หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เบื้องหน้า ที่ไม่เข้าท่า ของคดีสวรรคต (กษัตริย์ภูมิพล กับคดีสวรรคต)

เบื้องหน้า ที่ไม่เข้าท่า ของคดีสวรรคต (กษัตริย์ภูมิพล กับคดีสวรรคต)



หนังสือ The Devil's Discus หรือ "กงจักรปีศาจ" โดย เรน ครูเกอร์ (Rayne Kruger) ได้รับการตีพิมพ์ในภาษาอังกฤษเพียงครั้งเดียวในปี 2507 (1964)
 
ญาสิทธิราชย์จึงต้องมุ่งเน้นแต่ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ไทย บังคับให้ประชาชนต้องเคารพสักการะ ล่วงละเมิดหรือฟ้องร้องมิได้โดยเด็ดขาด ถ้ากษัตริย์ไทยดีจริงและอยู่ใต้กฎหมายเหมือนกษัตริย์ในประเทศประชาธิปไตยก็คงไม่จำเป็นจะต้องเป็นวัวสันหลังหวะหรือกินปูนร้อนท้องอย่างที่เป็นมาตลอด 




นับตั้งแต่วันแรกที่ครองราชสมบัติซึ่งเป็นค่ำวันเดียวกับที่เกิดกรณีสวรรคต หรือปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8ในตอนเช้าวันเดียวกัน ทั้งๆพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุชี้ชัดไปที่พระอนุชาว่าเป็นผู้ปลงพระชนม์ อย่างไม่มีทางเป็นอย่างอื่น จะมีก็แต่เพียงข้อโต้แย้งว่าเป็นอุบัติเหตุหรือกระทำโดยเจตนาเท่านั้น แม้จะได้มีการพยายามทำลายหลักฐานตั้งแต่แรก คำให้การที่ขัดแย้งกัน การสร้างพยานเท็จ มุ่งกำจัดนายปรีดีซึ่งเป็นศัตรูคนสำคัญที่เป็นหัวขบวนการปฏิวัติของคณะ ราษฎร 2475 มีการข่มขู่คุกคามบังคับในยุคเผด็จการจอมพลป.และพล.ต.อ.เผ่า ที่ลงท้ายด้วยการกลับคำพิพากษา เพื่อหาทางประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ที่เป็นพยานปากสำคัญรวมทั้งการเชื่อมโยง ไปให้ถึงบุคคลที่ตนเชื่อว่าอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับพวกฟื้นฟูระบอบเจ้า



 

หลัง กรณีสวรรคตและพระอนุชาได้รับการรับรองจากสภาฯให้ขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็น กษัตริย์รัฐบาลปรีดีต้องการให้ประทับในประเทศไทย แต่ทางราชสำนักยืนยันว่ากษัตริย์จะเสด็จกลับยุโรปเพื่อศึกษาต่างประเทศใน เดือนสิงหาคม 2489  รัฐบาลหลวงธำรงของนายปรีดีก็คาดว่า จะเสด็จกลับมาประกอบพระราชพิธีพระราชเพลิงศพพระเชษฐาในไม่กี่เดือนข้างหน้า มีการเริ่มลงมือเตรียมจัดสร้างพระเมรุ เพื่อประกอบพิธีในเดือนมีนาคมปีต่อมา 2490 แต่ราชสำนัก ก็ยังไม่ยืนยันว่าจะเสด็จกลับมาประกอบพิธีไม่ ในเดือนธันวาคม 2489 คณะผู้สำเร็จราชการมีหนังสือขอให้รัฐบาลเลื่อนงานพระ ราชทานเพลิงพระบรมศพออกไป

 


โดยมีเหตุผลข้อหนึ่งว่าการสอบสวนกรณีสวรรคตยังไม่เสร็จสิ้น จะเป็นอุปสรรคต่อการพระราชทานเพลิงศพ ดังมีข้อความว่า  อนึ่ง การกำหนดงานพระราชทาน เพลิงพระบรมศพนั้น ถ้าจะกำหนดแล้ว ก็น่าจะกำหนดให้เหมาะกับโอกาสที่จะเสด็จพระราชดำเนินเพื่อถวายพระเพลิงด้วย แต่โดยที่การสอบสวนกรณีสวรรคตยังเป็นอันควรให้เจ้าหน้าที่ทำการสอบสวนอยู่ ต่อไปอีก และยังหวังไม่ได้ว่า การสอบสวนต่อไปดังว่านั้นจะสำเร็จเสร็จสิ้นเมื่อใดแน่ การที่จะกำหนดให้เสด็จเข้ามาเพื่อถวายพระเพลิงในเดือนมีนาคมหน้า ถ้าการ สอบสวนเช่นว่านั้นยังไม่สำเร็จเด็ดขาดลงไป การขลุกขลักย่อมจะมีขึ้นเกี่ยวกับการจัด ที่ประทับและการจัดผู้คนราชบริพารประจำในที่ประทับเหล่านี้อยู่มาก

