วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
คนงานเตรียมขอพบ รมว.แรงงาน หลังนโยบายค่าจ้าง 300 บาทไม่ตรงกับหาเสียง
Wed, 2011-08-24 18:50
24 ส.ค. 54 - สำนักข่าวไทยรายงาน ว่านายมนัส โกศล ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลไม่ตรงกับที่ได้หาเสียงไว้ในเรื่องของค่าจ้างขั้นต่ำ เพราะรัฐบาลเปลี่ยนถ้อยคำจากค่าจ้างขั้นต่ำมาเป็นรายได้ไม่น้อยกว่าวันละ 300 บาท ซึ่งความหมายของรายได้ คือ ค่าจ้างบวกกับค่าสวัสดิการและค่าโอที ทำให้แรงงานรู้สึกว่า รัฐบาลบิดพลิ้วนโยบายปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทั้งนี้ หากพูดถึงรายได้ภาพรวมในปัจจุบันทั้งในเรื่องของเงินเดือนและค่าสวัสดิการ ต่างๆ ลูกจ้างได้มากกว่า 300 บาทต่อวันอยู่แล้ว หากได้ค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาท จะทำให้ลูกจ้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพราะไม่ต้องทำงานล่วงเวลา หรือทำน้อยลดลง
อย่างไรก็ตาม สัปดาห์หน้า ตัวแทน 7 สภาองค์การลูกจ้างฯ จะขอเข้าพบนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อทวงถามความชัดเจนในเรื่องนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เพราะสิ่งที่แรงงานกังวล คือ รายได้ 300 บาทต่อวัน เป็นการขอความร่วมมือจากภาคเอกชน ไม่ได้เกิดผลเช่นเดียวกับค่าจ้างขั้นต่ำ ที่มีกฎหมายบังคับชัดเจนให้นายจ้างจ่าย
สำหรับวิธีการในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวันนั้น รัฐบาลสามารถทำได้ โดยแก้ไขมาตรา 78 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ในเรื่องการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการ หรือกำหนดอัตราค่าจ้างแทนคณะกรรมการไตรภาคี เพราะปัจจุบันราคาสินค้ามีการขยับนำหน้าการปรับค่าจ้างแล้ว
ณัฐวุฒิใช้สิทธิ์พาดพิง
http://www.youtube.com/watch?v=yrK_e04BKbY&feature=player_embedded#!
"ปชป." เดือด คำพูด "ใบอนุญาตฆ่าปชช." ของ "ณัฐวุฒิ"ใน ช่วง 22.10 น. นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ใช้สิทธิพาดพิงชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า เรื่องทักษิณมหาราษฎร์ เกิดจากหลังเลือกตั้งมีคนชั่วขี้เรือนบางคนไปขึ้นป้ายทักษิณมหาราษฎร์ พวกตนไม่ได้กินแกลบ ดังนั้นขอสาปแช่งคนชั่งที่เอาป้ายมาขึ้นขอให้มีอันเป็นไป พวกตนเจ็บปวด ศอฉ.ไปขึ้นฝังล้มเจ้า พวกตนโดยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งที่เลขาสมช. และโฆษกศอฉ.บอกว่าปลอม
จากนั้น นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคปชป. ประท้วงอย่างมีอารมณ์และชี้หน้านายจตุพร ว่า "ไอ้ขี้เรื้อนนี้ต้องจัดการ เพราะมันแดงเทียม อย่าเดือนร้อน นั่งลงก่อน" ทั้งนี้นายจตุพรไม่ลดละและพูดต่อแม้ประธานจะปิดไมค์แล้ว ทำให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ปชป. ลุกประท้วง ว่า ตนเสียหาย ประธานปล่อยให้นายจตุพรพูดในเรื่องเลยเถิด ว่าศอฉ.ที่ตนกำกับดูแลได้ทำหลักฐานปลอมใส่ร้ายนายจตุพร แต่เนื่องจากมีการล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูง ตนรับผิดชอบดูแลความมั่นคงบ้านเมือง เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้มีพฤติกรรม ก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีทันที ไม่ใช่เรื่องใส่ร้าย เพราะขณะนี้ดีเอสไอสอบสวนเป็นผู้ต้องหาแล้วจำนวน 19 คน มีนายจตุพรอยู่ด้วย เป็นเรื่องจริง
จากนั้น นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคปชป. ประท้วงอย่างมีอารมณ์และชี้หน้านายจตุพร ว่า "ไอ้ขี้เรื้อนนี้ต้องจัดการ เพราะมันแดงเทียม อย่าเดือนร้อน นั่งลงก่อน" ทั้งนี้นายจตุพรไม่ลดละและพูดต่อแม้ประธานจะปิดไมค์แล้ว ทำให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ปชป. ลุกประท้วง ว่า ตนเสียหาย ประธานปล่อยให้นายจตุพรพูดในเรื่องเลยเถิด ว่าศอฉ.ที่ตนกำกับดูแลได้ทำหลักฐานปลอมใส่ร้ายนายจตุพร แต่เนื่องจากมีการล่วงละเมิดต่อสถาบันเบื้องสูง ตนรับผิดชอบดูแลความมั่นคงบ้านเมือง เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้มีพฤติกรรม ก็ให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีทันที ไม่ใช่เรื่องใส่ร้าย เพราะขณะนี้ดีเอสไอสอบสวนเป็นผู้ต้องหาแล้วจำนวน 19 คน มีนายจตุพรอยู่ด้วย เป็นเรื่องจริง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จึงลุกตอบโต้ทันที ว่า ตนก็เป็น 1 ใน 19 คน และเป็นพรรคพวกของนายจตุพร ขอยืนยันความบริสุทธิ์ ไปมอบตัวต่อดีเอสไอ และเซ็นหนังสือรับรองการสละสิทธิ์ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองในสมัยประชุม แต่การใส่ร้ายเอาสถาบันเบื้องสูงมาใช้ไม่เป็นส่วนดีต่อใครเลย แม้แต่สถาบันเอง เป็นเรื่องที่ทำลายทุกคนทุกฝ่าย นายกฯที่ได้รับเสียงเลือกตั้งสูงสุดในประเทศก็ล้มเพราะข้อกล่าวหานี้ และที่ตนเจ็บปวดที่สุดคือข้อกล่าวหานี้ใช้ออกใบอนุญาตฆ่าประชาชน ไม่อยากให้คนตายเพิ่มเติมอีก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประท้วงต่อว่า ประเด็นที่นายสุเทพประท้วง ไม่ใช่ความเสียหายต่อตัวพวกของตน แต่เพราะส.ส.ที่ประท้วง เอาประเด็นเรื่องสถาบันไปผูกโยงกับการเสียชีวิต ถ้าไม่จริงไม่เป็นไร ให้สมาชิกคนดังกล่าวลุกมาพูดใหม่ ตนยืนยันการเสียชีวิตในปี 2553 ให้สอบกันตามความจริง ใครผิดก็ลงโทษ แต่คนที่พูดว่าเอาเรื่องข้อกล่าวหาเกี่ยวกับสถาบันมาเป็นใบอนุญาตเกี่ยวกับ การเสียชีวิต พูดอย่างนั้นพวกตนไม่เสียหาย แต่สถาบันเสียหาย
นาย สุเทพเสริมอีกว่า นายณัฐวุฒิต้องถอนคำพูด ตนยอมไม่ได้ ตนเสียใจจริงๆ ถ้าประธานไม่วินิจฉัยให้ถอน ตนก็ยอมรับประธานไม่ได้เหมือนกัน ตนไม่อยากบอกซ้ำอีก ทั้งนี้ นายสุเทพได้นำถ้อยคำอภิปรายของนายณัฐวุฒิที่ถอดบันทีกไว้ในกระดาษเอ4 มอบให้ประธานอ่าน ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิ ชี้แจงว่า ขอให้คนทั้งประเทศเข้าใจ ตนพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ และขออย่าเอาข้อหาเกี่ยวกับสถาบันมาใส่ร้ายทางการเมืองอีก เพราะมันเจ็บปวด ตนไม่ได้พูดโยงสถาบันเข้ากับการเสียชีวิต พูดแต่ว่าข้อกล่าวหานี้ทำลายนายกฯมาแล้ว 2 คน ทำให้ส.ส.ปชป.โห่ลั่น
จตุพร เดือด สาธิต วงหนองเตย ประชุมสภา 24 08 54
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า
