หน่ออ่อนของนายทุนในอาณาจักรจีนโบราณ
ในยุคนี้จีนนำหน้าโลก มีการสร้างเมืองยักษ์ใหญ่ที่มีประชากรเป็นล้าน
มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กที่จ้างแรงงานจำนวนมาก
เพื่อสร้างอาวุธและเครื่องมือ มีการผลิตดินปืน และสารเคมี
โดยใช้ถ่านหินจากเหมืองเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านจากการเผาไม้
โดย C. H.
อาณาจักร
ใหม่ของจีนหลังการล่มสลายของอารยะธรรมเก่า เริ่มเจริญภายใต้ราชวงศ์สุย
และเจริญต่อไปภายใต้ราชวงศ์ถังเมื่อประมาณ ค.ศ. 600 มีการพัฒนาระบบชลประทาน
และการปลูกข้าว การใช้สงครามเพื่อขยายอาณาจักร
และมีการสร้างระบบการค้าขายไปในทุกทิศ ในเมืองกวางตุ้งมีพ่อค้าอิหร่าน
มาเลย์ อินเดีย เวียดนาม และเขมร มีการเผยแพร่ภาษาจีนไปสู่เกาหลีและญี่ปุ่น
และเทคนิคการทำกระดาษที่ริเริ่มในจีน ค่อยๆ
เผยแพร่ตามเส้นทางการค้าขายไปสู่ตะวันตก
ยิ่งกว่านั้นมีการนำ ระบบข้าราชการมาใช้เพื่อบริหารอาณาจักร โดยที่ผู้ชายที่อยากเป็นข้าราชการจะต้องใช้เวลาเป็นนักศึกษาและสอบผ่านข้อ สอบราชการ ระบบข้าราชการของรัฐแบบนี้พยายามผูกขาดการค้าในเกลือ สุรา และชา และพยายามปฏิรูปที่ดินเพื่อให้มีเกษตรกรรายย่อยมากขึ้น เกษตรกรเหล่านี้จะได้จ่ายภาษีให้รัฐ แทนที่ความร่ำรวยจะกระจุกในมือของพวกขุนนางเจ้าของที่ดินเก่า
ใน ยุคนี้จีนนำหน้าโลก มีการสร้างเมืองยักษ์ใหญ่ที่มีประชากรเป็นล้าน มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กที่จ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อสร้างอาวุธและเครื่องมือ มีการผลิตดินปืน และสารเคมี โดยใช้ถ่านหินจากเหมืองเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านจากการเผาไม้ ใน ค.ศ. 1078 จีนผลิตเหล็กมากกว่า 114,000 ตันในขณะที่อังกฤษในปี ค.ศ. 1788 สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมผลิตแค่ 68,000 ตัน ท่ามกลางการพัฒนาดังกล่าว พ่อค้ารายใหญ่ขึ้นมาเป็นหน่ออ่อนของนายทุน และมีบทบาททางสังคมมากขึ้น คนเหล่านี้มักจะสนใจศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆ
แต่ความคิดความเชื่อ หลักในหมู่ข้าราชการจะเป็นลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นระเบียบวินัยและความอนุรักษ์นิยม และดูถูกการค้าขายและชนชั้นล่างทั้งหมด ที่สำคัญคือระบบชลประทาน และการผลิตแบบอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ที่เป็นพื้นฐานการผลิต ยังอยู่ในมือของรัฐข้าราชการ พ่อค้าจึงจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของรัฐข้าราชการนี้และไม่สามารถยึดอำนาจรัฐ ได้
พ่อค้าหรือหน่ออ่อนนายทุนจีนไม่มีโอกาสที่จะฉวยโอกาสล้ม ระบบเก่าได้ในยุคท้ายของราชวงศ์ถัง ทั้งๆ ที่รัฐอ่อนแอลง เพราะกองทัพมองโกลบุกเข้ามายึดครองจีนและผู้นำใหม่ตั้งตัวเป็นราชวงศ์หยวน หลังจากนี้ไม่มีการพัฒนาเทคโนโลจีเหมือนเมื่อก่อน และหน่ออ่อนของนายทุนจีนก็พลาดโอกาสที่จะสร้างระบบทุนนิยมในยุคนั้น
ยิ่งกว่านั้นมีการนำ ระบบข้าราชการมาใช้เพื่อบริหารอาณาจักร โดยที่ผู้ชายที่อยากเป็นข้าราชการจะต้องใช้เวลาเป็นนักศึกษาและสอบผ่านข้อ สอบราชการ ระบบข้าราชการของรัฐแบบนี้พยายามผูกขาดการค้าในเกลือ สุรา และชา และพยายามปฏิรูปที่ดินเพื่อให้มีเกษตรกรรายย่อยมากขึ้น เกษตรกรเหล่านี้จะได้จ่ายภาษีให้รัฐ แทนที่ความร่ำรวยจะกระจุกในมือของพวกขุนนางเจ้าของที่ดินเก่า