หลังกรณีสวรรคตมีแนวโน้มว่ากษัตริย์ภูมิพลคงหนีไม่รอดคดีปลงพระชนม์ สถาน ทูตและกระทรวงการต่างประเทศอเมริกันได้รับข่าวเรื่องนายควง และพี่น้องปราโมชเตรียมวางแผนจะสถาปนาพระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตรขึ้นเป็น กษัตริย์ เพราะสถานะของกษัตริย์ภูมิพลในช่วงปีแรกๆ มีความไม่แน่นอน หรือไม่มั่นคงสูงในส่วนที่เชื่อมโยงกับกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 โดยเฉพาะใน สายตาของวงการทูตและรัฐบาลตะวันตก 




มีรายงานว่ารัฐบาลนายควง กำลังเตรียมตัวที่จะประกาศว่าในหลวงภูมิพล จะทรงสละราชสมบัติ และว่าพระองค์เจ้าจุมภฏ จะขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ได้ทำให้เกิดเป็นปัจจัยใหม่ขึ้นมาในสถานการณ์ซึ่งอาจ สร้างความปั่นป่วนอย่างถึงราก การแบ่งขั้วการเมืองในขณะนั้น ทำให้ดูเหมือนนายควงและพี่น้องปราโมชหวังว่า พวกเขาจะสามารถรักษาอำนาจตัวเองไว้ได้หากพระองค์เจ้าจุมภฏขึ้นครอง ราชย์ เพราะพระองค์เจ้าจุมภฏเป็นบุคคลผู้มีวุฒิภาวะ ( ประสูติ 2447 มีพระชนม์52 ปี ขณะที่กษัตริย์ภูมิพลมีพระชนม์เพียง 19 ปี ) จึงมีประสบการณ์ทางการเมืองและมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก และทรงได้รับการผลักดันจากพระชายาผู้มีความหลักแหลมทะเยอทะยาน คือ มรว.พันทิพย์ ธิดาคนแรกของพระองค์เจ้าไตรทศพันธ์ กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย  อดีตเสนาบดีต่างประเทศของสยามผู้ชาญฉลาดที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับเกมการเมืองทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ แต่ได้เกิดปั่นป่วนทางการเมืองเพิ่มขึ้นจากบทบาทคอร์รัปชั่นของหลวงกา จสงครามผู้ให้การสนับสนุนนายควง และเป็นผู้ควบคุมกำลังทหารบางส่วนสำคัญไว้ด้วย การคอร์รัปชั่นที่เกินหน้าของหลวงกาจสร้างความไม่พอใจให้กับจอมพล ป. ทั้งจอมพล ป.กับปรีดีต่างก็คัดค้านการรื้อฟื้นอำนาจของสถาบันกษัตริย์พอๆกัน 





พวกเขาเห็นว่ากษัตริย์ภูมิพลอายุยังน้อย แค่19 ปี ไม่น่ามีปัญหาและยังไม่มีบริวารและอิทธิพลมากนัก ต่างจากการที่จะให้พระองค์เจ้าจุมภฏขึ้นเป็นกษัตริย์ จอมพล ป.และพล.ต.อ.เผ่าจึงต้องสกัดนายควงและไม่ให้พระองค์จุมภฏขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยการช่วยปิดคดีสวรรคตให้กษัตริย์ภูมิพลหลุดพ้นจากคดีให้จงได้ไม่ว่าจะด้วย วิธีการใดๆหลังรัฐประหารโดยพลโทผินปี 2490  ในปีถัดมา 2491 รัฐบาลจอมพล ป. ได้เตรียมงานพระราชเพลิงพระบรมศพใหม่ เป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2492 และเตรียมจัดพิธีบรมราชาภิเษกในช่วงเวลาใกล้เคียง กัน โดยทูลเชิญให้เสด็จกลับมาประท้บในประเทศไทยเป็นการถาวร  แต่กษัตริย์ภูมิพลมีจดหมายถึงจอมพล ป. นายกรัฐมนตรี ว่าจะยังไม่เสด็จกลับประเทศไทยเป็นการถาวรจนกว่าการพิจารณาคดีสวรรคตจะเสร็จ สิ้น

จากผู้ต้องสงสัย กลายมาเป็นพยานโจทก์
 

 