ปฏิเสธ ไม่ได้ว่า ชัยชนะพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งผ่านการสะสมมวลชนคนเสื้อแดงในหลายปี มีการสร้างประเด็นอำมาตย์ ไพร่ มีการสร้างวาทะกรรมสำคัญว่า อำมาตย์ไม่อยากเห็นคนหายจน จะต้องพึ่งพาอำมาตย์ตลอดชีวิต คำถามก็คือ นโยบายที่รัฐบาลชุดนี้แถลงต่อรัฐสภามีความแตกต่างจากนโยบายอำมาตย์ตรงไหน ตนดูนโยบายทั้งหมดแล้วรู้สึกผิดหวัง เพราะไม่มีการแก้ปัญหาคนยากจนที่เป็นคนสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเลย
ทั้ง เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท เป็นแค่เทคนิคทางการเมือง จะจับตาดูว่า จะเป็นเพียงการสร้างวาทกรรม หลอกลวงเรื่องไพร่ อำมาตย์ เอามวลชนมาเป็นฐานให้ตัวเองขึ้นมามีอำนาจ แล้วทิ้งคนจนหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น ถือว่า หลอกลวงคนจน บาปที่สุด
จากนั้น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ได้ขึ้นมาอภิปรายทักท้วงทันทีว่า
ตนมีสองสถานะทั้งคนเสื้อแดงและสมาชิกพรรคเพื่อไทย สิ่งที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ ต้องรอให้ผ่านวันนี้ไปก่อนถึงจะเริ่มต้นได้
ตน ไม่เคยเห็นปรากฎการณ์ที่รัฐบาลยังไม่เริ่มต้นทำงาน ก็ถูกสร้างเรื่องราวขึ้นมาใส่ร้ายมากมาย ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไร แล้วจะมาหาว่า หลอกลวงได้อย่างไร ส่วนคำว่า ไพร่ อำมาตย์ เป็นเพียงการอธิบายว่า ความเหลื่อมล้ำจากปฏิบัติหน้าที่รัฐบาลชุดที่แล้ว
ทำให้นายเจ๊ะอาหมิง โต๊ะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นประท้วงทันทีว่า
การทักท้วงของจตุพร ต้องบอกว่าผิดข้อบังคับใด ไม่ใช่ขึ้นมาอภิปราย
ซึ่งนายจตุพร ได้สวนกลับทันทีว่า
การอภิปรายกับการทักท้วงเป็นคนละเรื่อง เป็นผู้แทนมานาน ทำไมยังฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง
ทำให้ นายเจ๊ะอาหมิง จึงขอให้ นายจตุพร ถอนคำพูด เพราะตนฟังภาษาคนรู้เรื่อง ไม่ใช่ลิงอุรังอุตัง พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง
ในที่สุดนายจตุพร จึงยอมถอนคำพูดว่า นายเจ๊อาหมิง ไม่ใช่ลิงอุรังอุตัง
เครดิต
http://www.thairath.co.th/content/pol/196531
คำผกา วิเคราะห์ สลิ่ม ในสังคมไทย Voice TV
http://www.youtube.com/watch?v=iqRKrTPKu4g&feature=player_embedded#!คำผกาวิจารณ์ ว.วชิรเมธี
http://www.youtube.com/watch?v=vzOguWxC-Zs&feature=relatedศาลระยำ...
จำคุก 4 เสื้อแดงอุบล 33 ปี 4 เดือน-ปล่อย 9 ผู้บริสุทธิ์หลังขังฟรีปีกว่า
Wed, 2011-08-24 22:28
24 ส.ค.2554 ศาลจังหวัดอุบลราชธานี ได้ออกนั่งบัลลังก์แบบองค์คณะโดยมีอธิบดีศาลภาค 3 อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานสอบสวน สภ.อ.เมือง อุบลราชธานี ได้ยื่นฟ้องกลุ่มคนเสื้อแดง ฐานความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย และความผิดต่อเจ้าพนักงานในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยร่วมกันฝ่าฝืน พ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉิน บุกรุกสถานที่ราชการ ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน และวางเพลิงเผาอาคารศาลากลางจังหวัด เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 โดยมีผู้ต้องหาถูกส่งฟ้องรวมทั้งสิ้น 21 คน
คดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของกลุ่มเสื้อแดงจำนวนกว่า 200 คน ที่เข้าร่วมรับฟังผ่านทีวีวงจรปิดที่ศาลได้ติดตั้งไว้เพื่อถ่ายทอดการอ่านคำ พิพากษาบริเวณข้างบันไดทางขึ้นศาล โดยศาลได้อ่านรายละเอียดการเบิกคำให้การของพยานแวดล้อมที่อยู่ในเหตุการณ์ ก่อนมีคำพิพากษาตัดสินลงโทษและยกคำฟ้องจำเลย โดยใช้เวลารวมทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมง
โดยสรุปศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิต 4 ราย ประกอบด้วย นายสนอง เกตุสุวรรณ อายุ45ปี นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ อายุ 45 ปี น.ส.ปัทมา มูลนิล อายุ25ปี นายธีรวัฒน์ สัจจสุวรรณ 21 ปี แต่ทั้งหมดให้การเป็นประโยชน์กับรูปคดี จึงลดโทษเหลือจำคุกหนึ่งในสาม เป็นเวลา 33 ปีกับ 4 เดือน
ส่วนผู้ต้องหาให้จำคุก 3 ปี แต่ลดโทษเหลือ 2 ปี มี 4 ราย ประกอบด้วย นายประดิษฐ์ บุญสุข นายลิขิต สุทธิพันธ์ นายไชยา ดีแสง นายพิสิทธิ์ บุตรอำคา และให้ลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ลดเหลือ 8 เดือน มี 3 ราย คือ นายอุบล แสนทวีสุข นายสุพจน์ ดวงงาม และ นางอรอนงค์ บรรพชาติ
สำหรับนายพิเชษฐ์ ทาบุดดา ซึ่งเป็นแกนนำและถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ส่งฟ้องข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย ศาลมีคำพิพากษาว่า พฤติกรรมนายพิเชษฐ์ ไม่เข้าข่ายเป็นผู้ก่อการร้าย แต่กระทำผิดฐานโฆษณาออกอากาศชักชวนให้มีการชุมนุมและการกระทำความผิด แต่ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า เป็นผู้ปลุกปั่นให้เกิดการเผาทำลายอาคารศาลากลางจังหวัด จึงพิพากษายกฟ้องข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย และให้ลงโทษฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ในสถานการณ์ฉุกเฉินจำคุก 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ส่วนผู้ต้องหาที่เหลืออีก 9 ราย ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง เพราะหลักฐานของโจทก์มีเพียงภาพถ่ายของผู้ต้องหาขณะเข้าร่วมชุมนุม แต่ไม่มีหลักฐานอื่นที่แสดงว่าโจทก์ได้ร่วมกระทำความผิดอื่นตามฟ้อง
หลังศาลอ่านคำพิพากษา เจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดลงจากบัลลังก์ นำกลับเข้าไปควบคุมไว้ที่เรือนจำกลางอุบลราชธานี โดยผู้ต้องหาที่ถูกปล่อยตัวในค่ำวันเดียวกัน มีทั้งสิ้น 12 ราย เป็นผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวจนครบอัตราโทษจำนวน 3 คน และอีก 9 คนเป็นผู้ต้องหาที่ศาลยกฟ้อง สำหรับนายพิเชษฐ์ ทาบุดดา ที่ถูกจำคุก 1 ปี พนักงานสอบสวนในคดีเผาเรือที่ชุมชนราชธานีอโศก ได้ขออายัดตัวไว้ดำเนินคดีต่อไป
นายวัฒนา จันทรสิงห์ ทนายความกล่าวว่า ในวันที่ 25 ส.ค.เวลา 09.00 น. กลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยใน จ.อุบลฯ จะมายื่นประกันตัวผู้ต้องหาที่เหลือในชั้นอุทธรณ์ทั้ง 9 คน ส่วนจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลอุทธรณ์ต่อไป
