หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

คอป.กับความเป็นกลาง

คอป.กับความเป็นกลาง

 

 

โดยใบตองแห้ง

 

เห็นแกนนำ นปช.ไล่บี้ คอป. ประเด็นที่มีอนุกรรมการ 2 คนใกล้ชิดพันธมิตรแล้วสมเพช ผมก็วิพากษ์ คอป.แต่เรื่อง 2 คนนี้เป็นเรื่องเล็ก ถ้า นปช.จะทักท้วงทำไมไม่ทำก่อนหน้านี้

ผมไม่เชื่อเรื่องความเป็นกลางมาแต่ต้น เพราะสังคมไทยขัดแย้งมา 6 ปี ผู้ที่มีบทบาททางการเมือง สังคม ล้วนถูกดูดเข้าไปในวังวนแห่งความขัดแย้ง จนไม่เหลือผู้ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอีกแล้ว เพียงแต่ท่าทีที่ผ่านมา คอป.ไม่ ถึงกับเข้าข้างรัฐบาลอภิสิทธิ์ผู้แต่งตั้งอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู จึง “ดูดี” หน่อยในกระแสสังคม    ฉะนั้น ผมก็ไม่เห็นด้วยที่แกนนำ นปช.จะให้ระงับการเผยแพร่รายงาน คอป. หรือจะให้ตั้งกรรมการสอบใหม่ เพราะรัฐบาลนี้คงตั้งคนไม่เป็นกลางเหมือนกัน การเผยแพร่จะเป็นไรไปในเมื่อบอกได้ว่า มีผู้ไม่เห็นด้วยจำนวนมาก
 

ส่วนที่ว่ายูเอ็นเห็นชอบรายงาน คอป.ก็ ต้องดูให้ดี แถลงการณ์ยูเอ็นย้ำว่าทหารจะต้องเป็นกลางทางการเมือง กระบวนการยุติธรรมเป็นอิสระ และสนับสนุนให้ทบทวนมาตรา 112 (ซึ่ง ปชป.และสื่อที่เอาข่าวยูเอ็นมาตีปี๊บไม่ได้เห็นด้วยกับเขาเสียหน่อย)
       
 คอป.ไม่ใช่ “คนกลาง” ตั้งแต่แรก เพราะผู้มีบทบาทใน คอป.หลาย รายไม่ได้คัดค้านรัฐประหาร ออกอาการเห็นด้วยในที เคยปกป้องม็อบยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ด้วยท่าทีแตกต่างกับม็อบยึดราชประสงค์ เพียงแต่ก็ยังเป็นผู้มีมนุษยธรรม มีความเศร้าเสียใจเมื่อเห็นชาวบ้านถูกฆ่าตาย พยายามทำความเข้าใจกับมวลชนเสื้อแดงมากขึ้น
        

กระนั้นด้วยจุดยืนข้างต้นก็ทำให้รายงาน คอป.มีปัญหาเชิงทัศนะ การให้น้ำหนักเรื่องที่มา รากเหง้า และข้อเสนอแนะ
       
 ปัญหาในรายงาน คอป.ไม่ ใช่เรื่อง “ชายชุดดำมีจริง” ซึ่งมีแต่แกนนำ นปช.เท่านั้นที่ตะแบงไม่ยอมรับ “ชายชุดดำมีจริง” แต่เป็นเหตุผลเพียงพอให้ ศอฉ.ใช้ “กระสุนจริง” กับผู้ชุมนุมหรือไม่ นั่นต่างหากประเด็นสำคัญที่หายไปจากรายงาน คอป.
       