แม้ว่าพระอนุชาจะเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดในทุกกรณี แต่เนื่องจากนายปรีดีได้เสนอให้แต่งตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงเท่ากับช่วยให้ผู้ต้องหาได้รับอภิสิทธิ์พ้นจากข้อกล่าวหาไปโดยปริยาย เพราะรัฐธรรมนูญไทยบัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ไทยเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะ กล่าวหาหรือฟ้องร้องมิได้ กษัตริย์ภูมิพลจึงได้รับสิทธิพิเศษ ได้ย้ายสถานะจากการเป็นจำเลยหรือผู้ต้องหา มาเป็นพยานโจทก์ ที่ต้องมามีบทบาทปรักปรำใส่ความเพื่อหาผู้บริสุทธิ์มารับโทษ เพื่อปิดคดีให้ตนพ้นมลทินไปโดยสิ้นเชิง แต่หลังเกิดเหตุทั้งกษัตริย์ภูมิพลและพระราชชนนีก็ต้องไปประทับอยู่ สวิตเซอร์แลนด์ไม่ยอมเสด็จกลับมาเพื่อหลบหน้าจนกว่าคดีสวรรคตจะได้ข้อยุติหา คนรับบาปแทนได้เสียก่อน
  

การพูดว่า 112 “ถูกใช้ในทางที่ผิด” เหมือนกับพูดว่า “ควรใช้ไม่บรรทัดตีเด็กแทนการเฆี่ยนด้วยหวาย”

การพูดว่า 112 “ถูกใช้ในทางที่ผิด” เหมือนกับพูดว่า “ควรใช้ไม่บรรทัดตีเด็กแทนการเฆี่ยนด้วยหวาย”

 
 
 
Free Somyot's photo.
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์


กฏหมาย 112 เป็นกฏหมายที่ทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกโดยสิ้นเชิง และสังคมใดที่เราไม่สามารถพูดอะไรบางอย่างได้เกี่ยวกับการเมือง ไม่ถือว่าเป็นประชาธิปไตย มันเหลือเกิน และใครที่แกล้งไม่เข้าใจต้องมีเงื่อนไขแอบแฝงที่จะทำลายประชาธิปไตยอย่างแน่ นอน

การแก้กฏหมาย 112 ให้สำนักงานหนึ่งเป็นผู้ฟ้องแต่ฝ่ายเดียว ควบคู่กับการลดโทษ ไม่สามารถแก้ปัญหาว่า 112 เป็นกฏหมายที่ปิดปากประชาชน ใช้กระบวนการลับในศาล และทำให้การพูดความจริงเป็นสิ่งที่ผิดได้ ตรงนี้จะเห็นว่า 112 ต่างจากกฏหมายหมิ่นประมาทธรรมดา

คำถามที่คนไทยควรมีสิทธิ์ถามในยุคนี้คือ

1. เมื่อทหารทำรัฐประหาร หรือฆ่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตย โดยอ้างว่าทำเพื่อปกป้องกษัตริย์ผู้เป็นประมุข ทำไมประมุขไม่ออกมาวิจารณ์ทหารและปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย การถามคำถามแบบนี้ทำให้ผมโดนกฏหมาย 112 มันเป็นคำถามเรื่องบทบาทหน้าที่ของประมุข มันเป็นคำถามที่มีความชอบธรรม และเป็นคำถามที่เรายังไม่ได้รับคำตอบในประเทศไทย ถ้าเราจะมีคำตอบหรือบทสรุป เราต้องมีสิทธิ์ถกเถียงหลายแนวความคิด ผมมองว่ากษัตริย์ถูกทหารใช้เป็นเครื่องมือโดยทหาร มีคนอื่นหลายคนมองต่าง และคิดว่ากษัตริย์เป็นผู้สั่งการทหาร หลายคนมองว่าวิกฤตการเมืองปัจจุบันมาจากปัญหาการเปลี่ยนรัชกาล แต่ผมมองว่าไม่ใช่ มันเป็นความขัดแย้งระหว่างแนวรัฐสภาที่ได้รับการสนับสนุนจากพลเมืองจำนวนมาก กับระบบการเมืองแบบเก่าที่ใช้เครือข่ายอุถัมภ์ในการเลือกตั้งและในการใช้ อำนาจนอกระบบ แต่เราจะไม่มีวันถกเถียงเรื่องนี้และใช้ปัญญาตัดสินได้ ถ้ายังมี 112

2. เวลาประมุขเสนอลัทธิเศรษฐกิจพอเพียง มันเป็นข้อเสนอให้แช่แข็งความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจนในสังคมใช่ไหม? และเป็นข้อเสนอจากบุคคลคนหนึ่งที่รวยที่สุดในประเทศใช่ไหม? คำถามแบบนี้ถูกตั้งขึ้นกับนักการเมืองเศรษฐีฝ่ายขวาในตะวันตกทุกวัน เมื่อเขาเสนอแนวเสรีนิยมกลไกตลาด มันเป็นส่วนหนึ่งของการถกเถียงทางเศรษฐศาสตร์ และเป็นคำถามที่มีความชอบธรรมเช่นกัน แต่ถ้าถามในไทยก็จะโดน 112

