หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

การประกันราคาข้าวเป็นเรื่องที่ดี
ใจ อึ๊งภากรณ์

บางคนที่ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์การเมืองเพียงพอ จะพูดง่ายๆ ว่าความขัดแย้งในสังคมไทยที่นำไปสู่วิกฤต คือความขัดแย้งระหว่างนโยบาย โลกาภิวัตน์กลไกตลาดเสรีของทักษิณและไทยรักไทย ในฐานะที่เป็น กลุ่มนายทุนสมัยใหม่กับนโยบาย ปิดประเทศต้านโลกาภิวัตน์ต้านเสรีนิยมของอำมาตย์หัวเก่า ทั้งหมดนี้ไม่เป็นความจริงเลย ในความเป็นจริง นโยบายของรัฐบาลทหารหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา และนโยบายของรัฐบาลทหารของอภิสิทธิ์ ล้วนแต่ใช้แนวเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว ที่คัดค้านการใช้รัฐและงบประมาณรัฐในการพัฒนาสภาพคนจน และนอกจากนี้มีการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ที่คัดค้านการกระจายรายได้ แช่แข็งความเหลื่อมล้ำ และเรียกร้องให้คนจนเจียมตัวปรับตัวกับความยากจน ซึ่งเป็นลัทธิที่เข้ากับเสรีนิยมกลไกตลาดได้ดี

     รัฐบาลไทยตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ใช้กลไกตลาดเสรี มือใครยาวสาวได้สาวเอา หันหลังให้กับประชาชนคนจน ใช้รัฐเพื่อประโยชน์อำมาตย์อย่างเดียว พอถึงรัฐบาลทหาร รสช. ที่มีนาย อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเปิดเสรีทางการเงินมากขึ้นซึ่งทำให้เกิดเศรษฐกิจฟองสบู่ในขณะที่อัตรากำไรกำลังลดลง และในที่สุดก็เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งตามมา ไทยรักไทยจึงนำนโยบายเศรษฐกิจคู่ขนานเข้ามา เพื่อใช้รัฐพัฒนาชีวิตคนจน

     วิโรจน์ ณ ระนอง และอัมมาร สยามวาลา จาก ทีดีอาร์ไอ เป็นพวกคลั่งกลไกตลาดเสรีตามสูตรอำมาตย์มานาน เขาคัดค้านการใช้รัฐเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ คัดค้านไม่ให้ไทยเป็นรัฐสวัสดิการด้วย แต่ไม่เคยคัดค้านการเพิ่มงบประมาณทหาร ไม่เคยวิจารณ์รัฐประหาร ดังนั้นเวลาเขาวิจารณ์นโยบายประกันราคาข้าวของรัฐบาลเพื่อไทยเราไม่ควรแปลกใจหรือตื่นเต้น เขาไม่ใช่ "ผู้รู้" เขาเป็นแค่นักวิชาการฝ่ายที่เข้าข้างคนรวย นายทุน และอำมาตย์เท่านั้นเอง

 ในสังคมไทย คือความขัดแย้งระหว่าง โลกาภิวัตน์กลไกตลาดเสรีของทักษิณที่เป็น กลุ่มนายทุนสมัยใหม่กับนโยบาย ปิดประเทศต้านโลกาภิวัตน์ต้านเสรีนิยมของอำมาตย์หัวเก่า แต่ในความเป็นจริง รัฐบาลทหารหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา รัฐบาลทหารของอภิสิทธิ์ ใช้แนวเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว ที่คัดค้านการใช้รัฐในการพัฒนาสภาพคนจน และมีการส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ที่แช่แข็งความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นลัทธิที่เข้ากับเสรีนิยมกลไกตลาดได้ดี

     นี่คือสาเหตุที่คนเสื้อแดงควรคัดค้านเสรีนิยมกลไกตลาด และควรสนับสนุนการใช้รัฐและเก็บภาษีเพื่อประโยชน์คนจน

     การใช้รัฐฝืนตลาดเพื่อประกันราคาข้าวให้กับเกษตรกรเป็นเรื่องดี ควรจะนำข้าวนั้นมาขายให้ประชาชนในราคาถูก ส่งออกในราคาถูก และรัฐควรใช้เงินที่มาจากการเก็บภาษีจากคนรวย และการตัดงบประมาณทหาร เพื่อทำโครงการนี้ นอกจากนี้ถ้าโอนสื่อทหารให้รัฐบาล ก็จะได้รายได้เข้าคลังเพิ่มขึ้น แทนที่จะตกอยู่ในมือนายพลมือเปื้อนเลือด