 รายงาน คอป.ระบุ ว่า มีผู้เสียชีวิตจากชายชุดดำ 9 คน แต่ก็ชี้ชัดว่ามวลชนจำนวนมากเสียชีวิตจากกระสุนที่มีวิถีมาจากทางทหาร รวมทั้งนักข่าวญี่ปุ่น นักข่าวอิตาลี โดยผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศยังชี้ว่าภาพทหารยิงปืนนั้นไม่ใช่กระสุนยางแต่ เป็นกระสุนจริง ฉีกคำให้การของทหารต่อดีเอสไอโดยสิ้นเชิง
       
 ชายชุดดำมีจริง และแกนนำ นปช.บางคนยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง แต่มวลชนส่วนใหญ่เป็นโจรไปด้วยหรือ การตัดสินใจใช้ทหารพร้อมคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงได้ สมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่าเหตุ คอป.ไม่ ตอบตรงนี้เลยนอกจากตอกย้ำว่า “ชายชุดดำมีจริง” และ “แกนนำยั่วยุ” ทั้งที่รายงานก็บอกว่ามวลชนที่เสียชีวิต 80 กว่าคนมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่อาจมีเขม่าดินปืน ส่วนที่เหลือไม่ได้มีอาวุธร้ายแรง
        

วันที่ 10 เมษายน ศอฉ.ส่งทหารเข้า “ขอคืนพื้นที่” ผ่านฟ้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เหมือนเป็นการ “เอาคืน” จากที่ “เสียหน้า” ถูกม็อบยึดไทยคมปลดอาวุธทหาร วันที่ 13-19 พฤษภาคม แม้อ้างว่า นปช.ล้มโต๊ะเจรจา แต่ม็อบตอนนั้นก็ร่อยหรอ แกนนำบางคนถอนตัว ผู้ที่เคยสนับสนุนก็เรียกร้องให้ยอมรับเงื่อนไขยุบสภาใน 6 เดือน จำเป็นต้องใช้กำลังหรือไม่
         

คอป.ยัง วิเคราะห์คำสั่ง ศอฉ.เปรียบเทียบว่าการปฏิบัติของทหารไม่เป็นไปตามมาตรฐาน แปลว่าทหารทำเกินกว่าเหตุ? แต่ทำไมไม่วิเคราะห์ด้วยว่าการออกคำสั่งเช่นนั้น เสี่ยงต่อการที่ทหารจะทำเกินเหตุอยู่แล้ว ผู้ออกคำสั่งควรรู้แก่ใจ
   

ประการสำคัญคือ คอป.วิเคราะห์ รากเหง้าของปัญหา ซึ่งเหมือนจะดูดี วิพากษ์ทั้งการใช้อำนาจของรัฐบาลทักษิณมาจนรัฐประหาร คดีซุกหุ้นมาจนตุลาการภิวัฒน์ แต่ให้น้ำหนักพิกล เรายอมรับกันว่ารัฐบาลทักษิณอำนาจนิยม แต่รัฐประหารและการใช้ตุลาการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งมา คือสิ่งที่ทำให้ความขัดแย้งลุกลามรุนแรง
        

อ.คณิต ณ นคร เหมือนฝังใจคดีซุกหุ้น คดีซุกหุ้นคือรอยด่างของความยุติธรรม แต่ก็เป็นเพราะตุลาการบางคน ขณะที่ “ตุลาการภิวัฒน์” ซึ่งเข้ามาร่วมมือกับรัฐประหารสร้างความยุติธรรมสองมาตรฐาน สะเทือนถึงความเชื่อมั่นต่อสถาบันตุลาการทั้งสถาบัน มันต่างกันนะครับ
       
คอป.ไป ทำวิจัยมาอย่างไร จึงสรุปเช่นนี้ ที่น่ากังขาคือเรื่องนี้เป็นความเห็นที่มีอยู่ทั่วไป ไม่ต้องวิจัยก็ได้ แล้วแต่ใครจะมีทัศนะอย่างไร เหตุใด คอป.จึงต้องใช้เงินจ้างที่ปรึกษาโครงการวิจัยและเก็บข้อมูล 24 โครงการ 25.88 ล้านบาท นี่เป็นเรื่องที่น่าชี้แจงด้วย


(ที่มา)
http://www.komchadluek.net/detail/20120924/140719/คอป.กับความเป็นกลาง 

ที่นี่ความจริง 24 9 2012

ที่นี่ความจริง 24 9 2012 

 


(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=jXuMMHjOe38&feature=youtu.be

คำว่าสมานฉันท์ควรถูกนำมาใช้แทนคำว่า...

