หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ทฤษฏีการปฏิวัติถาวรของตรอทสกี้

ทฤษฏีการปฏิวัติถาวรของตรอทสกี้

 


ท่ามกลางการปฏิวัติ 1917 เลนิน เปลี่ยนใจใน “วิทยานิพนธ์ เมษายน 1917” โดยเสนอว่าการปฏิวัติที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องนำไปสู่ขั้นตอนของสังคมนิยม ทันทีและนำโดยกรรมาชีพ ผ่านการสร้างรัฐกรรมาชีพ ซึ่งจะเห็นว่า เลนิน หันมาสนับสนุนจุดยืน “การปฏิวัติถาวร” ของ มาร์คซ์


โดย กองบรรณาธิการเลี้ยวซ้าย

คาร์ล มาร์คซ์ เสนอในปี 1850 (60 ปีหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส)ว่าความขัดแย้งหลักในสังคมเปลี่ยนไปจากความขัด แย้งระหว่างนายทุนกับขุนนาง ไปเป็นความขัดแย้งระหว่างกรรมาชีพกับชนชั้นปกครอง มาร์คซ์เขียนว่า...   

“ชน ชั้นกรรมาชีพเท่านั้นที่จะเป็นผู้ต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับทุนนิยมจนได้รับ ชัยชนะ... และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อชนชั้นกรรมาชีพเข้าใจผลประโยชน์ของชนชั้น ตัวเองอย่างชัดเจน โดยสร้างพรรคการเมืองอิสระของกรรมาชีพเอง และไม่หลงเชื่อคำแนะนำจากพวกนายทุนน้อยประชาธิปไตยตอแหลที่เสนอว่า กรรมาชีพไม่ต้องมีพรรคของตนเอง... คำขวัญของกรรมาชีพจะต้องเป็น ‘ปฏิวัติให้ถาวรไปเลย!’” [Marx, K & Engels, F (1981) “Collected Works Vol X” pp 280-287, London.]

ก่อนการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 เลนิน แสดงจุดยืนในหนังสือ “สองยุทธวิธีของสังคมนิยมประชาธิปไตย” ว่าการปฏิวัติที่กำลังจะเกิดต้องนำโดยชนชั้นกรรมาชีพที่ทำแนวร่วมกับชาวนา แต่ในขั้นตอนแรก เนื่องจากความล้าหลังของประเทศรัสเซียที่มีชาวนา 130 ล้านคน เมื่อเทียบกับกรรมาชีพแค่ 3 ล้านคน การปฏิวัติจะสถาปนาระบบประชาธิปไตยทุนนิยมก่อน โดยมีนายทุนเป็นชนชั้นปกครอง หลังจากนั้นกรรมาชีพจะค่อยๆทำการปฏิวัติไปสู่สังคมนิยมในภายหลัง
 
(อ่านต่อ)
http://turnleftthai.blogspot.com/2012/02/blog-post_5945.html

เมื่อสามปีก่อน - Three Years Ago

 

jifpp.jpg


 

 







เมื่อ สามปีก่อน ในวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ผมรีบเดินทางออกนอกประเทศไทย เพราะถูกแจ้งความว่า “หมิ่น” นายภูมิพลประมุขของประเทศไทย ผมต้องออกจากประเทศ ทิ้งบ้านเกิดและอาชีพการเป็นอาจารย์เพราะในประเทศไทยไม่มีระบบยุติธรรม และผมจะถูกศาลเตี้ยตัดสินจำคุกเป็นเวลานาน

เสนอว่านายภูมิพลผู้เป็นประมุข สนับสนุนรัฐประหาร สาเหตุที่ผมมั่นใจตรงนี้ก็เพราะทหารอ้างชื่อนายภูมิพลด้วยวาจาและโบสีเหลือง เพื่อให้ความชอบธรรมกับรัฐประหาร มีการถ่ายรูปหมู่กับนายภูมิพลและภรรยาด้วย และนายภูมิพลไม่วิจารณ์รัฐประหารเลยแม้แต่คำเดียว ตรงกันข้ามนายภูมิพลออกมาชมนายกรัฐมนตรีทหาร “ขิงแก่” ในภายหลัง