3. ทำไมเราต้องใช้ราชาศัพท์กับประมุขและทุกคนในครอบครัว และทำไมต้องปิดการจราจรให้กับเขาเมื่อเขาเดินทาง โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่รถพยาบาลฉุกเฉินไม่เคยได้รับ “อภิสิทธิ์พิเศษ” แบบนี้ เราควรถามถ้าอยากสร้างวัฒนธรรมพลเมืองประชาธิปไตย แต่ถ้าถามแค่นี้ก็จะติดคุกในไทย

ทั้งหมดที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างเหล่านี้ คือเหตุผลว่าทำไมเราต้องยกเลิก ไม่ใช่แค่แก้ กฏหมาย 112 เพื่อให้ประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพเท่ากับประชาธิปไตยในประเทศสากล

May Day 2014

May Day 2014



PhotoPhoto: ตรงไหนคือความภาคภูมิใจ
...วันนี้เป็นวันกรรมกรสากล
    ไม่ใช่วันแรงงานแห่งชาติ
...ขับไล่คนคิดต่าง ด้วยอารมณ์โกรธ
...ชี้หน้าคนคิดต่างว่าเป็นขี้ข้าทักษิณ
    แล้วคุณล่ะขี้ข้าใคร
...พื้นที่ลานพระรูปเป็นพื้นที่สาธารณะ
    ไม่ใช่เหรอ คุณไม่มีสิทธิ์ไล่
(...เหตุเกิด ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า...)


All Workers around the world unite!

ขอพลังแห่งการยืนหยัดต่อสู้จงมีแด่คนทำงานทั่วโลก

ขบวนการประชาธิปไตยใหม่

ขบวนการประชาธิปไตยใหม่ 



 
โดย วัฒนะ วรรณ
 
ไม่มีอะไรเกินคาดการณ์ กกต ไม่จัดการเลือกตั้ง องค์กรอิสระ จ้องรอฟันรัฐบาลเพื่อไทย ให้พ้นไปจากเส้นทางการเมือง หาช่อง หาทาง ให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจบริหาร เพื่อที่จะแต่งตั้งคนของตนเข้ากุมอำนาจรัฐ สิ่งที่รออยู่ตอนนี้ก็มีแค่เวลาเท่านั้น ไม่มีอะไรลึกลับซับซ้อนมากกว่านี้

ในเมื่อเรารู้ เพื่อไทยรู้ นปช รู้ เหตุฉะไหน ฝ่ายประชาธิปไตย ช่างดูเงียบงัน รอวันให้เขารัฐประหารสำเร็จสมบูรณ์

หรือเป็นเพราะเพื่อไทย กำลังพยายามเจรจา หวังพึ่งอำนาจนำให้ช่วยเหลือ ยอมความกันได้ ตามข่าวคราวที่ออกมาเป็นระยะๆ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็เท่ากับยอมจำนนต่อโครงสร้างอำนาจ ที่ไม่อิงอยู่กับประชาธิปไตย หากเป็นเช่นนั้นจริง รัฐบาลเพื่อไทย อาจจะอยู่ได้ องค์กรโครงสร้างอำมาตย์ก็จะอยู่ได้ สังคมไทย ก็แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย  

กลไกอำนาจทางการเมืองก็ยังจะถูกควบคุมขัดขวาง จากโครงการสร้างอำนาจเผด็จการอยู่ร่ำไป แล้วการต่อสู้ที่ผ่านๆมา ก็ดูเหมือนจะไร้ค่า สูญเปล่า

ข้อสันนิฐานนี้มีความน่าจะเป็นอยู่มาก เมื่อคิดย้อนกลับไป ตลอดสองปีของรัฐบาลเพื่อไทย ที่ไม่มีท่าทีจะต่อกรกับโครงสร้างอำนาจเผด็จการเลยแม้แต่น้อย ไม่มีการลดงบประมาณทหาร ไม่ยอมลงนามศาลอาญาระหว่างประเทศ ให้มาดำเนินการสอบสวนอาชญากรรมรัฐที่กระทำต่อประชาชน ไม่มีความพยายามจะต่อกรกับอำนาจกองทัพ ที่มีส่วนในการรัฐประหาร โดยการปลดผู้นำกองทัพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบสังหารประชาชน ที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่มีความพยายามจะต่อสู้กับศาลรัฐธรรมนูญที่ก้าวล้ำอำนาจของฝ่ายบริหาร ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน และฉากสุดท้ายคือการผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมเหมาเข่ง อภัยให้กับคนผิดโดยที่ยังไม่มีการไต่สวน รับผิด ลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น

นี่คือสิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยเคยทำ และ นปช ก็เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเพื่อไทย แยกไม่ขาดออกจากกัน มันจึงเป็นภาพที่ช่วยให้เราคาดการณ์ ขณะนี้รัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะกระทำเพียงเจรจาต่อรองกับฝ่ายอำมาตย์ เพื่อแบ่งแชร์อำนาจ และผลประโยชน์ทางการเมืองกันเท่านั้น

การชุมนุมของ นปช ที่ถนนอักษะ ไร้ยุทธศาสตร์ที่จะไปข้างหน้า เท่ากับเป็นเพียงการระดมมวลชนเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง ให้กับพรรคเพื่อไทยเพียงเท่านั้น 

หลายคนไม่พอใจที่สหภาพแรงงาน กฟผ. สนับสนุนม็อบสุเทพ และตั้งคำถามว่า “ทำไม?”

