หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

แอมเนสตี้ผิดหวังไทยปฏิเสธข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต

แอมเนสตี้ผิดหวังไทยปฏิเสธข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโทษประหารชีวิต


 


เมื่อวันที่ 15 มี.ค. 55 ที่ผ่านมาแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เสียใจต่อการที่ประเทศไทยปฏิเสธข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโทษ ประหารชีวิตของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในการรับรองผลการทบทวน สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ ..
.
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล
แถลงการณ์
AI Index: ASA 39/002/2012
15 มีนาคม 2555


ประเทศไทย: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเสียใจต่อการที่ประเทศไทยปฏิเสธข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโทษประหารชีวิตของ

คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในการรับรองผลการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของไทยตามกลไก Universal Periodic Review (UPR)

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลผิดหวังกับการที่ประเทศไทยปฏิเสธข้อเสนอแนะให้ยกเลิกโทษ ประหารชีวิต ซึ่งตรงข้ามกับพันธกิจที่แสดงไว้อย่างชัดเจนในการจัดทำแผนปฏิบัติการแม่บท แห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับปี 2552-2556 [1] และขอย้ำเตือนการตัดสินใจที่น่ายินดีของประเทศไทยเมื่อปี 2553 ที่ไม่คัดค้านข้อเรียกร้องของสมัชชาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่ให้มี ประกาศยุติการประหารชีวิตชั่วคราว และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวโน้มการลดหย่อนโทษให้กับนักโทษประหารในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลรู้สึกผิดหวังที่ประเทศไทยเริ่มการประหารชีวิตอีกครั้ง เมื่อปี 2552 หลังจากว่างเว้นไปเป็นเวลาหกปี ทางองค์การรู้สึกกังวลต่อการที่นักโทษประหารยังคงถูกล่ามโซ่ตรวน แม้มีคำสั่งศาลเมื่อปี 2552 ว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการตัดสินประหารชีวิตกว่าครึ่งหนึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดเกี่ยวกับยาเสพ ติด ซึ่งขัดกับกฎบัตรระหว่างประเทศ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องให้ประเทศไทยยกเลิกโทษประหารชีวิต และมีการเสนอเป็นระยะๆ เพื่อให้ลดหย่อนโทษให้กับนักโทษประหารทุกคน และประกันว่าจะไม่นำโทษประหารชีวิตมาเป็นมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติด


(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/post/2012/03/22

เจาะ 2 แนวรบเพื่อไทยใน-นอกสภา รุกฆาต ปชป.-ปูพรม "ทักษิณ" กลับบ้าน

เจาะ 2 แนวรบเพื่อไทยใน-นอกสภา รุกฆาต ปชป.-ปูพรม "ทักษิณ" กลับบ้าน

 


 

วาระ ที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หลายคนเดินทางไปเยี่ยม "ทักษิณ ชินวัตร" ถึงเกาะฮ่องกง เพื่อรายงานยุทธศาสตร์ 2 ขา ที่ใช้เดินเกมการเมืองควบคู่กันไปในเวลานี้

ยุทธศาสตร์ ขาแรก เป็นวาระแก้รัฐธรรมนูญ ที่ผ่านขั้นรับหลักการตามวาระที่ 1 เข้าสู่ชั้นแปรญัตติโดยคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่... ) พ.ศ...

การประชุมในชั้นแปรญัตติจะผ่านไปเพียง 3 ครั้ง แต่ทุกนัด อุณหภูมิการต่อสู้ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ดุเดือด

วัด ได้จาก 3 ข้อ ที่แกนนำพรรคฝ่ายค้านประกาศกลางที่ประชุมกรรมาธิการว่า "ห้ามแตะ" คือ 1.รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องไม่มีการแตะต้องมาตราที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหา กษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ 2.จะไม่มีการยุบหรือแทรกแซงองค์กรอิสระ และ 3.จะไม่มีการแก้กฎหมายเพื่อคนเพียงคนเดียว

นอกจากนี้ ยังมีความคิด-รายละเอียดปลีกย่อย ตกหล่นกระเส็นกระสายในที่ประชุมจำนวนมาก เช่น การให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกระเบียบเพื่อใช้เลือกตั้ง ส.ส.ร.มีศักดิ์ศรีเพียงพอหรือไม่ เนื่องจากเลือกตั้ง ส.ส.ร.เป็นเรื่องระดับชาติ หรือการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถือว่าไม่ปกป้องรัฐธรรมนูญตามที่ปฏิญาณไว้ก่อนทำหน้าที่ในสภาหรือไม่