ในหนังสือเล่มของผม ผมวิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงเพราะเป็นแนวคิดที่แช่แข็งความเหลื่อมล้ำในขณะที่ นายภูมิพลเป็นคนไทยที่รวยที่สุด และเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกด้วย


ผมเขียนว่านายภูมิพลดูเหมือนสบายตัวเมื่อทำงานกับทหารเผด็จการ ถ้าใครศึกษาประวัติศาสตร์จะทราบดีว่านายภูมิพลเริ่มมีบทบาทจริงๆ ในการเป็นกษัตริย์ เมื่อเผด็จการสฤษดิ์ส่งเสริมเขา


ผมถามคำถามในหนังสือของผมว่าประมุขของประเทศที่ขึ้นชื่อว่า เป็นประเทศ “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ควรจะปกป้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยจากการทำรัฐประหารหรือไม่


สิ่งเหล่านี้ พวกทหารมองว่า “หมิ่นกษัตริย์” แต่จริงๆ แล้วผมไม่ไดพุ่งเป้าไปที่นายภูมิพล เพราะเขาเป็นคนไร้อุดมการณ์ ไม่มีความกล้าหาญ ไม่มีอำนาจ และพร้อมจะให้ทหารใช้เขาเป็นเครื่องมือเสมอ ผมพุ่งเป้าไปที่ทหาร และทหารก็โต้ตอบด้วยกฏหมาย 112 ที่ปกป้องทหารและความชั่วของทหาร

หลังจากที่ผมออกจากประเทศไทย นายอภิสิทธิ์ ก็มาพูดที่มหาวิทยาลัยออคซ์ฟอร์ดเรื่อง “ประชาธิปไตย” ผมและเสื้อแดงหลายคนก็ไปประท้วง นายอภิสิทธิ์พูดว่าผมเป็น “คนหนีคดี” และควรกลับไปไทยเพื่อผ่าน “กระบวนการยุติธรรม”

 

(อ่านต่อ) 

http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/322--three-years-ago.html

ถนนประชาธิปไตย ไทยใต้กระแสขวาคลั่ง

ถนนประชาธิปไตย ไทยใต้กระแสขวาคลั่ง


สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

 โดยสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

 

ปีศาจตนหนึ่ง กำลังหลอกหลอนไปทั่วสังคมไทย ทำให้ชนชั้นนำและกลุ่มฝ่ายขวาทั้งหมด ต้องผนึกกันเป็นแนวร่วมเพื่อต่อต้าน ตั้งแต่บางปีกในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย กลุ่มผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มเนติบริกร ผู้นำกองทัพ อธิบดีกรมตำรวจ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ สยามสามัคคี กลุ่มสลิ่มสารพัดสี และผู้เกินกว่าราชาทั้งหลาย ต่างก็ช่วยกันกู่ร้องประสานเสียงประณามคณะนิติราษฎร์ วาดภาพให้คณะนิติราษฎร์เป็นผีปีศาจปลุกคนไทยมาต้านคณะนิติราษฎร์ บ้างก็ไปถึงขนาดข่มขู่ว่าจะสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหาร ดูบรรยากาศน่าตกใจอย่างยิ่ง เพียงแต่สิ่งน่าตกใจกว่านั้นสำหรับชนชั้นนำไทย คือ การพิจารณาแลกเปลี่ยนเชิงเหตุผลในประเด็นที่คณะนิติราษฎร์เสนอมีน้อยมาก จึงแทบจะไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาด้านภูมิปัญญาเลย


ลองพิจารณาจากตัวอย่าง ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้แถลงในวันที่ 25 มกราคม ว่า ความเคลื่อนไหวในการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ จะเป็นการจุดชนวนความแตกแยกในบ้านเมือง และยังทำให้ประชาชนเกิดความเกลียดชังกลุ่มนิติราษฎร์ และย้ำว่าได้สั่งการให้ตำรวจสันติบาลติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติ ราษฎร์ ซึ่งถ้าหากว่า พบการกระทำความผิดจะจับกุมดำเนินคดีทันที ปัญหาคือ ร.ต.อ.เฉลิมทำราวกับว่า การเสนอให้มีการแก้กฎหมายของนิติราษฎร์เป็นเรื่องของการก่ออาชญากรรม ที่จะต้องคอยจ้องจับเพื่อดำเนินคดี