หลายคนไม่พอใจที่สหภาพแรงงาน กฟผ. สนับสนุนม็อบสุเทพ และตั้งคำถามว่า “ทำไม?”

 

  
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
 
แน่นอนเราต้องไม่พอใจ แต่คำถามต่อมาคือ ฝ่ายเสื้อแดง หรือฝ่ายประชาธิปไตยลงไปจัดตั้งกรรมาชีพสหภาพแรงงาน ให้มีการเมืองก้าวหน้าบ้างไหม? หรือปล่อยให้พวกล้าหลังผูกขาดการนำ? คำตอบคือไม่ค่อยมีใครในขบวนการเสื้อแดงที่สนใจลงไปจัดตั้งร่วมสู้กับสหภาพแรงงาน

คำอธิบายว่า “ทำไม” กรรมาชีพรัฐวิสาหกิจบางส่วนล้าหลัง ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนกินเงินเดือนและสวัสดิการสูง ถ้าเราดูอุตสาหกรรมยานยนต์ในภาคตะวันออกติดฝั่งทะเลของไทย เราจะเห็นคนงานที่มีฝีมือและกินเงินเดือนกับสวัสดิการที่ดีพอสมควร แต่ในกรณีนี้มีนักสหภาพแรงงานก้าวหน้าไปเคลื่อนไหว ขบวนการแรงงานในภูมภาคนี้จึงแยกเป็นเหลืองกับแดงที่แข่งกันนำทางการเมือง

สมศักดิ์ โกศัยสุข และพรรคพวก เช่นศิริชัย ไม้งาม มีอิทธิพลในบางส่วนของขบวนการแรงงานเท่านั้น ส่วนใหญ่อยู่ในรัฐวิสาหกิจ รถไฟ การบินไทย และ กฟผ. (ในรูป) แต่ที่เห็นออกมาสนับสนุนพันธมิตรฯกับม็อบสุเทพ ก็เป็นคนส่วนน้อยของพนักงานทั้งหมด ปัญหาของแกนนำสหภาพแรงงาน กฟผ. เช่น ศิริชัย ไม้งาม  คือ (๑) ไม่สนใจสร้างผู้แทนสหภาพระดับรากหญ้าในทุกแผนก ซึ่งผมเคยเสนอ แต่เขาไม่สนใจ เขาจึงไม่สามารถนัดหยุดงานได้เพื่อต้านการแปรรูป (๒) แกนนำ รวมถึงคนอย่างสมศักดิ์ และศิริชัย ซึ่งไม่เคยนำการนัดหยุดงานเพื่อประโยชน์คนงานได้สำเร็จ มักหันไปพึ่งผู้บริหาร และในที่สุดไปพึ่งอำมาตย์ แต่อำมาตย์ไม่เคยสนใจปัญหาคนทำงานอย่างจริงจัง ดังนั้นถ้าฝ่ายประชาธิปไตยลงไปจัดตั้งแข่งกับเสื้อเหลือง คงมีโอกาสในระยะยาว

การมีเงินเดือนประจำหรือสวัสดิการ ไม่เคยเป็นเรื่องชี้ขาดว่ากรรมาชีพจะสู้หรือไม่ ตรงกันข้ามมันสะท้อนอำนาจต่อรองที่นำไปสู่การขึ้นเงินเดือนและสวัสดิการ และการมีเงินเดือนกับสวัสดิการไม่เคยจำแนกคนว่าเป็นกรรมาชีพหรือไม่ อันนี้เป็นนิยายเก่าที่วนซ้ำทั่วโลก มันอธิบายไม่ได้ว่าทำไมในยุโรปตะวันตก อียิปต์ เกาหลีใต้ ลาตินอเมริกา หรือแม้แต่ในย่านอุตสาหกรรมยานยนต์ฝั่งตะวันออกของไทย คนงานประเภทกินเงินเดือน ครู แพทย์ คนงานเหมืองแร่ ฯลฯ นัดหยุดงานและมีสหภาพแรงงานก้าวหน้า ประเด็น กฟผ. อยู่ที่การเมืองและลักษณะการจัดตั้ง ในมุมกลับเราจะเห็นคนยากจนในสลัมไทย ที่ถูกจัดตั้งโดยเอ็นจีโอเหลืองด้วย