     นอกจากการประกันราคาข้าวแล้ว รัฐบาลควรมีนโยบายเพิ่มค่าจ้างให้เกิน 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ และนโยบายเพื่อเริ่มสร้างรัฐสวัสดิการแบบ “ถ้วนหน้า-ครบวงจร-จากภาษีก้าวหน้าที่เก็บจากคนรวย” อีกด้วย

คดี ผ.อ.ประชาไท ศาลนัดสืบเจ้าของสำนวน พยานโจทก์ปากสุดท้าย

วันนี้ (6 กันยายน) ศาลอาญาได้ทำการสืบพยานฝ่ายโจทก์เป็นวันที่แปด ในคดีที่จีรนุช เปรมชัยพร ผู้อำนวยการเว็บไซต์ประชาไท ตกเป็นจำเลยตามความผิดอาญามาตราที่ 14 และ 15 พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 โดยในระหว่างวันที่ 1, 2 และ 6 กันยายนที่ผ่านมา มีผู้แทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะทูต คณะผู้แทนสหภาพยุโรป องค์การระหว่างประเทศ สื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมสังเกตการณ์การสืบพยานกว่า 50 ท่าน

หลังจากการสืบพยานเสร็จสิ้นในช่วงเช้า ศาลมีความเห็นให้เลื่อนการสืบพยานฝ่ายโจทก์ปากสุดท้ายออกไปเป็นวันที่ 9 กันยายน 2554 เวลา 9.30 น.เป็นต้นไป ณ ห้อง 910 ศาลอาญากรุงเทพ และได้ยกเลิกการสืบพยานในวันที่ 7 และ 8 กันยายน ซึ่งเป็นกำหนดเดิม ทั้งนี้ พยานฝ่ายโจทก์ที่จะแสดงตนต่อศาลในวันดังกล่าว คือ พ.ต.ท.บุญเลิศ กัลยาณมิตร ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวน

สำหรับการสืบพยานฝ่ายจำเลย ศาลได้กำหนดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 21 กันยายน และวันที่ 11 - 14 ตุลาคม 2554 เวลา 09.30-16.00 น. ในเบื้องต้นนายจอน อึ๊งภากรณ์ ผู้ก่อตั้งเวบไซต์ประชาไท และนายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ จะเข้าให้การต่อศาลในช่วงเช้าและบ่ายของวันที่ 20 กันยายนตามลำดับ ส่วนนางสาวจีรนุช เปรมชัยพร จะให้การต่อศาลในวันที่ 21 กันยายน
 
 
ปชป. คลอด“ครม.เงา ”อภิสิทธิ์”ควบ“กลาโหม”ส่วน“สุเทพ”นั่ง “มหาดไทย”จุติ รั้งรมว.คลัง
http://bit.ly/pu3d2e

....อย่าลืมไปถวายสัตย์ปฏิญาณต่อxxxxเงาก่อนทำหน้าที่ด้วยนะ...แล้วต้องแถลงนโยบายต่อเงารัฐสภาด้วย... 
  
ถึงม๊ากจะสถาปนาตัวเองเป็นนายกเงา แต่ตำแหน่งฆาตรกรนี่ของจริง!!!   

รูปภาพ


ประกาศลวงโลก จาก บันทึกเอ็มโอยู 2544 ถึง "มรดกโลก"


เรื่อง ของบันทึกความตกลงร่วมกันไทย-กัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล หรือเอ็มโอยู 2544 ก็อีหรอบเดียวกันกับคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกนั่นแหละ
คือ เสมอเป็นเพียงการประกาศ

เอ็มโอยู 2544 เป็นการประกาศเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2552
เรื่องภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก เป็นการประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2554

แต่แล้วก็เสมือนกับเป็นเรื่องลวงโลก ลวงประชาชน

คำประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
อัน มาจาก นายสุวิทย์ คุณกิตติ และได้รับความเห็นชอบโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ได้รับการพิพากษาไปแล้วโดยประชาชน