(อ่านต่อ) 
http://www.prachatai.com/journal/2012/02/39133

แฉผู้นำฝรั่งเศสผลาญภาษีปชช.แหลกลาญ ใช้ปีละ 4.7 พันล้านบ. มีรถเก็บในวัง"ฌอง เอลิเซ่" 120 คัน

แฉผู้นำฝรั่งเศสผลาญภาษีปชช.แหลกลาญ ใช้ปีละ 4.7 พันล้านบ. มีรถเก็บในวัง"ฌอง เอลิเซ่" 120 คัน

 


 

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ว่า นายเรเน่ โดแซร์ สมาชิกพรรคสังคมนิยมของฝรั่งเศส ได้ออกหนังสือชื่อว่า"L′argent de l′État"หรือ"เงินของหลวง"อ้างเปิดโปงพฤติกรรมการใช้จ่ายของประธานาธิบดีนิ โกลาส ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศสว่าเป็นไปอย่างสุดฟุ่มเฟือย โดยระบุว่า ผู้นำฝรั่งเศสไม่ยอมปฎิบัติตามหลักของการใช้จ่ายแยกบัญชีระหว่างเงินหลวงและ เงินส่วนตัว โดยผู้นำฝรั่งเศสเคยผลาญเงินหลวงไปกับค่าอาหาร 10,000 ปอนด์ต่อวัน (ราว 5 แสนบาท) และยังเก็บรถยนต์เป็นจำนวนถึง 121 คันไว้ในพระราชวังฌอง เอลิเซ่ โดยรถดังกล่าวได้ผลาญค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยเฉลี่ย 100,000 ปอนด์ต่อปี (5 ล้านบาท) และค่าน้ำมันอีก 275,000 ปอนด์ต่อปี (ราว 13.5 ล้านบาท)

นอกจากนี้ เขายังชอบใช้บริการเครื่องบินแอร์บัส เอ 330 ผลาญเงินหลวงเป็นเงิน 251 ล้านปอนด์ ด้วยการนำแขกกว่า 300 คน เดินทางไปต่างประเทศและท่องเที่ยว ซึ่งนับว่ามากกว่าประธานาธิบดีฝรั่งเศสทุก ๆ คนเสียอีก โดยเครื่องบินดังกล่าวถูกตั้งชื่อล้อว่า"แอร์ ซาร์โก วัน" หรือ"เครื่องบินโดยสารส่วนตัวของซาร์โกซี"

 

(อ่านต่อ) 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328513723&grpid=&catid=06&subcatid=0600

"เกษียร" วิพากษ์จุดอ่อนของทฤษฎีสมคบคิดว่าอเมริกาอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดในไทย

"เกษียร" วิพากษ์จุดอ่อนของทฤษฎีสมคบคิดว่าอเมริกาอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดในไทย


 



นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เขียนวิเคราะห์วิจารณ์ แนวคิดเรื่องสหรัฐอเมริกาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์วุ่นวายและความขัด แย้งทั้งหมดทางการเมืองไทย ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อบางสำนักและนักวิชาการบางราย ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว มติชนออนไลน์เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังนี้

การหาความรู้แบบข่าวกรอง-แผนสมคบคิด-ภูมิรัฐศาสตร์แบบนี้มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ควรคำนึงนะครับ จุด แข็งคือเก่งในแง่ขุดคุ้ยเจาะลึกหาข้อมูลเอกสารนโยบายลับและเชื่อมโยงเส้นสาย ความสัมพันธ์ทางการเงิน แต่จุดอ่อนคือจะตีความความเชื่อมโยงนั้นอย่างไร? จะแปรความต้องสงสัย (suspicion - หลักตรรกะดำเนินการของงานข่าวกรอง) ไปเป็นการพิสูจน์จริงอย่างสิ้นสงสัย (proof - หลักตรรกะดำเนินงานของงานวิชาการและกระบวนการยุติธรรม) อย่างไร