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/04/blog-post_23.html   

ผลของอาหรับสปริงกับการสร้างประชาธิปไตย

ผลของอาหรับสปริงกับการสร้างประชาธิปไตย 


 
บทเรียนจากการปฏิวัติตะวันออกกลาง
https://www.youtube.com/watch?v=Ix3QSrNfevA#t=13 

กลุ่ม ศึกษาเลี้ยวซ้าย 16 เมษา พิจารณาผลการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในตะวันออกกลาง โดยเปรียบเทียบแนวมวลชนที่ทำแนวร่วมกับขบวนการแรงงานในอียิปต์และตูนีเซีย กับแนวจับอาวุธที่เปิดช่องให้จักรวรรดินิยมทุกฝ่ายแทรกแซงในลิบเบียและซิ เรีย ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามกลางเมืองและเบี่ยงเบนการต่อสู้ ท้ายสุดมีการพิจารณาว่าที่อียิปต์หลังจากที่ทหารยึดอำนาจ แนวทางประชาธิปไตยยังมีอนาคตหรือไม่ เชิญดูวิดีโอ และในอนาคตเชิญเข้าร่วมกลุ่มศึกษาอื่นด้วย ถ้าสนใจแนวทางเราเชิญสมัครเป็นสมาชิกเลี้ยวซ้าย เพื่อร่วมสร้างองค์กรสังคมนิยมในไทย

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/04/blog-post_17.html 

เสวนา 'บทบาทการใช้อำนาจของตุลาการกับสถานการณ์ทางการเมือง'

เสวนา 'บทบาทการใช้อำนาจของตุลาการกับสถานการณ์ทางการเมือง'


 
บทบาทตุลาการกับสถานการณ์การเมือง 01 : วรเจตน์ ภาคีรัตน์
https://www.youtube.com/watch?v=Nw3Yy0Sat5Q 

บทบาทตุลาการกับสถานการณ์การเมือง 02 : กิตติศักดิ์ ปรกติ 
https://www.youtube.com/watch?v=EydOo2hQOZ4 
 
บทบาทตุลาการกับสถานการณ์การเมือง 03 : สถิตย์ ไพเราะ
https://www.youtube.com/watch?v=0pOtFHM7x14 

บทบาทตุลาการกับสถานการณ์การเมือง 04 : สราวุธ เบญจกุล
https://www.youtube.com/watch?v=FgBKci7mvKg 

บทบาทตุลาการกับสถานการณ์การเมือง 05 : อภิปรายรอบสอง
https://www.youtube.com/watch?v=Zi5xJsIOyFw 


เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2557 ที่ผ่านมา คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดสัมมนาทางวิชาการเนื่องในงานรำลึก ศ.ดร.หยุด แสงอุทัย ในหัวข้อ “บทบาทการใช้อำนาจของตุลาการกับสถานการณ์ทางการเมือง” วิทยากร ประกอบด้วย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สถิตย์ ไพเราะ อดีตรองประธานศาลฎีกาและ สราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2014/04/52920

เราต้องประณามการจำคุกครบรอบสามปีของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข

เราต้องประณามการจำคุกครบรอบสามปีของ สมยศ พฤกษาเกษมสุข 



Photo: ตรงไหนคือความภาคภูมิใจ
...วันนี้เป็นวันกรรมกรสากล
    ไม่ใช่วันแรงงานแห่งชาติ
...ขับไล่คนคิดต่าง ด้วยอารมณ์โกรธ
...ชี้หน้าคนคิดต่างว่าเป็นขี้ข้าทักษิณ
    แล้วคุณล่ะขี้ข้าใคร
...พื้นที่ลานพระรูปเป็นพื้นที่สาธารณะ
    ไม่ใช่เหรอ คุณไม่มีสิทธิ์ไล่
(...เหตุเกิด ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า...) 
 

ตัวจริงของขยะสังคม ที่ทำให้ประชาธิปไตยสกปรกโสโครก
 
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

การใช้กฏหมาย เผด็จการป่าเถื่อน 112 กับ หลายๆ คนในยุคนี้ ขัดต่อหลักประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง เราต้องมองว่าทุกคนที่โดนคดีนี้ รวมถึงตัวผมเอง โดนเพราะคัดค้านเผด็จการและการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา และทุกคนที่โดนคดีนี้ไม่เคยใช้ความรุนแรงใดๆ เพียงแต่วิจารณ์การแทรกแซงการเมืองโดยทหารภายใต้เสื้อคลุมที่ใช้ความชอบธรรม จากกษัตริย์ และเราไม่ควรลืมว่าในขณะที่คนอย่างสมยศถูกจำคุก ทหารและนักการเมืองมือเปื้อนเลือดลอยนวลเสมอ และที่แย่ไปอีกด้วยคือ พรรคเพื่อไทยพร้อมจะใช้กฏหมาย 112 ต่อไป และพร้อมจะนิรโทษกรรมพวกมือเปื้อนเลือดโดยลืมคนอย่างสมยศ