ในส่วนของผู้ต้องหาที่ศาลมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องนายวัฒนากล่าวว่า หากเจ้าหน้าที่ๆทำการจับกุมตัวมีสำนึกรับผิดชอบควรจะต้องมาติดต่อเพื่อแสดง ความรับผิดชอบต่อผู้บริสุทธิ์ที่ถูกพวกเขาใช้อำนาจจับกุมคุมขังโดยไม่ได้รับ การประกันตัวกว่า 1 ปี โดยที่ไม่ต้องให้ผู้เสียหายต้องแจ้งความดำเนินคดีก่อน
บทความแปล: การล้มล้างรัฐบาลพรรคเพื่อไทย (ที่กำลังพยายามดำเนินการอยู่)
อ้างอิง:
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2011/08/23/bringing-down-the-puea-thai-government/
แปลโดย: ดวงจำปา
ใน การรายงานครั้งก่อน, PPT ได้กล่าวถึง รูปแบบที่กำลังจะนำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร, โดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อท้าทายและในท้ายที่สุดก็จะกระทำการล้มล้างรัฐบาลซึ่งนำโดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการรายงานครั้งนี้ เราจะสรุปภาพให้เห็นถึง เค้าโครงต่างๆของเบื้องหลังที่ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสายตาชาวโลก วิธีการของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจาก ปี พ.ศ. 2548-2549 มากนัก และยุทธวิธีของพวกเขาก็ยังคงวนเวียนเช่นเดิม ไม่ต่างจาก “ภาพยนต์เก่าที่นำมาฉายซ้ำ” ตามแบบฉบับของประเทศไทย
ยุทธวิธี หลักของกลุ่มต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ ประเด็นที่สำคัญคือ การพยายามสร้างทัศนคติว่า รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น เป็นตัวแทนของท่านทักษิณ ในอีกความหมายหนึ่งคือ ยุทธวิธีเดิมซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้พ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งอย่างพลิกความคาดหมายเมื่อปี พ.ศ. 2550 ถึงแม้ว่า อำนาจเบื้องหลังและฝ่ายทหารนั้นได้ช่วยอย่างเต็มที่ทุกรูปแบบแล้ว เพื่อที่จะทำให้นายกทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุนพ่ายแพ้และเสื่อมเสียความน่า เชื่้อถือลงไป
ในขณะนี้ มีสัญญาณที่สังเกตให้เห็นอย่างมากมาย ที่แสดงถึงยุทธวิธีเก่าๆเหล่านี้ – และวาทกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นมา จะแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกันมากกว่าที่มีอยู่ในขณะนี้ – นั่นคือ พรรคประชาธิปัตย์ ได้สวมบทบาทผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อสถาบันฯ และกระทำการโจมตีรัฐบาลทางด้านรัฐสภา ในขณะเดียวกัน ก็ให้การสนับสนุนต่อทุกกลุ่มที่ต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณนอกรัฐสภาด้วย ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มเสื้อเหลือง / กลุ่มไม่มีสี /กลุ่มเสื้อหลากสี และกลุ่มทหาร ส่วนหลังฉากนั้น ผู้มีอำนาจเก่าและกลุ่มผู้นำด้านธุรกิจเป็นฝ่ายสนับสนุนและจัดการ “เล็ง” โดยตรงไปที่ตัวบุคคลที่เป็นเป้าหมายเอง
ลองพิจารณาถึงตัวอย่างต่างๆล่าสุดที่ ยุทธวิธีเหล่านี้ ได้เริ่ม “กลิ้ง” ออกมาสู่สายตาประชาชนแล้ว:
กลุ่ม ต่างๆนั้น ได้ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบกับกลุ่มผู้รักชาติแบบหัวปักหัวปำ ด้วยการโจมตีไปที่เป้าหมายโดยตรงคือ อดีตฯนายกทักษิณ ซึ่งพวกเขาเกลียดชังขนาดหนัก สถานีโทรทัศน์ ไทย-อาเซียนนิวส์ เนทเวอร์ค หรือ แทน เนทเวอร์ค ได้อ่านบทบรรณาธิการจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ซึ่งอ้างถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ดังนี้:
อย่างไรก็ตาม, ความเชื่อมั่นของประเทศชาติที่มีอยู่ในขณะนี้ กำลังอยู่ในอุ้งมือของนักการเมืองที่ไร้ประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ แต่ก็ยังได้รับมอบหมายหน้าที่ให้รับผิดชอบอย่างเด็ดขาด ในสถานการณ์ที่เป็นห้วงเหวมหาภัยของการเมืองระหว่างประเทศ หลายๆคนเป็นห่วงเหลือเกินว่า นโยบายต่างประเทศของประเทศไทยนั้น อาจจมดิ่งลึกลงไปกว่าที่เคยเป็นมา เนื่องจาก การปราศจากประสบการณ์ในการทำงาน ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่กับอันตรายที่อยู่ตรงหน้า การตกเป็นเหยื่อของชาวต่างชาติที่มีเล่ห์เหลี่ยมเจนจัด
สังคม นานาชาติอาจจะรับรู้กันเรียบร้อยแล้วว่า พวกเขาไม่ต้องทำงานอย่างยากลำบากเลย ในการแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศไทย เพราะขณะนี้ การบริหารงานขึ้นอยู่กับรัฐบาลหุ่นเชิด ที่ขึ้นมามีอำนาจได้เพราะ การใช้มารยาหลอกลวงในเรื่องประชาธิปไตย เพื่อที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับบุคคลเพียงบางกลุ่มเท่านั้นเอง
ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้ถูกบริหารโดย นักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่รับใช้ต่อบุคคลเพียงบางกลุ่ม ฝ่าย พนักงานของรัฐที่ทำงานอยู่นั้น ก็คาดหวังเพียงว่า จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ของกระทรวง ให้กลับไปสู่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนได้
ในบทความนี้ ภาษาที่ใช้นั้นได้จำลองเลียนแบบมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสะท้อนให้เห็นถึงความกังวล ดังที่ ข้อกล่าวอ้างจากสถานีเนทเวอร์ค (แทน) ได้กล่าวว่า: “ถึงแม้ว่า ทางสถานีนั้น จะเป็นนิติบุคคลเดียวกันในเรื่องของการส่งสัญญาณออกอากาศ, แทน เนทเวอร์คนั้น ก็เป็นสถานีที่แยกตัวออกมาอย่างอิสระโดยสมบูรณ์จากการบริหารงานของกลุ่ม เอ เอส ที วี” อาจจะต้องปรับปรุงการเสนอข่าวให้ตรงกับความเป็นจริงเสียที
การ ตัดสินใจของนายสุรพงษ์ ในการตอบข้อซักถามต่างๆ ของทางการประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับ อดีตนายกฯทักษิณนั้น ได้เปิดโอกาสให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อที่จะสร้างศรัทธาในการนำตัวบทกฎหมายและรัฐสภามาใช้ จากตัวอย่างที่ หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ได้กล่าวไว้ดังนี้:
