เผด็จการของเสรีนิยม
ใคร ในไทยที่ยังหลงเชื่อว่าลัทธิเสรีนิยมจะนำไปสู่ประชาธิปไตย ควรศึกษาสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป เพราะในรอบเดือนที่ผ่านมามีการทำ “รัฐประหารเงียบ” ในอิตาลี่และกรีส เพื่อให้มีการแต่งตั้งรัฐบาลเทคโนแครทที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลในสองประเทศนี้จะต้องทำตามคำสั่งนายธนาคารในการทำลายมาตรฐานชีวิต ประชาชน โดยการตัดสวัสดิการ ทำลายการจ้างงาน และตัดการบริการของภาครัฐ ทั้งหมดเพื่อปกป้องธนาคารต่างๆ ของยุโรป และองค์กรหลักที่ทำรัฐประหารคือ ไอเอ็มเอฟ ธนาคารกลางของอียู และองค์กรบริหารอียูซึ่งอยู่ภายใต้รัฐบาลฝ่ายขวาของเยอรมันและฝรั่งเศส
ล่าสุดนายกรัฐมนตรี แองกาลา เมอร์คัล ของเยอรมัน และประธานาธิบดี นิโคลัส ซาโคซี ก็เสนอว่าทุกประเทศในสหภาพยุโรป จะต้องตกลงกันอย่างเคร่งครัดที่จะ “รักษาวินัยทางการคลัง” ซึ่งเป็นคำสวยหรูที่มีความหมายสกปรกโหดร้าย เพราะไม่ว่าจะออกมาจากปากนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ในไทย หรือออกมาจากปากนักการเมืองฝ่ายขวาในยุโรป มันมีความหมายเดียวคือ ต้องตัดงบประมาณรัฐที่บริการประชาชนส่วนใหญ่ ต้องตัดสวัสดิการ และทำลายการจ้างงาน ในขณะที่เอาใจนายทุนใหญ่และคนรวย
ในกรณียุโรปมีการเสนอว่า “ศาลกลางยุโรป”จะต้องลงโทษรัฐบาลที่ไม่ทำตามข้อตกลงนี้ ซึ่งแปลว่าประชาชนในแต่ละประเทศจะไม่มีสิทธิเสรีภาพทางประชาธิปไตย ในการเลือกรัฐบาลที่มีนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และจะไม่สามารถใช้กลไกประชาธิปไตยในการปกป้องรัฐสวัสดิการหรือเสนอนโยบาย เศรษฐกิจที่ไม่ใช่แนวเสรีนิยม
นี่ละครับคือเผด็จการเสรีนิยมของนายธนาคารและนายทุน เผด็จการของตลาด
ไม่ว่าจะเป็นเสรีนิยมกลไกตลาดทางเศรษฐกิจ หรือ เสรีนิยมทางการเมือง เราแยกออกจากกันไม่ได้ เพราพรรคเสรีนิยมในยุโรปสนับสนุนเผด็จการเสรีนิยมทางเศรษฐกิจแบนี้ และในไทยนักวิชาการเสรีนิยมทั้งหลายล้วนแต่เคยสนับสนุนรัฐประหาร ๑๙ กันยา
บางคนที่ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์การเมืองเพียงพอ จะพูดว่าความขัดแย้งในสังคมไทยที่นำไปสู่วิกฤต คือความขัดแย้งระหว่างนโยบาย “โลกาภิวัตน์กลไกตลาดเสรี” ของทักษิณและไทยรักไทย ในฐานะที่เป็น “กลุ่มนายทุนสมัยใหม่” กับนโยบาย “ปิดประเทศต้านโลกาภิวัตน์ต้านเสรีนิยม” ของอำมาตย์หัวเก่า ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย
ในความเป็นจริง นโยบายของรัฐบาลทหารหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา และนโยบายของรัฐบาลพรรคทหารของอภิสิทธิ์ ล้วนแต่ใช้แนวเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว ที่คัดค้านการใช้รัฐและงบประมาณรัฐในการพัฒนาสภาพคนจน ส่วนนโยบายของไทยรักไทยเป็นนโยบาย “คู่ขนาน” ที่ใช้รัฐกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าตามแนวเคนส์ (Keynes)ในระดับหมู่บ้านและชุมชนภายในประเทศ ร่วมกับแนวกลไกตลาดเสรีในเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
แต่อย่าพึ่งหลงเชื่อว่าประชาชนยุโรปจะยอมรับเผด็จการเสรีนิยมง่ายๆ ตอนนี้คลื่นการนัดหยุดงานของสหภาพแรงงานและการประท้วงชุมนุมของคนหนุ่มสาว “ผู้โกรธแค้น” หรือขบวนการ “เราคือ 99%” กำลังมาแรงในทุกประเทศ
ประเด็นคือ... ทางออกในการแก้วิกฤตคืออะไร?