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328538618&grpid=&catid=01&subcatid=0100

ม.112กับเกมแห่งอำนาจ

ม.112กับเกมแห่งอำนาจ


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


 

สิ่งที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่าข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ให้ แก้ไขเพิ่มเติม ม.112 ก็คือปฏิกิริยาต่อข้อเสนอนั้น แต่น่าเสียดายที่เราไม่อาจหยั่งรู้ความเห็นของเสียงเงียบ ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนได้ แม้แต่ในหมู่ผู้สนับสนุนอีกไม่น้อยก็คงเลือกจะอยู่กับเสียงเงียบ ดังนั้น เราจึงได้ยินแต่เสียงของฝ่ายต่อต้านระงมไปหมด จนกระทั่งมีการตีความไปเลยว่านั่นคือเสียงส่วนใหญ่ของพลเมืองไทย

แต่เสียงของฝ่ายต่อต้านคัดค้านนั้นเอง ก็น่าสนใจมาก เพราะมันบอกอะไรบางอย่างให้เรารู้เกี่ยวกับอำนาจในสังคมไทย

คน ที่คัดค้านต่อต้านอย่างเป็นส่วนตัว เช่นคุยกับเมียหรือเพื่อน จะมีความเห็นอย่างไรนั้น ผมขอไม่กล่าวถึง อย่างน้อยก็เพราะผมไม่รู้ว่าเขาพูดว่าอะไร แต่คนที่คัดค้านต่อต้าน "เป็นสาธารณะ" เช่นลงข้อความในเครือข่ายออนไลน์, นัดหมายให้มาชุมนุม, ออกแถลงการณ์, เขียนบทความลงสื่อ ฯลฯ นี่ต่างหากล่ะครับที่น่าสนใจมากกว่า

เพราะการที่เขาทำ "เป็นสาธารณะ" ก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า เขาอยากให้ความเห็นของเขานั้น เป็นที่ยอมรับในวงกว้างกว่าลูกเมียของเขา

ตาม ปกติ ในสถานการณ์ที่เรากำลังหาพวกในหมู่คนกว้างขวาง ซึ่งเราไม่ได้รู้จักมักจี่เป็นส่วนตัวนั้น เราก็น่าจะเสนอความเห็น, ท่าที, และวิธีการ ที่เก็งว่าจะได้รับการฟังจากสาธารณชน จนถึงได้รับการสนับสนุนเพราะสาธารณชนเห็นด้วย เช่นชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของข้อเสนอนิติราษฎร์ (จะเป็นข้อบกพร่องในเชิงกฎหมาย, ในเชิงวัฒนธรรม, ในเชิงการเมือง หรืออื่นใดก็ตามที) ด้วยท่าทีซึ่งปราศจากความรุนแรง เพราะสาธา
รณชนในสังคมใดๆ ก็ตามย่อมประหวั่นท่าทีซึ่งใช้ความรุนแรงเป็นธรรมดา
  

 

(อ่านต่อ) 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328530756&grpid=&catid=02&subcatid=0207

ผบ.ทบ.ลั่นทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว ม.112 ย้อนถามคนด่าพ่อ-แม่ของท่านจะรับได้หรือไม่

ผบ.ทบ.ลั่นทุกฝ่ายหยุดเคลื่อนไหว ม.112 ย้อนถามคนด่าพ่อ-แม่ของท่านจะรับได้หรือไม่


 

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (นรด.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวหลังเป็นประธานวันสถาปนาหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ครบรอบ 64 ปี ถึงความพยายามในการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ โดยเฉพาะการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเคลื่อนไหวก็จะมีความขัดแย้ง ระหว่างคน 2 กลุ่มเสมอ คิดว่าในช่วงนี้ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ตาม ควรหยุดการเคลื่อนไหวได้แล้ว รัฐบาลและหลายส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ก็บอกชัดเจนไปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่ทราบว่าคณะนิติราษฎร์จะทำไปทำอะไร ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ในส่วนปัญหาข้อกฎหมายไม่น่าจะมี 

 

(อ่านต่อ) 

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328498038&grpid=&catid=03&subcatid=0305