พรรค ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กำลังหาลู่ทางที่จะใช้หลักการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เนื่องจากได้กระทำการช่วยเหลือให้อดีตผู้นำทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายสำหรับรัฐบาลไทย ในการเตรียมการต่ออดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งเป็นผู้หลบหนีจากกระบวนการยุติธรรมของไทย ให้ได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษเพื่อที่จะเยี่ยมเยียนประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 22 ถึง 28 สิงหาคม นี้
... นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวว่า รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ มีข้อผูกมัดที่จะต้องปฎิบัติตามคำพิพากษาและการบังคับใช้กฎหมายโดยการนำตัว อดีตนายกฯทักษิณ กลับมาสู่กระบวนการยุติธรรม
นายอภิสิทธิ์ได้กล่าว ว่า พนักงานของรัฐบาลที่ถูกตรวจสอบได้ว่า กระทำการช่วยเหลือผู้หลบหนีนั้น สามารถถูกดำเนินคดีได้ด้วย เขายังได้กล่าวต่อไปว่า ทางทนายความของพรรคประชาธิปัตย์กำลังพิจารณาถึงขั้นตอนทางกฎหมาย ที่จะเอาผิดกับนายสุรพงษ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลคนอื่นๆ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
นายอภิสิทธิ์ยังได้เปิดเผยต่อไปว่า เขาเห็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่งต่อการตอกย้ำรัฐบาลใหม่ในประเด็นนี้ และสามารถผลักดันเรื่องนี้เข้าไปยังศาลยุติธรรมและในรัฐสภาได้ด้วย แต่เขาคงจะลืมประเด็นการฟ้องร้องในคดีต่างๆกับบุคคลซึ่งเป็น ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, ผู้พูดและผู้ปลุกระดม นาย กษิตย์ ภิรมย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งวาระ เมื่อครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำพรรคร่วมรัฐบาล แล้วหรือ? พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการค้นหาอะไรไปมากกว่า การกล่าวโทษเพื่อการขับไล่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และตามที่หนังสือพิมพ์ เนชั่นได้กล่าวว่า มันจะ “นำกรณีนี้ไปสู่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อการสอบสวนว่ามีบุคคลใดที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศท่านนี้ และจะตรวจสอบต่อไปว่า นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของอดีตนายกฯทักษิณนั้น ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในเรื่องนี้หรือไม่”
นายอภิสิทธิ์ได้ยืนกรานถึง “ความเดือดดาล” ของเขาใน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ซึ่งได้กล่าวว่า:
นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวเตือนรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า ไม่ควรที่จะกระทำการใดๆ ที่ส่อความหมายให้เห็นถึงสองมาตรฐาน ดูเหมือนว่าเขาได้อ้างถึง ตัวพี่ชายของนายกฯยิ่งลักษณ์ นั่นก็คือ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของชัยชนะที่พรรคเพื่อไทยได้รับจากการเลือกตั้ง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และได้แต่งตั้งให้ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น ได้อยู่ในตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเป็น อย่างยิ่งที่ “เจ้าพ่อของระบบสองมาตรฐาน” ได้กล่าวออกมาเช่นนั้น เราจินตนาการว่า นายอภิสิทธิ์นั้น เป็นเพียงแต่ “ไอ้ตัวแสบ” แน่นอนที่สุดที่ กลุ่มสื่อมวลชนซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น จะตอบสนองในส่วนนี้ ด้วยการพาดหัวข่าวหน้าแรกที่เต็มไปด้วยคำว่า “นักโทษหนีคดี” อยู่วันแล้ววันเล่า ทำให้ดูเหมือนกับว่า นำภาพยนต์เก่า ออกมาฉายให้ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้น (เป็นรูปแบบเดียวกันกับ สิ่งที่สื่อเหล่านี้ ร่วมกันกระทำเมื่อปี พ.ศ. 2548-2549) นายสุรพงษ์ ได้ตอบโต้กลับไป ด้วยการ “ยื่นฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเขตพญาไท กับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ บุคคลอื่นๆ อีกสามคนของพรรคประชาธิปัตย์ ในข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และยื่นคำร้องในเรื่องการกล่าวหาเท็จกับตัวเขาด้วย”
วิธีการที่ สัมพันธ์กันของพรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินอยู่คือ การตั้งเป้าไปที่นายกฯยิ่งลักษณ์ว่า เป็นเพียงนักการเมืองมือใหม่ เพื่อ “แสดง” ให้เห็นถึงสถานะของเธอว่าเป็นเพียงหุ่นเชิด เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับอดีตฯนายกทักษิณนั่นเอง:
อดีตรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ได้ท้าทาย นายกฯยิ่งลักษณ์ ให้แสดงอย่างชัดเจน ถึงสถานะในพรรคของเธอ ด้วยการตอบคำถามในเรื่องนโยบายของรัฐบาลด้วยตัวเธอเอง เพื่อพิสูจน์ว่า เธอมีสามารถเป็นผู้นำได้
นายองอาจยังได้เสริมต่อไปว่า ได้กล่าวว่า ถ้าพรรคการเมืองของเธอนั้น มีคณะทำงานในการสร้างนโยบายและตัวเธอก็ได้เป็นผู้เลือกตัวบุคคลในคณะ รัฐมนตรีด้วยตัวของเธอเอง ดังนั้น เธอก็ควรที่จะตอบคำถามด้วยตัวของเธอเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการร่างนโยบายอย่างแท้จริง
การ เคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งของกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ กำลังเริ่มขึ้นแล้วอีกครั้งหนึ่ง โดยการนำของนายแพทย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือนายตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งได้ “ยื่นหนังสือให้กับสถานเอกอัครราชฑูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในกรุงเทพ มหานครเมื่อตอนเช้าวันนี้ เพื่อเป็นการประท้วงการอนุมัติอย่างพิเศษที่ให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศได้” เขายังได้เป็นผู้นำการประท้วงของ ฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ที่สถานเอกอัครราชฑูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทยอีกด้วย
เพื่อเป็นการสรุปประเด็น ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์กับทางฝ่ายทหาร ซึ่ง บางท่านอาจคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงลับๆ ระหว่างฝ่ายผู้มีอำนาจแท้จริงกับฝ่ายนายกทักษิณ ได้มีข้อสังเกตว่า ความตึงเครียดกำลังเริ่มผุดขึ้นมา ในลักษณะที่ จะเห็นทางฝ่ายผู้มีอำนาจแท้จริงและฝ่ายทหารได้ทำการวางแผนและสมคบคิดกันอยู่
PPT ขอสันนิษฐานว่า มันกำลังเริ่มก่อตัวผุดขึ้นมาแล้ว......