ถ้าเป็นฝ่ายทุน หรือฝ่ายเสรีนิยม เขาต้องการจะกดค่าแรงและสวัสดิการของ “ประชาชน99%” เพื่อปกป้องกำไรของกลุ่มทุนและธนาคาร และปกป้องผลประโยชน์ทางชนชั้นของเขา โดยไม่สนใจว่าคนหนุ่มสาวรุ่นหนึ่งจะหมดอนาคตไป ไม่สนใจความยากลำบากของคนจน และไม่สนใจว่าในระยะยาวสังคมจะเป็นอย่างไร จะถอยหลังลงคลองแค่ไหน เขาสนใจเรื่องเดียวคือการปกป้องผลประโยชน์ระยะสั้นของกลุ่มทุนเท่านั้น นี่คือตรรกะของทุนนิยม
ถ้าเป็นฝ่ายเรา แน่นอนเราต้องขัดขืนการตัดสวัสดิการ การกดค่าแรง และการทำลายชีวิตประชาชน เราต้องออกมานัดหยุดงานและประท้วง เพื่อล้มรัฐบาล และล้มเผด็จการเสรีนิยม แต่แค่นั้นไม่พอ เพราะต้องมีข้อเสนอว่าจะเอาอะไรมาแทนที่ ในระยะสั้นต้องยึดธนาคารเอกชนมาเป็นของส่วนรวมภายใต้การบริหารของสหภาพแรงงาน เพื่อที่จะนำเงินทองมหาศาลที่กองอยู่ มาใช้ในการสร้างงานและฟื้นฟูสังคม ไม่ใช่เพื่อให้ทรัพยากรของสังคมถูกใช้เพื่อจ่ายดอกเบี้ยให้นายธนาคาร ในขณะเดียวกันต้องรื้อถอนสกุลเงินยุโร และต้องให้ประชาชนตัดสินใจเองเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ แต่นั้นเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น
วิกฤตทุนนิยมครั้งนี้ และครั้งก่อนๆ ทุกครั้ง เกิดจากแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไร และการหันไปสร้างเศรษฐกิจฟองสบู่ อย่างที่คาร์ล มาร์คซ์ เคยอธิบายในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” วิธีแก้ปัญหาการลดลงของอัตรากำไรมีแค่สองวิธีเองคือ
วิธีของนายทุน ซึ่งหมายถึงการกดค่าแรงและสวัสดิการ และการทำลายบริษัทและโรงงานจำนวนหนึ่ง เพื่อลดพลังการผลิตล้นเกิน มันนำไปสู่นรกสำหรับประชาชน 99% และคราวที่แล้วที่มีวิกฤตโลกที่หนักแบบนี้ มันนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
วิธีของนักสังคมนิยม ซึ่งหมายถึงการยึดอำนาจการเมืองและเศรษฐกิจมาเป็นของกรรมาชีพ และการสร้างเศรษฐกิจใหม่ภายใต้การวางแผนด้วยกลไกประชาธิปไตยที่ไม่อาศัยกลไก ตลาด พูดง่ายๆ ต้องยกเลิกทุนนิยม เพราะแค่การเพิ่มงบประมาณรัฐและการสร้างงานในระบบทุนนิยมตามสูตรเคนส์ จะไม่นำไปสู่การฟื้นตัวของอัตรากำไรแต่อย่างใด จะเป็นเพียงการซื้อเวลาระยะสั้นเท่านั้น
ถ้าเราเข้าใจประเด็นเหล่านี้เราจะต้องปรับใช้กับสังคมไทยหลังน้ำลง เพราะเราต้องสร้างข้อถกเถียงว่าจะมีการฟื้นฟูชีวิตของประชาชนไทย 99% ด้วยนโยบายแบบไหน
(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-02-22-09-46-04/303-2011-12-06-13-23-22.html