ราชวงศ์มีส่วนสำคัญในการทำลายสิทธิเสรีภาพ 

กฏหมายเผด็จการ 112 เป็น อุปสรรคสำคัญที่สุดที่ทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก มันทำลายสิทธิของพลเมืองที่จะตรวจสอบผู้ถือตำแหน่งสาธารณะ และทำลายประชาธิปไตย กฏหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหาร กองทัพไทยใช้สถาบันกษัตริย์ที่อ่อนแอและไร้น้ำยา เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเองในการแทรกแซงการเมืองเสมอ แต่ไม่ว่าราชวงศ์ไทยจะอ่อนแอ ขี้ขลาด และไร้ปัญญาแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะเป็นเครื่องมือของทหารแค่ไหน แต่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อการกดขี่ที่เกิดขึ้นในนามของเขา กษัตริย์ ราชินี เจ้าฟ้าชาย และเจ้าหญิงทั้งราชวงศ์ เป็นคนที่มีส่วนได้จาก และมีส่วนในการเห็นชอบกับ การก่ออาชญากรรมต่อนักโทษ การเมือง 112 และการเข่นฆ่าประชาชนผู้รักประชาธิปไตยโดยทหาร

นี่ คือสาเหตุที่ไทยต้องเป็นสาธารณรัฐและเราต้องจัดการกับอำนาจเผด็จการของทหาร นี่คือสาเหตุที่เราต้องมีองค์กรทางการเมืองที่อิสระจากทักษิณและเพื่อไทย

(ที่มา)

3ปีจองจำ ‘สมยศ’ ยันสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์-ยุติธรรม ไม่ออกด้วยความเมตตา

3ปีจองจำ ‘สมยศ’ ยันสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์-ยุติธรรม ไม่ออกด้วยความเมตตา



 

 

เพื่อน ‘สมยศ พฤกษาเกษมสุข’ นักโทษคดี ม.112 จัดกิจกรรมเยี่ยมในวาระครบรอบ 3 ปี แห่งการจองจำ พร้อมจุดเทียนดำ-พับนกแดงหน้าคุก ปลุกความยุติธรรม สมาพันธ์สิทธิมนุษยชนสากลเรียกร้องให้ปล่อยตัว-ปฏิรูป ม.112

นายสมยศ กล่าวด้วยว่า เมื่อสังคมไม่มีความยุติธรรม ประชาชนก็ต้องเปลี่ยนแปลงให้มีความยุติธรรม เพื่อไม่ให้เป็นปัญหากับคนรุ่นต่อๆไป โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การแสดงออกและการมีส่วนร่วม ที่ตนเองยังสู้คดีอยู่ในคุกนี้ก็เพื่อยืนยันสิทธิตรงนี้

สำหรับมาตรา 112 นั้น นายสมยศ มองว่าต้องยกเลิก และสภาพที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หากเราต้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พลเมืองก็ต้องมีสิทธิในเสรีภาพการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และการวิพากษ์วิจารย์ยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติอีกด้วย

ต่อองค์กรเก็บขยะแผ่นดินที่ตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับคนที่กลุ่มดังกล่าว มองว่าหมิ่นกษัตริย์และเป็นกระแสในขณะนี้นั้น นายสมยศ มองว่า เป็นการสะท้อนถึงความเปราะบางของสังคม เพราะหากสังคมเข้มแข็งมั่นคงจริงก็จะไม่ต้องหวาดผวาคนที่เห็นต่างจนต้องออก มาเคลื่อนไหวแบบนี้ ยิ่งสะท้อนความไม่มีเสถียรภาพ องค์กรที่เกิดขึ้นเหล่านี้จึงถือเป็นองค์กรไดโนเสาร์ จูราสสิค ปาร์ค ที่จะเห็นแต่ในภาพยนตร์ ไม่ควรมีในยุคสมัยใหม่ที่เป็นสังคมประชาธิปไตย ต้องเคารพในสิทธิเสรีภาพกันไม่ใช่ไล่จับไล่ประจานกำจัดคนที่เห็นต่าง

“ที่อยู่ในนี้(เรือนจำ) ไม่ได้เป็นการต่อสู้กับอะไร แต่เป็นการยืนยันว่าเราเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน เป็นหน้าที่พลเมืองที่ต้องปกป้อง”

“อยากนั้นก็อยากออก(จากเรือนจำ)แน่นอน แต่ต้องออกด้วยความยุติธรรมหรือความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ออกด้วยความเมตตาสงสาร แม้ไม่ได้รับความยุติธรรม ก็ขอรับโทษจริง” นายสมยศ กล่าว