ความคิดเห็นของผู้แปล:
จากการอ่านบทความฉบับนี้ เราจะเห็นได้ว่า การร่วมมือระหว่างฝ่ายชั่วๆ กำลังเกิดขึ้นเหมือนกับปี พ.ศ. 2548-2549 อีกครั้งหนึ่ง
สิ่ง ที่แตกต่างจากเมื่อ 5 ปี ก่อนคือ การรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนของพี่น้องเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน เราจะเห็นได้จากการร่วมมือทางฝ่ายสื่อชั่วๆ ที่ออกมาโจมตีก่อนเพื่อน เพื่อแยกมวลชนออกไป ฝ่ายนักวิชาการก็กระทำการ ฟอร์เวิร์ด เมล์เป็นล่ำสัน ซึ่งเกี่ยวกับ การสร้างความซาบซึ้งกับตัวบุคคลในพระราชสำนัก และ การทำลายฝ่ายตรงข้ามในการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร
อย่างที่ดิฉันเคย กล่าวมาหลายครั้งแล้วว่า พรรคเพื่อไทยนั้น อ่อนเป็นอย่างมากในเรื่องแบบนี้ ไม่ยอมเป็นฝ่ายรุก หรือแม้แต่กระทำการตอบโต้อย่างฉับไว ทั้งๆ ที่ตนเองมีโอกาสอยู่ในมือแล้ว
สิ่งที่ดิฉันขอเสนอให้ทางรัฐบาลนำไปใช้ในการพิจารณา:
1. จัดตั้งองค์กรสื่อของรัฐบาล ในการโต้ตอบกับข่าวสารต่างๆ ที่พวกไม่หวังดี กระทำการอย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่ทุกขณะ ดิฉันเคยคิดถึงเรื่อง การตอบโต้ข่าวสารจากฝ่ายเสื้อแดงเอง ซึ่งเราควรจะช่วยกันระดมสมองว่า จะจัดตั้งเป็นรูปใดแบบไหนกัน การกระจายข่าวสารจะไปได้ทุกจังหวัดหรือไม่
ความ คิดของดิฉัน คือ จัดการเป็นองค์กรนิติบุคคล (มหาชน) ทางฝ่ายเสื้อแดงเลย เหมือนกับสำนักข่าวของ NBC ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประชาชนทั่วไปเป็นเจ้าของและควบคุมสื่อเหล่านั้นได้
2. ออกกฎหมายการฟ้องร้องในเรื่องการเสนอข่าวที่เป็นเท็จ เรื่องนี้ไม่ใช่การแทรกแทรงเสรีภาพต่อความคิดเห็น แต่เป็นเรื่องของการเสนอข่าวสารที่เป็นจริง รวมไปถึงการเสนอข่าวที่เป็นเท็จทางอินเตอร์เนท การแพร่หลายและฟอร์เวิร์ดข่าวที่เป็นเท็จ ควรมีการบังคับใช้แบบกฎหมาย 112 ตัวอย่างเช่นเรื่องการล่งข่าวใน เมนูอาหาร ซึ่งก็ทราบดีว่า เป็นเรื่องเท็จ แต่ไม่มีการใช้บังคับทางกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับตัวบุคคล ค่าเสียหายอย่างต่ำ ว่ากันไปเลยเป็น 10 ล้านบาทก็ได้ บทลงโทษจะต้องแรง เพื่อปกป้องการกระทำชั่วๆ ผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และจะไม่มีการรอลงอาญาโดยเด็ดขาด (ป้องกันในรูปแบบของ การตัดสินที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้รับการช่วยเหลือกันอย่างเป็นพิเศษ)
3. ทางฝ่ายเสื้อแดง ควรที่จะเริ่มวิจารณ์ผู้แทนราษฎรซึ่งไม่กระทำหน้าที่อันทรงเกียรติที่ตนได้ รับมอบหมายเข้าไป อย่าลืมว่า ผู้แทนราษฎรไม่ใช่เทวดา คุณเพิกเฉยต่อการปฎิบัติหน้าที่ ก็สมควรที่จะถูกวิจารณ์ได้ ฝ่ายเสื้อแดง เป็นเกราะแก้วเป็นกำแพงให้กับท่าน สามารถฝ่าฟันเข้ามาสู่รัฐสภาได้ แต่เมื่อท่านเพิกเฉย ต่อความทุกข์ร้อนของประชาชน เราให้อภัยท่านไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นบุคคลในพรรครัฐบาล หรือ พรรคร่วมก็ตาม คุณสามารถใช้ตำแหน่งในทางการเมือง ต่อการช่วยเหลือ ผู้ที่บริสุทธิ์และถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมใช่ไหมคะ กลุ่มเสื้อแดง น่าจะไปเยี่ยม สส ที่เงียบกริบเหล่านี้กันเสียหน่อยจะดีไหมคะ?
4. กระทำการสอบสวน เรื่องบุคคลที่เสียชีวิตที่ราชประสงค์ โดยเร็วที่สุด ดิฉันไม่นึกเลยว่า ไม่มี สส หรือ ผู้แทนคนไหนเอ่ยปากถึงเรื่องนี้เลยหรือไงคะ? บุคคลที่ดิฉันหวังมากที่สุด ที่จะกระทำการรุกในเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก น้องเดียร์ ซึ่งคุณพ่อของเธอ (เสธ แดง) ได้สละชีวิตไป ไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะไม่เข้ามาอยู่ในรัฐสภาหรอก จริงหรือไม่คะ น้องเดียร์? น้องควรจะเริ่มงานหรือยังคะ?