จนต้องเชิญคณะกรรมการกฤษฎีกา และ กกต.มาสอบถามรายละเอียดข้อปฏิบัติ

ทุก กลเกม-ทุกวรรค-ทุกย่อหน้าในร่างกฎหมาย ถูกนักการเมืองเขี้ยวลากดินจากพรรคประชาธิปัตย์งัดขึ้นมาต่อสู้ในชั้น กรรมาธิการ ทำให้เพื่อไทยต้องแก้เกมด้วยการจัดทีมรับ-รุก เพื่อตอบโต้-แก้เกม ไปพร้อมกัน

โดยเกมในห้องประชุมถูกมอบหมายให้พีร พันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร-ไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม-ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน-วิชาญ มีนชัยนันท์ ร่วมเป็นแนวรับชี้แจง ตอบโต้ ทันทีที่ ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์จุดประเด็นใหม่ขึ้นมา

ส่วนแนวรุก อาศัยลีลาพลิ้วไหวของสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ คอยตบเข้าประเด็น คู่กับชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม ซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมาธิการ


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1331871208&grpid=01&catid=&subcatid=

เปิดงานวิจัยความปรองดองฉบับพระปกเกล้า หนีไม่พ้น "ทักษิณ" ย้ำต้องนิรโทษกรรม-ไม่แตะหมวดสถาบัน!!

เปิดงานวิจัยความปรองดองฉบับพระปกเกล้า หนีไม่พ้น "ทักษิณ" ย้ำต้องนิรโทษกรรม-ไม่แตะหมวดสถาบัน!!

 


(คลิกฟัง)http://www.matichon.co.th/play_clip.php?newsid=1331883882 

 

วันที่16มี.ค. ที่สถาบันพระปกเกล้า ในงานแถลงข่าวเกี่ยวกับผลงานวิจัยเรื่อง "การสร้างความปรองดองแห่งชาติ" รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า โดยทำการศึกษาจาก 3 ส่วน ได้แก่ การศึกษาประสบการณ์จาก 10 ประเทศในเอเชีย แอฟริกา อเมริกาใต้ และยุโรป รวมถึงที่มาของความขัดแย้งในสังคมไทย และสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง 47 ราย ประกอบด้วย แกนนำกลุ่มพันธมิตร, แกนนำกลุ่มนปช. เจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง และอดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ พบว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากมุมมองต่อระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ตรงกัน โดยมีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นแกนกลางของความขัดแย้ง

มากกว่านั้น ยังมีกลุ่มคน 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งให้ความสำคัญกับเรื่องเสียงข้างมากในสภาฯ อีกฝ่ายเห็นว่าประชาธิปไตยต้องมาพร้อมกับคุณธรรมและจริยธรรม เพราะเห็นว่าเสียงข้างมากไม่ได้ถูกต้องเสมอไป ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างยึดติดกับแนวคิดของตัวเองเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ ท่ามกลางสื่อที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่คอยชี้นำสังคม ก่อนทำให้มุมมองเรื่องประชาธิปไตยถูกขยายผลเป็นเรื่องความเหลื่อมล้ำทาง สังคม และเศรษฐกิจ



ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าได้เสนอแผนระยะสั้น 4 ประเด็น ดังนี้  1.สนับสนุนให้คอป. ค้นหาความจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเปิดเผยต่อสาธารณชนในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยไม่ระบุตัวบุคคล 2.นิรโทษ กรรมคดีที่เกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองให้แก่ผู้ชุมนุมทุกฝ่าย, เจ้าหน้าที่รัฐ, ผู้บังคับบัญชา และนักการเมืองที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย ส่วนคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง เช่น การทำลายทรัพย์สินของรัฐและเอกชน จะให้รวมอยู่ในกระบวนการนิรโทษกรรมหรือไม่ก็ได้

(อ่านต่อ)http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1331883882&grpid=01&catid=&subcatid=

ศาลฎีกาไม่ให้ประกัน ‘อากง’

ศาลฎีกาไม่ให้ประกัน ‘อากง’

 

Posted Image

ใคร? กำกับ...
ภาพที่โพสต์
 
Posted Image


"ศาลฏีกาไม่ให้ประกันอากง ย้ำเหตุเดิม โทษร้ายแรงเกรงหลบหนี ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องก่อนหน้านี้ก็ชอบแล้ว"

15 มี.ค.55 อานนท์ นำภา ทนายความของนายอำพล (สงวนนามสกุล) หรือ “อากง” ผู้ต้องขังคดีส่ง SMS หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ระบุว่าศาลฎีกามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนายอำพล โดยระบุเหตุผลว่า "พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี และเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นแล้ว เห็นว่า เป็นเรื่องร้ายแรงประกอบกับศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยถึง ๒๐ ปี หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี ส่วนที่จำเลยอ้างความป่วยเจ็บนั้นเห็นว่า จำเลยมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยหน่วยงานของรัฐอยู่แล้ว จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยชั่วคราวชอบแล้ว ยกคำร้อง"

คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ อ.4726/2554 จำคุกนายอำพล 20 ปีเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 เนื่องจากในช่วงเดือนพฤษภาคม 2553ไปมีบุคคลส่งข้อความสั้น 4 ข้อความยังโทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นข้อความหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยเชื่อมโยงการกระทำความผิดของจำเลยมาจากหมายเลขอีมี่ หรือหมายเลขรหัสประจำเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งได้จากข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ที่ได้จาก บริษัท โทเทิลแอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (ดีแทค) และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) ว่าเป็นหมายเลขเดียวกัน(ศาลฟังว่ามีการใช้เครื่องโทรศัพท์เดียวกันเพื่อส่ง ข้อความโดยใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือซิมการ์ดคนละหมายเลข มีการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ) 

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/post/2012/03/17

เม้าท์มอย : คุยยาวกับโชเฟอร์แท็กซี่ “พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ”


เม้าท์มอย : คุยยาวกับโชเฟอร์แท็กซี่ “พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ”

 



เม้าท์มอย : คุยยาวกับโชเฟอร์แท็กซี่ “พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ”
(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=pHLeN_uKrKY



เม้าท์มอยวีคนี้ สัญจรมาคุยนอกสถานที่ ณ ริมน้ำเจ้าพระยาใต้สะพานพระราม 8 สนทนาเบาๆ แต่ไม่ไร้สาระกับโชเฟอร์แท็กซี่หน้าตาคุ้นเคยกันดีที่ชื่อ “พันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ” หรือพ่อน้องเฌอ ถึงชีวิตวันวานที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทั้งบทบาทนักพัฒนาเอกชนที่ร่วมขบวนการคัดค้านเอฟทีเอสมัยรัฐบาลทักษิณ บทบาทผู้ติดตามข่าวสารการเมืองเหลือง-แดงอย่างใกล้ชิด และกลายเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งต้องสูญเสียลูก ชายไปในเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนในเดือนพฤษภา 53

มาถึงชีวิตหลังพวงมาลัยวันนี้ เขาคิดอย่างไรกับเงินชดเชยที่รัฐบาลจะจ่ายให้ 7.75 ล้านบาท ก่อนตบท้ายถึงความคืบหน้าและที่มาที่ไปของการตกเป็นคดีความกับพระอันเนื่อง จากไปตอบโต้วาทะทางการเมืองเรื่องทหาร-น้ำท่วม-คนเสื้อแดง และประสบการณ์การเดิน “เมตตาบาทา” ไปพบตำรวจที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ นั้นเป็นอย่างไร

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/post/2012/03/18

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: พูดไทยหรืออังกฤษ--จิตสำนึกไทหรือทาส?

พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์: พูดไทยหรืออังกฤษ--จิตสำนึกไทหรือทาส?

 


นับแต่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเด็นหนึ่งที่ถูก “พวกสลิ่มแพ้เลือกตั้ง” เยาะเย้ยเสียดสีต่อเนื่องมาคือ เป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่พูดอังกฤษไม่เก่ง เริ่มมาตั้งแต่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศทั้งก่อนและหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การกล่าวคำปราศรัยเป็นภาษาไทย ณ ที่ประชุมเสวนาเศรษฐกิจโลกที่เมืองดาวอส จนถึงล่าสุด ในการเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ คนพวกนี้ทำราวกับว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น คุณสมบัติสำคัญที่สุดคือ ต้องพูดอังกฤษได้เก่ง พูดเหมือนเจ้าของภาษาได้ยิ่งดี! ยิ่งพูดไหลลื่น ผิดเป็นถูก ดำเป็นขาว ก็ยิ่งเก่ง! ปล้นชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาด้วยวิธีการสกปรกก็ไม่เป็นไร บริหารราชการแผ่นดินมีแต่ล้มเหลวก็ไม่ว่า!

ดูเหมือนว่า การมีนายกรัฐมนตรีที่พูดอังกฤษได้เก่ง จะได้รับความนิยมเป็นครั้งแรกเมื่อนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นนายกรัฐมนตรีจากรัฐประหารของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) เมื่อปี 2534 ด้วยพื้นภูมิหลังที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษและเป็นอดีตนักการทูต สามารถโต้ตอบกับนักข่าวต่างประเทศได้อย่างคล่องแคล่วและชาญฉลาด หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งแทบทุกคนจะถูกวิจารณ์ว่า “พูดอังกฤษไม่เก่ง” เช่น นายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อครั้งเดินทางไปปราศรัยที่องค์การสหประชาชาติเมื่อปี 2538 แม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังถูกค่อนแคะว่า พูดอังกฤษสำเนียงไม่ได้ดี (คือไม่เหมือนเจ้าของภาษา) 

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/post/2012/03/14