นั่นก็คือ พรรคกิจสังคมไม่ได้รับเลือกแม้แต่คนเดียว
กระทั่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ ต้องสอบตก
นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พรรคเพื่อไทยอย่างยับเยิน

ความว่าด้วยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลกยังไม่จบ
กรณีของเอ็มโอยู 2544 ก็ปรากฏขึ้นว่า กำลังกลายเป็นคำประกาศในลักษณะลวงโลกอีกเรื่องหนึ่ง

เป็นการลวงโลกจากรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ถามว่ารายละเอียดอย่างไรหรือ อันถือได้ว่า
การประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 การประกาศถอนตัวจากภาคีมรดกโลก
เป็นเรื่องลวงโลก

คำตอบ 1 ก็คือ เสมือนเป็นเพียงการประกาศ
แต่มิได้มีการปฏิบัติอย่างเป็นจริง

คำประกาศยกเลิกเอ็มโอยู 2544 เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2552
แต่ ต่อมากลับปรากฏว่า ได้มีการเจรจาระหว่าง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับ นายซก อาน ในเรื่องอันเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2553
แสดงว่า บทบาทและความหมายของเอ็มโอยู 2544 ยังดำรงอยู่

ที่ยังดำรงอยู่เพราะว่า บันทึกความเข้าใจร่วมกัน หรือเอ็มโอยูนั้น
ในทางกฎหมาย เมื่อมีมติออกมาแล้ว ต้องเสนอผ่านความเห็นชอบผ่านรัฐสภา จึงจะครบถ้วนสมบูรณ์

เช่นเดียวกับการเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก
เมื่อ แสดงท่าทีในที่ประชุมอย่างเป็นที่แจ้งชัดแล้ว ภาคีสมาชิกจักต้องทำหนังสือยืนยันไปทางองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติอย่างเป็นทางการ
คำประกาศลาออกนั้นจึงจะมีผลอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์

จากเดือนพฤศจิกายน 2552 หลังการประกาศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่เคยมีปฏิบัติการอะไรเลยต่อเอ็มโอยู 2544

นี่ก็เช่นเดียวกับการทำหนังสือแจ้งต่อภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก

เมื่อทั้งเรื่องเอ็มโอยู 2544 และทั้งเรื่องภาคีอนุสัญญามรดกโลก
มิได้มีผลเหมือนเช่นกับคำประกาศแล้ว
รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำไปทำไม

คำตอบที่เด่นชัดยิ่ง ก็คือ ต้องการผลทางการเมือง

นั่นก็คือ อาศัยเอ็มโอยู 2544 เป็นเครื่องมือในการโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ให้เสียหายในทางสังคม ในทางการเมือง
เลเพ-ลาดพาด-จากเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แล้วเลอะเทอะไปจนถึงทำให้เสียดินแดน

นี่ ก็ทำนองเดียวกับการออกข่าวว่าด้วยหมายจับแดง เรด-โนติซ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในองค์การตำรวจสากล อินเตอร์โพล ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในทางเป็นจริง

นั่นก็คือ อาศัยคำประกาศถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก เพื่อประท้วงต่อคณะกรรมการมรดกโลก ต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชน
เพื่อหวังจะได้คะแนนจากพวกหลงชาติจำนวนหนึ่


เป็นการเล่นเกมทางการเมือง
เป็นการหลอกลวงทางการเมืองเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้า
เป็นการอาศัยเกมทางการเมืองจากความขัดแย้งภายในประเทศ ขยายไปสู่การเมืองระหว่างประเทศ

คิดแต่เพียงประโยชน์เฉพาะหน้า โดยไม่คำนึงถึงผลสะเทือนที่จะติดตามมา

เป็นการเล่นเกมสไตล์พรรคประชาธิปัตย์

ท่านอาจโกหกประชาชนได้ครั้งหนึ่ง แต่มิอาจโกหกได้ตลอด
อับราฮัม ลินคอล์น สรุปได้ถูกต้อง

กระนั้น นักการเมืองบางคน ก็โกหกซ้ำซาก
จากหมายจับแดง ไปยังเอ็มโอยู 2544 ไปยังการถอนตัวจากภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกโลก

น่าสงสัยว่า ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?
ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โกหกประชาชน



http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... d&subcatid