หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หนังสือ 1984 ของ จอร์ช ออร์เวล กับสังคมไทย

หนังสือ 1984 ของ จอร์ช ออร์เวล กับสังคมไทย 



 
ในเผด็จการ Ingsoc ท่านผู้นำหรือ “พี่ใหญ่” เป็นผู้ที่คิดค้นทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง จะมีอายุยืนตลอดกาล เขารักและดูแลประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็คอยจ้องมองทุกคนเพื่อไม่ให้ก่อ “อาชญากรรมทางความคิด” ประชาชนต้องทั้งรักและกลัวเขา

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์


จอร์ช ออร์เวล เป็นนักเขียนสังคมนิยมอังกฤษ ในปี 1937 เขาอาสาไปรบในประเทศสเปน เพื่อยับยั้งการยึดอำนาจของทหารฟาสซิสต์ภายใต้นายพลฟรังโก ออร์เวลเข้าร่วมในกองทัพอาสาสมัครของพรรค POUM (พรรคแนวร่วมกรรมาชีพมาร์คซิสต์) พรรคนี้ร่วมกับองค์กรอนาธิปไตย CNT และ FAI ในการปฏิวัติลุกฮือของกรรมาชีพและเกษตรกรสเปน

แต่ปรากฏว่าพรรค คอมมิวนิสต์สเปน ภายใต้อิทธิพลของ สตาลิน ในรัสเซีย พยายามสลายกระแสปฏิวัติเพื่อเอาใจอังกฤษกับฝรั่งเศส เพราะตะวันตกไม่ต้องการเห็นการปฏิวัติสังคมนิยมเกิดขึ้นในสเปน สตาลินมองว่าถ้าสามารถเอาใจมหาอำนาจตะวันตกได้ รัสเซียจะไม่ถูกโจมตี อย่างไรก็ตามการเอาใจตะวันตกแบบนี้นำไปสู่การเปลี่ยนสงครามปฏิวัติในสเปนไป สู่สงครามกระแสหลัก และนำไปสู่การทำลายความหวังของกรรมาชีพและเกษตรกรในการปลดแอกตนเอง ผลในที่สุดคือความพ่ายแพ้ของฝ่ายซ้ายและฝ่ายประชาธิปไตยสเปน

ประสบการณ์ของออร์เวลในสเปนถูกเขียนขึ้นหลังจากที่เขาหนีออกมาจากประเทศนั้นได้ ในหนังสือสำคัญของเขาชื่อ Homage To Catalonia (แด่คาทาโลเนีย) และเมื่อไม่นานมานี้ Ken Loach อาศัยหนังสือเล่มนี้ในการสร้างหนังชื่อ Land and Freedom

ออร์เวล เข้าใจดีเรื่องการหักหลังขบวนการปฏิวัติสากลโดยสตาลินและพรรคคอมมิวนิสต์ ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสตาลิน อีกกรณีสำคัญในยุคนั้นนอกจากสเปน คือการหักหลังคอมมิวนิสต์และกรรมาชีพจีน โดยการสั่งให้เข้าไปร่วมพรรคกับพวกชาตินิยมก๊กหมินตั๋ง ซึ่งทำให้เชียงไกเช็คกวาดล้างฆ่าคอมมิวนิสต์จำนวนมาก สองเหตุการณ์นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจาก ลีออน ตรอทสกี ผู้ที่พยายามปกป้องแนวมาร์คซิสต์ และแนวบอลเชวิคจากการบิดเบือนของสตาลิน
    
ในหนังสือ Animal Farm (รัฐสัตว์) ออร์เวลประชดระบบเผด็จการของสตาลิน ที่อ้างว่าเป็นสังคมนิยมแต่สร้างความเหลื่อมล้ำและการกดขี่อย่างหนักในรัส เซีย ตัวละครที่เป็นสตาลินคือหมูชื่อ นโปเลียน และหมูอีกตัวที่ชื่อ สโนบอล์คือตรอทสกี
    
หนังสือ 1984 ซึ่งเขียนในปี 1949 เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบเผด็จการสตาลินอย่างหนัก แต่ผสมระบบนาซี-ฟาสซิสต์เข้าไปในรัฐเผด็จการเดียวกัน 1984 เน้นเรื่องกระบวนการกล่อมเกลาล้างสมอง การตอแหลโกหก และการสร้างนิยายขึ้นมาครอบงำสังคมโดยเผด็จการ มันเป็นหนังสือที่วิจารณ์ทั้งฝ่ายรัสเซียและฝ่ายอเมริกาในยุคสงครามเย็น

    
ในหนังสือ 1984 “พี่ใหญ่” ที่คอยจ้องมองประชาชนตลอด มีใบหน้าเหมือน สตาลิน และศัตรูหลักของระบบเผด็จการชื่อ โกล์ดสตีน ซึ่งมีหน้าตาเหมือน ตรอทสกี บ่อยครั้งจะมีการบรรยายวิธีการที่เผด็จการทำให้อดีตนักปฏิวัติสารภาพว่าตน เป็น “สายลับของศัตรู” ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตแกนนำพรรคบอลเชวิคในคดีการเมืองภายใต้ “ศาลเตี้ย” ของสตาลิน ในยุค 1930
    