ใน ยุคนี้จีนนำหน้าโลก มีการสร้างเมืองยักษ์ใหญ่ที่มีประชากรเป็นล้าน มีการสร้างโรงงานอุตสาหกรรมเหล็กที่จ้างแรงงานจำนวนมาก เพื่อสร้างอาวุธและเครื่องมือ มีการผลิตดินปืน และสารเคมี โดยใช้ถ่านหินจากเหมืองเป็นเชื้อเพลิงแทนถ่านจากการเผาไม้ ใน ค.ศ. 1078 จีนผลิตเหล็กมากกว่า 114,000 ตันในขณะที่อังกฤษในปี ค.ศ. 1788 สมัยปฏิวัติอุตสาหกรรมผลิตแค่ 68,000 ตัน ท่ามกลางการพัฒนาดังกล่าว พ่อค้ารายใหญ่ขึ้นมาเป็นหน่ออ่อนของนายทุน และมีบทบาททางสังคมมากขึ้น คนเหล่านี้มักจะสนใจศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆ
แต่ความคิดความเชื่อ หลักในหมู่ข้าราชการจะเป็นลัทธิขงจื๊อ ที่เน้นระเบียบวินัยและความอนุรักษ์นิยม และดูถูกการค้าขายและชนชั้นล่างทั้งหมด ที่สำคัญคือระบบชลประทาน และการผลิตแบบอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ที่เป็นพื้นฐานการผลิต ยังอยู่ในมือของรัฐข้าราชการ พ่อค้าจึงจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของรัฐข้าราชการนี้และไม่สามารถยึดอำนาจรัฐ ได้
พ่อค้าหรือหน่ออ่อนนายทุนจีนไม่มีโอกาสที่จะฉวยโอกาสล้ม ระบบเก่าได้ในยุคท้ายของราชวงศ์ถัง ทั้งๆ ที่รัฐอ่อนแอลง เพราะกองทัพมองโกลบุกเข้ามายึดครองจีนและผู้นำใหม่ตั้งตัวเป็นราชวงศ์หยวน หลังจากนี้ไม่มีการพัฒนาเทคโนโลจีเหมือนเมื่อก่อน และหน่ออ่อนของนายทุนจีนก็พลาดโอกาสที่จะสร้างระบบทุนนิยมในยุคนั้น
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/06/blog-post_07.html


![" ใครก็ทำแทนพวกท่านไม่ได้ครับ!"
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหน้าที่และความรับผิดชอบของ สส. และ รัฐบาล เพื่อไทย ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สภาชะลอการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในวาระที่ 3 ว่า:
"...ผมเห็นว่า ความรับผิดชอบหลัก ในเรื่อง ศาล รธน. - แก้ รธน.วาระ 3อยู่ที่บนบ่าของ สส.(และรัฐบาล) เพือไทย ในสภาพวกท่าน จะต้อง "ยืนตรง" นำหน้า ยืนหยัดในหลักการ ทำในสิ่งที่ถูกต้องและไม่ทำให้มวลชนผิดหวัง และไมใช่จะคอยอาศัยแต่มวลชนมาทำแทนซึง "ทำแทน" กันไม่ได้ด้วยงานนี้ การล่ารายชื่อ หรือการชุมนุมอะไรต่างๆ เป็นต้น ในทีสุดแล้ว ไมสามารถ "แทน" มติผ่าน วาระ 3 แก้ รธน. ของสภา ได้" [1]
"จากอะไรหลายๆอย่างที่ผ่านมานะผมว่า มันมีเหตุผลที่ผม หรือหลายๆคน ควรจะห่วง เรื่อง สส.(และรัฐบาล) เพื่อไทย ในสภาคือ ระดมมวลชนนี่ไม่เคยมีปัญหาเลย เรียกร้องให้มาทีไร ก็มากันพรึบพรั่บ มืดฟ้ามัวดินได้แต่ปัญหามักจะอยู่ที่ พวกทีอยู่ในสภา (และทำเนียบ) นี่แหละและครั้งนี้ ภาระและความรับผิดชอบ อยู่ที่พวกท่านทั้งหลายจริงๆ มวลชนชุมนุมกันมากมายอย่างไร ล่ารายชื่อกันอย่างไร ถ้าพวกท่านไม่ทำหน้าที่ของท่านในสภา อย่างเด็ดขาด งานนี้ ใครก็ทำแทนพวกท่านไม่ได้ครับ" [2]
------------------------------------------
ที่มาจาก:
สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
facebook ส่วนตัว, 6 มิถุนายน 2555
[1]https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/364850200234932
[2]https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/364854406901178
- Admin Ao & AC](http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash3/s480x480/564960_451951608157520_892152161_n.jpg)