จากบทความที่แปลไว้ เราจะเริ่มเห็นได้ว่า ทางฝ่ายตรงข้าม (เสียงส่วนน้อยของประเทศ) กำลังใช้สื่อโจมตีความน่าเชื่อถือของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ในทุกรูปแบบ จุดหมายของพวกเขาก็คือ การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของ ประเทศ เรื่องนี้ เราเห็นได้ว่า มันเกิดขึ้นมาถึงสามหนแล้ว ที่ทราบมาก็คือว่า ครั้งที่สี่ กำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยวิธีการแบบเก่า ขอให้ท่านพี่น้อง จงช่วยกันปกป้องรักษาให้ดีที่สุด
การต่อสู้รอบใหม่ มันเริ่มเห็นลางๆ แล้วจริงๆ เราเสื้อแดงต้องพร้อม ขนาดชาวต่างชาติเอง (ซึ่งเขียนบทความนี้) เขายังรู้สึกเลยว่า เหตุการณ์ มันกำลังเริ่มผุดกำเนิดขึ้นมา เพื่อกระทำการล้มล้างรัฐบาลชุดนี้อีก เราจะต้องไม่ประมาทนะคะ เชื่อความรู้สึกของตนเอง ที่แน่ๆ ก็คือว่า ไอ้พวกสางเขียวนั้น จะมายิงชาวบ้านฟรีๆ อีกคงยากแน่ค่ะ
ดวงจำปา
อ้างอิง:
http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2011/08/23/bringing-down-the-puea-thai-government/
แปลโดย: ดวงจำปา
ใน การรายงานครั้งก่อน, PPT ได้กล่าวถึง รูปแบบที่กำลังจะนำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยฝ่ายต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร, โดยพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อท้าทายและในท้ายที่สุดก็จะกระทำการล้มล้างรัฐบาลซึ่งนำโดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในการรายงานครั้งนี้ เราจะสรุปภาพให้เห็นถึง เค้าโครงต่างๆของเบื้องหลังที่ไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสายตาชาวโลก วิธีการของฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจาก ปี พ.ศ. 2548-2549 มากนัก และยุทธวิธีของพวกเขาก็ยังคงวนเวียนเช่นเดิม ไม่ต่างจาก “ภาพยนต์เก่าที่นำมาฉายซ้ำ” ตามแบบฉบับของประเทศไทย
ยุทธวิธี หลักของกลุ่มต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ ประเด็นที่สำคัญคือ การพยายามสร้างทัศนคติว่า รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น เป็นตัวแทนของท่านทักษิณ ในอีกความหมายหนึ่งคือ ยุทธวิธีเดิมซึ่งเกิดขึ้นหลังจาก ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้พ่ายแพ้ต่อการเลือกตั้งอย่างพลิกความคาดหมายเมื่อปี พ.ศ. 2550 ถึงแม้ว่า อำนาจเบื้องหลังและฝ่ายทหารนั้นได้ช่วยอย่างเต็มที่ทุกรูปแบบแล้ว เพื่อที่จะทำให้นายกทักษิณและกลุ่มผู้สนับสนุนพ่ายแพ้และเสื่อมเสียความน่า เชื่้อถือลงไป
ในขณะนี้ มีสัญญาณที่สังเกตให้เห็นอย่างมากมาย ที่แสดงถึงยุทธวิธีเก่าๆเหล่านี้ – และวาทกรรมที่ประดิษฐ์ขึ้นมา จะแสดงให้เห็นถึงความสอดคล้องกันมากกว่าที่มีอยู่ในขณะนี้ – นั่นคือ พรรคประชาธิปัตย์ ได้สวมบทบาทผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อสถาบันฯ และกระทำการโจมตีรัฐบาลทางด้านรัฐสภา ในขณะเดียวกัน ก็ให้การสนับสนุนต่อทุกกลุ่มที่ต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณนอกรัฐสภาด้วย ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มเสื้อเหลือง / กลุ่มไม่มีสี /กลุ่มเสื้อหลากสี และกลุ่มทหาร ส่วนหลังฉากนั้น ผู้มีอำนาจเก่าและกลุ่มผู้นำด้านธุรกิจเป็นฝ่ายสนับสนุนและจัดการ “เล็ง” โดยตรงไปที่ตัวบุคคลที่เป็นเป้าหมายเอง
ลองพิจารณาถึงตัวอย่างต่างๆล่าสุดที่ ยุทธวิธีเหล่านี้ ได้เริ่ม “กลิ้ง” ออกมาสู่สายตาประชาชนแล้ว:
กลุ่ม ต่างๆนั้น ได้ทำงานประสานกันอย่างเป็นระบบกับกลุ่มผู้รักชาติแบบหัวปักหัวปำ ด้วยการโจมตีไปที่เป้าหมายโดยตรงคือ อดีตฯนายกทักษิณ ซึ่งพวกเขาเกลียดชังขนาดหนัก สถานีโทรทัศน์ ไทย-อาเซียนนิวส์ เนทเวอร์ค หรือ แทน เนทเวอร์ค ได้อ่านบทบรรณาธิการจากหนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ซึ่งอ้างถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ดังนี้:
อย่างไรก็ตาม, ความเชื่อมั่นของประเทศชาติที่มีอยู่ในขณะนี้ กำลังอยู่ในอุ้งมือของนักการเมืองที่ไร้ประสบการณ์ด้านการต่างประเทศ แต่ก็ยังได้รับมอบหมายหน้าที่ให้รับผิดชอบอย่างเด็ดขาด ในสถานการณ์ที่เป็นห้วงเหวมหาภัยของการเมืองระหว่างประเทศ หลายๆคนเป็นห่วงเหลือเกินว่า นโยบายต่างประเทศของประเทศไทยนั้น อาจจมดิ่งลึกลงไปกว่าที่เคยเป็นมา เนื่องจาก การปราศจากประสบการณ์ในการทำงาน ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่กับอันตรายที่อยู่ตรงหน้า การตกเป็นเหยื่อของชาวต่างชาติที่มีเล่ห์เหลี่ยมเจนจัด
สังคม นานาชาติอาจจะรับรู้กันเรียบร้อยแล้วว่า พวกเขาไม่ต้องทำงานอย่างยากลำบากเลย ในการแสวงหาผลประโยชน์จากประเทศไทย เพราะขณะนี้ การบริหารงานขึ้นอยู่กับรัฐบาลหุ่นเชิด ที่ขึ้นมามีอำนาจได้เพราะ การใช้มารยาหลอกลวงในเรื่องประชาธิปไตย เพื่อที่จะสร้างผลประโยชน์ให้กับบุคคลเพียงบางกลุ่มเท่านั้นเอง
ในขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้ถูกบริหารโดย นักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ที่รับใช้ต่อบุคคลเพียงบางกลุ่ม ฝ่าย พนักงานของรัฐที่ทำงานอยู่นั้น ก็คาดหวังเพียงว่า จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ของกระทรวง ให้กลับไปสู่ยุคแห่งความรุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อนได้
ในบทความนี้ ภาษาที่ใช้นั้นได้จำลองเลียนแบบมาจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และสะท้อนให้เห็นถึงความกังวล ดังที่ ข้อกล่าวอ้างจากสถานีเนทเวอร์ค (แทน) ได้กล่าวว่า: “ถึงแม้ว่า ทางสถานีนั้น จะเป็นนิติบุคคลเดียวกันในเรื่องของการส่งสัญญาณออกอากาศ, แทน เนทเวอร์คนั้น ก็เป็นสถานีที่แยกตัวออกมาอย่างอิสระโดยสมบูรณ์จากการบริหารงานของกลุ่ม เอ เอส ที วี” อาจจะต้องปรับปรุงการเสนอข่าวให้ตรงกับความเป็นจริงเสียที
การ ตัดสินใจของนายสุรพงษ์ ในการตอบข้อซักถามต่างๆ ของทางการประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับ อดีตนายกฯทักษิณนั้น ได้เปิดโอกาสให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อที่จะสร้างศรัทธาในการนำตัวบทกฎหมายและรัฐสภามาใช้ จากตัวอย่างที่ หนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ได้กล่าวไว้ดังนี้:
