กำเนิดครอบครัวและระบบกรรมสิทธิ์
การเปลี่ยนมาเป็นระบบผัวเดียวเมียเดียวนี่เอง จึงเป็นการเอื้ออำนวยให้เกินเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลขึ้น จากที่แต่ก่อนทรัพย์สมบัติต้องเป็นของโคตรตระกูล ก็มาเปลี่ยนเป็นของลูกที่สืบเชื้อสายทางบิดา และนี่คือจุดเริ่มต้นแรกของการมีระบบกรรมสิทธิ์
โดย ฮิปโปน้อย บรมสุขเกษม
หนังสือเรื่อง "กำเนิดครอบครัวของมนุษยชาติ ระบอบกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลและรัฐ” ที่เขียนไว้โดยเองเกลส์นั้น เป็นการสานต่องานเขียนที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ก่อนหน้าที่มาร์กซ์จะเสียชีวิตลง เนื่องจากมาร์กซ์เคยได้เขียนเรื่องโครงหลวมๆ เกี่ยวกับงานชิ้นนี้ไว้ก่อนแล้ว เพราะมาร์กซ์ได้เคยศึกษางานของ ลูอิส มอร์แกน ที่ได้เล่าถึงความเป็นไปในการพัฒนาครอบครัวของมนุษย์ในแต่ละยุคของสังคม ตั้งแต่ยุคคนป่าจนถึงยุคอารยธรรม
ซึ่งจากงานศึกษาของมอร์แกนนี้มาร์กซ์ได้เล็งเห็นว่า มีความเกี่ยวข้องกันบนพื้นฐานของทฤษฎีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ และก่อนที่เราจะทำความเข้าใจ ว่ารัฐนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น เราต้องศึกษาต้นกำเนิดของการเกิดครอบครัวให้ได้ก่อน เพราะวิวัฒนาการของครอบครัว เป็นพื้นฐานในการเกิดรัฐ
แรกเริ่มเดิมทีในสังคมยุคบุพกาล รูปแบบของครอบครัวมนุษย์นั้น ไม่ได้อยู่กันเป็นหน่วยเล็กๆ หรือครอบครัวเดี่ยวอย่างที่เราคุ้นเคยกัน แต่เป็นการอยู่ร่วมกันเป็นหน่วยใหญ่แบบอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือที่เรียกว่า “สังคญาติ” โดยมอร์แกน(นักมนุษยวิทยา) ได้ศึกษาจนค้นพบถึงรูปแบบการแต่งงาน และรูปแบบของการดำรงรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ในยุคบุพกาล ว่ามีลักษณะเป็นการสมสู่แบบส่ำส่อน หรือที่เรียกว่าการสมรสหมู่ โดยทั้งชายและหญิงที่อยู่ด้วยกัน ต่างก็เป็นผัวเป็นเมียเป็นของกันและกันอย่างเท่าๆ กัน โดยมีกฎเกณฑ์ไว้ว่า ชายหญิงที่ต่างรุ่นกันไม่สามารถแต่งงานกันได้ ซึ่งสามารถแบ่งการสมรสได้เป็น 4 รุ่นด้วยกันดังนี้
รุ่นแรกคือ ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นผัวเมียกัน แล้วรุ่นที่สองคือ ลูกๆ ที่เกิดจากรุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย ก็จะแต่งงานกันมีลูกกัน จึงเกิดเป็นรุ่นที่สามคือ ลูกของ พ่อ แม่ ในรุ่นสอง ก็จะแต่งงานกันจนเกิดเป็นรุ่นที่สาม ตามลำดับ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน รวมกันทั้งหมดเท่ากับว่ามี การแต่งงานเป็นสี่รุ่น ลูกๆ ที่เกิดมานั้นจะนับว่าเป็นลูกเป็นหลานของคนทุกคน
ดังนั้นจึงมีการตั้งข้อสังเกตจากลักษณะครอบครัวสมรสหมู่ว่า ใครเป็นพ่อของเด็กนั้นไม่อาจรู้ได้ แต่ในส่วนของการหาว่าใครเป็นแม่ของเด็กนั้น เป็นเรื่องที่รู้กันได้ ถึงแม้ผู้หญิงจะเรียกเด็กทุกคนว่าเป็นลูกๆ ก็ตาม แต่ก็สามารถรู้ได้ว่าเด็กคนไหนเป็นลูกที่เกิดจากตนเอง ดังนั้นจึงได้เกิดเป็นสิทธิทางมารดาขึ้น
การดำรงอยู่ของมนุษย์ในยุคบุพกาล ที่ยังไม่รู้จักการสะสมทรัพย์นั้น จะมีความเป็นอยู่แบบหาอาหารกินไปวันต่อวัน มนุษย์ยังไม่รู้จักการสะสมอาหารและเพาะปลูก จนกระทั่งมนุษย์สามารถพัฒนาความเป็นอยู่ได้ ก็เริ่มมีการสะสมอาหาร การเลี้ยงสัตว์ การเพาะปลูกเป็นฤดูกาล และมีเครื่องมือทำมาหากินมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้มีการสะสมทรัพย์สมบัติของมนุษย์
และด้วยรูปแบบการดำรงชีพที่เป็นเพียงการหาอาหาร แบบวันต่อวัน ยังไม่รู้จักการสะสมอาหารและเลี้ยงสัตว์ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มีส่วนช่วยในการผลิตที่เท่าๆ กันตามหน้าที่ ผู้ชายเป็นฝ่ายล่าสัตว์ส่วนผู้หญิงดูแลเรื่องในครัวเรือน ผลผลิตที่ได้ก็จะเป็นของกลาง แม้ว่าเครื่องมือจะเป็นของส่วนตัว