คำว่าสมานฉันท์ควรถูกนำมาใช้แทนคำว่า...


Photo: Solidarity - Occupy Earth Now! 
One World. One Love. One Chance.

คำว่าสมานฉันท์ควรถูกนำมาใช้แทนคำว่าการบริจาคเพราะเป็นการแบ่งปันบนฐานคิดความเสมอภาคและการเคารพซึ่งกันและกัน
  
Solidarity - Occupy Earth Now!
One World. One Love. One Chance.

ศาลตุรกีตัดสินให้ทหาร 330 คนมีความผิดฐานพยายามก่อรัฐประหาร

ศาลตุรกีตัดสินให้ทหาร 330 คนมีความผิดฐานพยายามก่อรัฐประหาร

 

 Turkish military officers sentenced for plotting coup 

ศาลของตุรกีได้ตัดสินให้เจ้าหน้าที่ทหารมีความผิดและลงโทษจำคุก 15-20 ปี โดยการตัดสินล่าสุดนี้เป็นการแสดงอำนาจของรัฐบาลพลเรือนในตุรกี ที่ก่อนหน้านี้กองทัพเคยควบคุมอำนาจและทำรัฐประหารบ่อยครั้ง
 
เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าวเดอะ การ์เดียน ของอังกฤษรายงานว่าศาลของตุรกีได้ตัดสินให้เจ้าหน้าที่ทหาร 330 นาย มีความผิดฐานพยายามก่อการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเทยิพ เออโดแกน
 
ก่อนหน้านี้ศาลตุรกีได้ตัดสินให้อดีตแม่ทัพสามนายต้องโทษจำคุกตลอด ชีวิต ซึ่งต่อมาได้รับการลดหย่อนให้เหลือจำคุก 20 ปี เนื่องจากแผนการรัฐประหารไม่สำเร็จ และตัดสินให้แม่ทัพในตำแหน่งอีกสองรายกับอดีตแม่ทัพอีกหนึ่งรายจำคุก 18 ปี
 
ยังมีจำเลยอีก 324 นายที่รอจากตัดสินโทษหลังพบว่ามีความผิดจากข้อหามีส่วนร่วมในแผนการรัฐ ประหาร ผู้ฟ้องร้องต้องการให้จำเลยทั้ง 365 คนถูกตัดสินจำคุก 15-20 ปี
 
ก่อนหน้านี้ศาลได้ประกาศให้เจ้าหน้าที่ 34 นายพ้นโทษจากคดี เดอะ การ์เดียน รายงานว่ากรณีเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึงการที่รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นสถาบันที่ควบคุมอำนาจไว้ทุกส่วนในตุรกี
 
แผนรัฐประการมาในแผนการสมคบคิดชื่อ "แผนค้อนยักษ์" ที่มีการวางแผนระเบิดมัสยิดประวัติศาสตร์ในอิสตันบูลและสร้างเหตุความขัด แย้งกับกรีกเพื่อให้กองทัพหาหนทางขึ้นมาสู่อำนาจได้
 
เดอะ การ์เดียน กล่าวว่า แต่เดิมแล้วกองทัพตุรกีเป็นผู้ที่มีอำนาจนำในทางการเมือง พวกเขาก่อรัฐประหาร 3 ครั้งภายในช่วงปี 1960-1980 และขับให้รัฐบาลของฝ่ายอิสลามที่ขึ้นครองอำนาจเป็นครั้งแรกออกจากตำแหน่งไป ในปี 1997
 
เดอะ การ์เดียน กล่าวในรายงานข่าวอีกว่า ตั้งแต่สมัยรัฐบาลเออโดแกนที่เข้าสู่ตำแหน่งเมื่อราว 10 ปีที่แล้วเป็นต้นมา อำนาจของฝ่ายกองทัพก็ถูกควบคุมมากขึ้น และการตัดสินคดีในครั้งนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นความเข้มแข็งของรัฐบาลที่ เปิดเผยตัวเองออกมาจากเงามืด
 
(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42781