยงดูครอบครัว การเรียนหนังสือ หรือการผ่อนคลายพักผ่อน
สถาบันกษัตริย์ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย และยิ่งกว่านั้น
ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย โดยเฉพาะในเรื่องการเลี้ยงลูก การมีครอบครัว
หรือการเคารพสตรี ฯลฯ
กษัตริย์ ภูมิพลผู้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของไทย คัดค้านสวัสดิการเพื่อประชาชน ส่งเสริมเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่เห็นด้วยกับการกระจายรายได้ สนับสนุนความรุนแรงในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และชมคนที่ทำรัฐประหาร ๑๙ กันยาและคนที่ทำลายประชาธิปไตย
ถ้า นายภูมิพลเป็นคนก้าวหน้าหรือเป็นคนดีที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เขาจะไม่ปล่อยให้มีการหยุดวิ่งรถตามถนนหนทาง เพื่อให้ตัวเขาและญาติๆ เดินทางด้วยความสะดวกในขณะที่รถพยาบาลฉุกเฉินไม่เคยได้รับการอำนวยความสะดวก แบบนี้เลย เขาจะไม่ปล่อยให้มีการหมอบคลานต่อตัวเองเหมือนกับว่าประชาชนเป็นสัตว์หรือ ฝุ่นใต้ตีน และเขาจะออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการปกป้องประชาธิปไตยและการคัดค้าน กฎหมายเผด็จการต่างๆ รวมถึงกฎหมายหมิ่นกษัตริย์ด้วย สรุปแล้วนายภูมิพลเป็นคนที่ไม่มีความกล้าหาญพอที่จะทำอะไรยากๆ ไม่กล้าวิจารณ์ความไม่ถูกต้องในสังคมทั้งๆ ที่เป็นประมุข
“ความสงบหรือความมั่นคง” ที่มีคนอ้างว่านายภูมิพลช่วยสร้างในสังคมไทย
คือความมั่นคงของการปกครองของอำมาตย์
ซึ่งเป็นความมั่นคงของชนชั้นที่ปกครองสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก
ไม่ใช่ความมั่นคงอยู่เย็นเป็นสุขของพลเมืองส่วนใหญ่แต่อย่างใด
สรุปแล้วการมีระบบกษัตริย์ในปัจจุบัน เปลืองเงิน สร้างความเหลื่อมล้ำ และเปิดประตูให้มีเผด็จการ ถ้ายกเลิกไปเลยจะเป็นประโยชน์
ถ้าประเทศไทยไม่มีกษัตริย์ สังคมจะดีขึ้นเพราะ
1. เราจะประหยัดงบประมาณมหาศาลที่จะนำมาพัฒนาชีวิตประชาชนทุกคน เพราะเรายกเลิกสถาบันที่ราคาแพงแต่ไม่มีประโยชน์สำหรับประชาชน
2. ทหารจะไม่สามารถนำสถาบันกษัตริย์มาเป็นหน้ากากบังหน้าเพื่อทำลายประชาธิปไตย
3. เราจะเริ่มสร้างมาตรฐานในระบบประชาธิปไตย และในระบบยุติธรรมได้ เพราะเราสามารถสร้างวัฒนาธรรมการเป็นพลเมืองที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการหมอบคลานให้ใคร
4. เราจะมีเสรีภาพในการใช้ปัญญา แสดงออก และร่วมกันคิดเพื่อสร้างสังคมใหม่
5. ประชาชนจะไม่ยากลำบากเมื่อรถติดอันเนื่องมาจากขบวนเสด็จ
6. เราสามารถนำวังต่างๆ มาเป็นสถานที่ที่ใช้ประโยชน์สำหรับคนจน เช่นเป็นบ้านพักคนชราเป็นต้น
ถึง แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยเชื่อว่าจุดศูนย์กลางอำนาจอำมาตย์อยู่ที่ กษัตริย์และราชวงศ์ ในความเป็นจริงอำนาจแท้ที่อยู่เบื้องหลังกษัตริย์คือกองทัพ กองทัพไทยแทรกแซงการเมืองและสังคมมาตั้งแต่การปฏิวัติ ๒๔๗๕ เพราะคณะราษฎร์พึ่งพาอาศัยอำนาจทหารในการทำการปฏิวัติครั้งนั้นมากเกินไป แทนที่จะเน้นการสร้างพรรคมวลชนเพื่อล้มระบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
กอง ทัพมีบทบาทสำคัญในองค์มนตรี สื่อมวลชน และรัฐวิสาหกิจ แต่สิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับกองทัพ ถ้าเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ในหมู่ชนชั้นปกครองหรืออำมาตย์คือ กองทัพจะผูกขาดการใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม ซึ่งความรุนแรงนี้ใช้ในรัฐประหารเพื่อล้มรัฐบาลที่เป็นคู่แข่งของกลุ่มทหาร และใช้เพื่อฆ่าประชาชนมือเปล่า
วัตถุ ประสงค์หลักของการมีกองทัพสำหรับชนชั้นปกครองไทยคือ เป็นเครื่องมือในการควบคุมและปราบปรามประชาชนภายในประเทศ วัตถุประสงค์รองคือเป็นเครื่องมือในการสร้างความร่ำรวยให้พวกนายพล ดังนั้นอย่าเชื่อเลยว่ากองทัพเป็น “รั้ว ของชาติ” มันไม่ใช่ มันเป็นกองโจรมาเฟียที่คอยปล้นประชาชนไทยเอง และกองทัพไทยขาดประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการทำสงครามระหว่างประเทศ สงครามกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มประเทศ ASEAN ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นทหารไทยจะเป็น “รั้วพุ” ที่ป้องกันประเทศไม่ได้เลย ในอดีตกองทัพไทยต้องยอมแพ้ต่อญี่ปุ่น และมหาอำนาจอื่นๆ มาตลอด
แต่ การใช้ความรุนแรงอย่างเดียว ไม่สามารถสร้างอำนาจในการปกครองได้ ต้องมีการครองใจประชาชนควบคู่กันไป ลัทธิที่ครองใจประชาชนไทยในยุคสมัยใหม่มากที่สุดคือ “ประชาธิปไตย และความเป็นธรรม” แต่ทหารอ้างความชอบธรรมจากแนวคิดนี้ไม่ได้ เพราะทหารทำลายประชาธิปไตยและความเป็นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทหารจึงต้องใช้ “ลัทธิกษัตริย์” โดยอ้างว่าทหารรับใช้กษัตริย์ ในความเป็นจริงทหารไม่ได้รับใช้ใครนอกจากตนเอง แต่กษัตริย์ภูมิพลพร้อมจะร่วมมือกับทหารเสมอ เพราะได้ผลประโยชน์มหาศาลตรงนั้น
สักวันหนึ่งในอนาคต ประเทศไทยจะเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย
(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/549-2014-03-07-18-11-15.html