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2014/04/52945 

ไว้อาลัย ไม้หนึ่ง ก.กุนที วีรบุรุษประชาธิปไตย

ไว้อาลัย ไม้หนึ่ง ก.กุนที วีรบุรุษประชาธิปไตย 


 โดย กองบรรณาธิการ เลี้ยวซ้าย

การฆ่า ไม้หนึ่ง ก.กุนที ถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อเราทุกคน และเป็นอาชญากรรมต่อประชาธิปไตยไทยด้วย ไม้หนึ่งต่อต้านรัฐประหาร ๑๙ กันยา และการทำลายประชาธิปไตยของฝ่ายอำมาตย์มาตลอด เขาคัดค้านกฏหมายเผด็จการ 112 เขารณรงค์ให้ปล่อยนักโทษการเมือง และเขาใช้ปากกาเป็นอาวุธ กลอนและบทกวีของเขาคงสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายต้านประชาธิปไตยไม่น้อย

เมื่อไม่กี่วันนี้ปฏิกูลทางสังคม ในรูปแบบนายเหรียญทอง แน่นหนา ได้ก่อตั้งองค์กรฟาสซิสต์ที่เรียกตัวเองว่า “องค์กรเก็บขยะแผ่นดิน” ซึ่งมีเป้าหมายในการล่าแม่มด ทำลายเสรีภาพ กดดันให้คนในครอบครัวเดียวกันทะเลาะกัน และที่สำคัญคือ ยุให้อันธพาลใช้ความรุนแรงกับผู้ที่เห็นต่าง วันนี้เขาได้ผลงานชิ้นแรกด้วยศพของ ไม้หนึ่ง ก.กุนที

แต่พวกมือเปื้อนเลือดมีมากกว่านี้ เครือข่ายเสื้อเหลือง สลิ่ม ม็อบสุเทพ ทหาร พรรคประชาธิปัตย์ ข้าราชการชั้นสูง องค์กรที่ “อิสระ” จากกระบวนการประชาธิปไตย นักวิชาการฝ่ายขวา และแกนนำเอ็นจีโอเหลือง ล้วนแต่สนับสนุนหรือก่อรัฐประหาร และร่วมสนับสนุนการฆ่าเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตย พวกคลั่งความอนุรักษ์นิยมเหล่านี้ เห่าหอนทุกวันว่าต้องใช้กฏหมาย 112 กับฝ่ายประชาธิปไตย และเพิกเฉยหรือถือหางสนับสนุนม็อบอันธพาลของสุเทพที่ใช้อาวุธปืนอย่างเปิดเผยบนท้องถนน

เราต้องไม่ยอมให้ ไม้หนึ่ง ก.กุนที ตายฟรีๆ

พวกต้านประชาธิปไตยต้องการให้เรากลัว เพราะฝ่ายเขาพร้อมจะฆ่าคนแล้วรู้ว่าตนเองจะลอยนวล เราต้องข้ามพ้นความกลัวด้วยความสมานฉันท์

พวกเขาต้องการกดดันให้เรายอม ถ้าเรายอมให้เผด็จการครองเมือง ไม้หนึ่ง ก.กุนที จะตายฟรีๆ

พวกเขา และนักวิชาการกับนักเอ็นจีโอบางคน เสนอว่าฝ่ายประชาธิปไตยต้องประนีประนอมกับเผด็จการ มีการพูดว่าต้อง”ยื่นหมูยื่นแมว” แต่นั้นคือแนวทางที่จะนำไปสู่ประชาธิปไตยครึ่งใบ ไม้หนึ่ง ก.กุนที ก็จะตายฟรีๆ เช่นกัน

หลายคนคงโกรธแค้นและอยากเอาคืน เราต้องแก้แค้น แต่ต้องแก้แค้นด้วยการใช้ปัญญา ไม่ใช่ไปโต้ตอบพวกอันธพาลด้วยความรุนแรง หรือด้วยนิยายเรื่องการจับอาวุธ อย่าลืมว่าพวกเขาโหดกว่าเราและไม่เคยเคารพเพื่อนมนุษย์

การแก้แค้นที่แท้จริงจะมาจากการจัดตั้งมวลชน ให้กล้าสู้ต่อไปในขณะที่ นปช. และพรรคเพื่อไทยไม่อยากสู้จริง การเน้นการจัดตั้งมวลชนอาจดูไม่น่าตื่นเต้น แต่เมื่อทำได้จริง พลังมวลชนจะไม่มีใครต้านได้

ถ้าท่านโกรธแค้นเรื่องการสังหาร ไม้หนึ่ง ก.กุนที จงรวมตัวกัน ร่วมกันสร้างเครือข่าย ร่วมกันสร้างองค์กร ร่วมกันสร้างพรรคก้าวหน้า จับมือกับชนชั้นกรรมาชีพผู้ทำงานและเกษตรกรรายย่อย เดินหน้าพร้อมกัน เพื่อกวาดล้างอำมาตย์ให้หมดไป และเพื่อให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/04/blog-post_24.html