พรรค ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน กำลังหาลู่ทางที่จะใช้หลักการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการกับรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เนื่องจากได้กระทำการช่วยเหลือให้อดีตผู้นำทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นได้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวไว้ว่า เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายสำหรับรัฐบาลไทย ในการเตรียมการต่ออดีตนายกฯทักษิณ ซึ่งเป็นผู้หลบหนีจากกระบวนการยุติธรรมของไทย ให้ได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษเพื่อที่จะเยี่ยมเยียนประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 22 ถึง 28 สิงหาคม นี้
... นายอภิสิทธิ์ได้กล่าวว่า รัฐบาลของนายกฯยิ่งลักษณ์ มีข้อผูกมัดที่จะต้องปฎิบัติตามคำพิพากษาและการบังคับใช้กฎหมายโดยการนำตัว อดีตนายกฯทักษิณ กลับมาสู่กระบวนการยุติธรรม
นายอภิสิทธิ์ได้กล่าว ว่า พนักงานของรัฐบาลที่ถูกตรวจสอบได้ว่า กระทำการช่วยเหลือผู้หลบหนีนั้น สามารถถูกดำเนินคดีได้ด้วย เขายังได้กล่าวต่อไปว่า ทางทนายความของพรรคประชาธิปัตย์กำลังพิจารณาถึงขั้นตอนทางกฎหมาย ที่จะเอาผิดกับนายสุรพงษ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลคนอื่นๆ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
นายอภิสิทธิ์ยังได้เปิดเผยต่อไปว่า เขาเห็นโอกาสที่ดีเป็นอย่างยิ่งต่อการตอกย้ำรัฐบาลใหม่ในประเด็นนี้ และสามารถผลักดันเรื่องนี้เข้าไปยังศาลยุติธรรมและในรัฐสภาได้ด้วย แต่เขาคงจะลืมประเด็นการฟ้องร้องในคดีต่างๆกับบุคคลซึ่งเป็น ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, ผู้พูดและผู้ปลุกระดม นาย กษิตย์ ภิรมย์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งวาระ เมื่อครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำพรรคร่วมรัฐบาล แล้วหรือ? พรรคประชาธิปัตย์ไม่ต้องการค้นหาอะไรไปมากกว่า การกล่าวโทษเพื่อการขับไล่ตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และตามที่หนังสือพิมพ์ เนชั่นได้กล่าวว่า มันจะ “นำกรณีนี้ไปสู่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อการสอบสวนว่ามีบุคคลใดที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศท่านนี้ และจะตรวจสอบต่อไปว่า นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเป็นน้องสาวของอดีตนายกฯทักษิณนั้น ได้มีส่วนร่วมรู้เห็นในเรื่องนี้หรือไม่”
นายอภิสิทธิ์ได้ยืนกรานถึง “ความเดือดดาล” ของเขาใน หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ซึ่งได้กล่าวว่า:
นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวเตือนรัฐบาลนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า ไม่ควรที่จะกระทำการใดๆ ที่ส่อความหมายให้เห็นถึงสองมาตรฐาน ดูเหมือนว่าเขาได้อ้างถึง ตัวพี่ชายของนายกฯยิ่งลักษณ์ นั่นก็คือ อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของชัยชนะที่พรรคเพื่อไทยได้รับจากการเลือกตั้ง เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และได้แต่งตั้งให้ตัวนายกฯยิ่งลักษณ์นั้น ได้อยู่ในตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร
เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเป็น อย่างยิ่งที่ “เจ้าพ่อของระบบสองมาตรฐาน” ได้กล่าวออกมาเช่นนั้น เราจินตนาการว่า นายอภิสิทธิ์นั้น เป็นเพียงแต่ “ไอ้ตัวแสบ” แน่นอนที่สุดที่ กลุ่มสื่อมวลชนซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านอดีตนายกฯ ทักษิณนั้น จะตอบสนองในส่วนนี้ ด้วยการพาดหัวข่าวหน้าแรกที่เต็มไปด้วยคำว่า “นักโทษหนีคดี” อยู่วันแล้ววันเล่า ทำให้ดูเหมือนกับว่า นำภาพยนต์เก่า ออกมาฉายให้ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้น (เป็นรูปแบบเดียวกันกับ สิ่งที่สื่อเหล่านี้ ร่วมกันกระทำเมื่อปี พ.ศ. 2548-2549) นายสุรพงษ์ ได้ตอบโต้กลับไป ด้วยการ “ยื่นฟ้องร้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเขตพญาไท กับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ บุคคลอื่นๆ อีกสามคนของพรรคประชาธิปัตย์ ในข้อหาหมิ่นประมาททำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง และยื่นคำร้องในเรื่องการกล่าวหาเท็จกับตัวเขาด้วย”
วิธีการที่ สัมพันธ์กันของพรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินอยู่คือ การตั้งเป้าไปที่นายกฯยิ่งลักษณ์ว่า เป็นเพียงนักการเมืองมือใหม่ เพื่อ “แสดง” ให้เห็นถึงสถานะของเธอว่าเป็นเพียงหุ่นเชิด เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับอดีตฯนายกทักษิณนั่นเอง:
อดีตรัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ได้ท้าทาย นายกฯยิ่งลักษณ์ ให้แสดงอย่างชัดเจน ถึงสถานะในพรรคของเธอ ด้วยการตอบคำถามในเรื่องนโยบายของรัฐบาลด้วยตัวเธอเอง เพื่อพิสูจน์ว่า เธอมีสามารถเป็นผู้นำได้
นายองอาจยังได้เสริมต่อไปว่า ได้กล่าวว่า ถ้าพรรคการเมืองของเธอนั้น มีคณะทำงานในการสร้างนโยบายและตัวเธอก็ได้เป็นผู้เลือกตัวบุคคลในคณะ รัฐมนตรีด้วยตัวของเธอเอง ดังนั้น เธอก็ควรที่จะตอบคำถามด้วยตัวของเธอเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่า เธอเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการร่างนโยบายอย่างแท้จริง
การ เคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งของกลุ่มเสื้อเหลือง ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านอดีตนายกฯทักษิณ กำลังเริ่มขึ้นแล้วอีกครั้งหนึ่ง โดยการนำของนายแพทย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือนายตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ซึ่งได้ “ยื่นหนังสือให้กับสถานเอกอัครราชฑูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในกรุงเทพ มหานครเมื่อตอนเช้าวันนี้ เพื่อเป็นการประท้วงการอนุมัติอย่างพิเศษที่ให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เดินทางเข้าประเทศได้” เขายังได้เป็นผู้นำการประท้วงของ ฝ่ายเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี ที่สถานเอกอัครราชฑูตประเทศญี่ปุ่นประจำประเทศไทยอีกด้วย
เพื่อเป็นการสรุปประเด็น ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์กับทางฝ่ายทหาร ซึ่ง บางท่านอาจคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงลับๆ ระหว่างฝ่ายผู้มีอำนาจแท้จริงกับฝ่ายนายกทักษิณ ได้มีข้อสังเกตว่า ความตึงเครียดกำลังเริ่มผุดขึ้นมา ในลักษณะที่ จะเห็นทางฝ่ายผู้มีอำนาจแท้จริงและฝ่ายทหารได้ทำการวางแผนและสมคบคิดกันอยู่
PPT ขอสันนิษฐานว่า มันกำลังเริ่มก่อตัวผุดขึ้นมาแล้ว......
ความคิดเห็นของผู้แปล:
จากการอ่านบทความฉบับนี้ เราจะเห็นได้ว่า การร่วมมือระหว่างฝ่ายชั่วๆ กำลังเกิดขึ้นเหมือนกับปี พ.ศ. 2548-2549 อีกครั้งหนึ่ง
สิ่ง ที่แตกต่างจากเมื่อ 5 ปี ก่อนคือ การรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนของพี่น้องเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน เราจะเห็นได้จากการร่วมมือทางฝ่ายสื่อชั่วๆ ที่ออกมาโจมตีก่อนเพื่อน เพื่อแยกมวลชนออกไป ฝ่ายนักวิชาการก็กระทำการ ฟอร์เวิร์ด เมล์เป็นล่ำสัน ซึ่งเกี่ยวกับ การสร้างความซาบซึ้งกับตัวบุคคลในพระราชสำนัก และ การทำลายฝ่ายตรงข้ามในการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร
อย่างที่ดิฉันเคย กล่าวมาหลายครั้งแล้วว่า พรรคเพื่อไทยนั้น อ่อนเป็นอย่างมากในเรื่องแบบนี้ ไม่ยอมเป็นฝ่ายรุก หรือแม้แต่กระทำการตอบโต้อย่างฉับไว ทั้งๆ ที่ตนเองมีโอกาสอยู่ในมือแล้ว
สิ่งที่ดิฉันขอเสนอให้ทางรัฐบาลนำไปใช้ในการพิจารณา:
1. จัดตั้งองค์กรสื่อของรัฐบาล ในการโต้ตอบกับข่าวสารต่างๆ ที่พวกไม่หวังดี กระทำการอย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่ทุกขณะ ดิฉันเคยคิดถึงเรื่อง การตอบโต้ข่าวสารจากฝ่ายเสื้อแดงเอง ซึ่งเราควรจะช่วยกันระดมสมองว่า จะจัดตั้งเป็นรูปใดแบบไหนกัน การกระจายข่าวสารจะไปได้ทุกจังหวัดหรือไม่
ความ คิดของดิฉัน คือ จัดการเป็นองค์กรนิติบุคคล (มหาชน) ทางฝ่ายเสื้อแดงเลย เหมือนกับสำนักข่าวของ NBC ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประชาชนทั่วไปเป็นเจ้าของและควบคุมสื่อเหล่านั้นได้
2. ออกกฎหมายการฟ้องร้องในเรื่องการเสนอข่าวที่เป็นเท็จ เรื่องนี้ไม่ใช่การแทรกแทรงเสรีภาพต่อความคิดเห็น แต่เป็นเรื่องของการเสนอข่าวสารที่เป็นจริง รวมไปถึงการเสนอข่าวที่เป็นเท็จทางอินเตอร์เนท การแพร่หลายและฟอร์เวิร์ดข่าวที่เป็นเท็จ ควรมีการบังคับใช้แบบกฎหมาย 112 ตัวอย่างเช่นเรื่องการล่งข่าวใน เมนูอาหาร ซึ่งก็ทราบดีว่า เป็นเรื่องเท็จ แต่ไม่มีการใช้บังคับทางกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับตัวบุคคล ค่าเสียหายอย่างต่ำ ว่ากันไปเลยเป็น 10 ล้านบาทก็ได้ บทลงโทษจะต้องแรง เพื่อปกป้องการกระทำชั่วๆ ผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และจะไม่มีการรอลงอาญาโดยเด็ดขาด (ป้องกันในรูปแบบของ การตัดสินที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้รับการช่วยเหลือกันอย่างเป็นพิเศษ)
3. ทางฝ่ายเสื้อแดง ควรที่จะเริ่มวิจารณ์ผู้แทนราษฎรซึ่งไม่กระทำหน้าที่อันทรงเกียรติที่ตนได้ รับมอบหมายเข้าไป อย่าลืมว่า ผู้แทนราษฎรไม่ใช่เทวดา คุณเพิกเฉยต่อการปฎิบัติหน้าที่ ก็สมควรที่จะถูกวิจารณ์ได้ ฝ่ายเสื้อแดง เป็นเกราะแก้วเป็นกำแพงให้กับท่าน สามารถฝ่าฟันเข้ามาสู่รัฐสภาได้ แต่เมื่อท่านเพิกเฉย ต่อความทุกข์ร้อนของประชาชน เราให้อภัยท่านไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะเป็นบุคคลในพรรครัฐบาล หรือ พรรคร่วมก็ตาม คุณสามารถใช้ตำแหน่งในทางการเมือง ต่อการช่วยเหลือ ผู้ที่บริสุทธิ์และถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมใช่ไหมคะ กลุ่มเสื้อแดง น่าจะไปเยี่ยม สส ที่เงียบกริบเหล่านี้กันเสียหน่อยจะดีไหมคะ?
4. กระทำการสอบสวน เรื่องบุคคลที่เสียชีวิตที่ราชประสงค์ โดยเร็วที่สุด ดิฉันไม่นึกเลยว่า ไม่มี สส หรือ ผู้แทนคนไหนเอ่ยปากถึงเรื่องนี้เลยหรือไงคะ? บุคคลที่ดิฉันหวังมากที่สุด ที่จะกระทำการรุกในเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก น้องเดียร์ ซึ่งคุณพ่อของเธอ (เสธ แดง) ได้สละชีวิตไป ไม่อย่างนั้น เธอก็คงจะไม่เข้ามาอยู่ในรัฐสภาหรอก จริงหรือไม่คะ น้องเดียร์? น้องควรจะเริ่มงานหรือยังคะ?
จากบทความที่แปลไว้ เราจะเริ่มเห็นได้ว่า ทางฝ่ายตรงข้าม (เสียงส่วนน้อยของประเทศ) กำลังใช้สื่อโจมตีความน่าเชื่อถือของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ในทุกรูปแบบ จุดหมายของพวกเขาก็คือ การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของ ประเทศ เรื่องนี้ เราเห็นได้ว่า มันเกิดขึ้นมาถึงสามหนแล้ว ที่ทราบมาก็คือว่า ครั้งที่สี่ กำลังจะเริ่มขึ้น ด้วยวิธีการแบบเก่า ขอให้ท่านพี่น้อง จงช่วยกันปกป้องรักษาให้ดีที่สุด
การต่อสู้รอบใหม่ มันเริ่มเห็นลางๆ แล้วจริงๆ เราเสื้อแดงต้องพร้อม ขนาดชาวต่างชาติเอง (ซึ่งเขียนบทความนี้) เขายังรู้สึกเลยว่า เหตุการณ์ มันกำลังเริ่มผุดกำเนิดขึ้นมา เพื่อกระทำการล้มล้างรัฐบาลชุดนี้อีก เราจะต้องไม่ประมาทนะคะ เชื่อความรู้สึกของตนเอง ที่แน่ๆ ก็คือว่า ไอ้พวกสางเขียวนั้น จะมายิงชาวบ้านฟรีๆ อีกคงยากแน่ค่ะ
ดวงจำปา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)