ในการกล่าวถึงสภาพโลกในหนังสือ 1984 ออร์เวลประชดสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสงครามเย็นและภายหลัง โลกในหนังสือของออร์เวลแบ่งเป็นสามมหาอำนาจที่อยู่ในสภาวะสงครามอย่างต่อ เนื่อง คือ Oceania (ศูนย์กลางที่สหรัฐ), Eastasia (ศูนย์กลางที่จีน) และ Eurasia (ศูนย์กลางที่รัสเซีย) ตัวละครเอกในเรื่องจะอาศัยอยู่ที่อังกฤษซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็น “สนามบิน 1” และเป็นส่วนของอาณาจักร Oceania ของสหรัฐ ในสมัยประธานาธิบดีเรแกน หลังออร์เวลตายไปสามสิบกว่าปี คนอังกฤษที่คัดค้านจักรวรรดินิยมสหรัฐและการที่อังกฤษมีฐานทัพนิวเคลียร์ของ สหรัฐบนเกาะ มักจะพูดว่าอังกฤษกลายเป็นแค่ “สนามบินของสหรัฐ” ไปแล้ว

ทหารมันต้องการทำอะไร?

ทหารมันต้องการทำอะไร?



โดย ใจ อึ๊งภากรณ์



ถ้าจะตอบแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็ต้องตอบว่าทหารมันต้องการ “ทำเหี้ย”
อย่างไรก็ตามเราคงต้องวิเคราะห์ไปไกลและลึกกว่านี้

คงไม่มีใครที่พอมีสมองที่จะเชื่อว่าประยุทธ์ทำรัฐประหาร เพื่อลดความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายและคืนความสันติสุขให้กับประชาชน

ถ้า ใครไม่แน่ใจก็ลองทบทวนบทบาทกองทัพและประยุทธ์ก็ได้ ประยุทธ์และทหารเผด็จการอื่นร่วมกันก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยา เพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อเข้าข้างฝ่ายเผด็จการ พอมันต้องจัดการเลือกตั้งอีกเพื่อดูดี ฝ่ายทักษิณก็ชนะอีก มันเลยให้ศาลทำรัฐประหารตุลาการแล้วตั้งรัฐบาล อภิสิทธ์-สุเทพ ในค่ายทหาร ต่อมาเมื่อเสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตย แก๊งประยุทธ์-อนุพงษ์-อภิสิทธ์-สุเทพ ก็จัดการฆ่าคนที่ไม่มีอาวุธในมือเก้าสิบราย หลังจากนั้นมันจำเป็นต้องยอมให้มีการเลือกตั้งอีก แล้วมันก็แพ้อีกทั้งๆ ที่ประยุทธ์เสือกการเมืองโดยวิจารณ์พรรคเพื่อไทยก่อนวันเลือกตั้งเป็นประจำ ปลายปีที่แล้วประยุทธ์ก็นั่งเฉยอมยิ้มปล่อยให้อันธพาลสุเทพก่อความรุนแรงและ ทำลายกระบวนการเลือกตั้ง ดังนั้นข้ออ้างของประยุทธ์ในการก่อรัฐประหารฟังไม่ขึ้น ไม่ต่างจากข้ออ้างเหลวไหลของผู้ก่อรัฐประหารในอดีตทุกครั้ง

เรา ต้องหวังว่าพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยในไทย จะจดจำชื่อของพวกทำเหี้ยทั้งหลาย เพื่อขึ้นบัญชีดำและจัดการกับพวกก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในอนาคต ไม่ใช่ไปอโหสิกรรม นิรโทษกรรม หรือลืมคนทำชั่วแบบในอดีต ชื่อแรกๆต้นๆ ในบัญชีดำของเราต้องเป็นแก๊ง ประยุทธ์-อนุพงษ์-อภิสิทธ์-สุเทพ แต่ขอเพิ่มชื่อทักษิณเข้าไปด้วย เพราะเขาเคยก่ออาชญากรรมต่อประชาชนในปาตานี และสงครามยาเสพติดด้วย เราต้องไม่ “สองมาตรฐาน” เหมือนฝ่ายตรงข้าม

ทุก วันนี้เราเห็นทหารมุ่งหน้าปราบ รังแก และจำคุก คนเสื้อแดงและพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยอื่นๆ ในขณะที่ปล่อยให้อันธพาลประชาธิปัตย์และพวกชนชั้นกลางลอยนวล แต่พวกนี้คือกลุ่มคนที่ทำลายความสงบสุขของสังคมไทยด้วยการไม่ยอมรับกติกา ประชาธิปไตยตลอดแปดปีที่ผ่านมา

ประยุทธ์ กำลังพยายามทำสงครามกับคนเสื้อแดงและพลเมืองรักประชาธิปไตยทุกคน มาตรการในการเรียกเราไปรายงานตัว ขัง บังคับให้สัญญาว่าจะไม่ทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งรวมไปถึงนักวิชาการและผู้สื่อข่าวด้วย มาตรการในการใช้ทหารบุกบ้านคน มาตรการในการพยายามคุมพื้นที่สาธารณะเมื่อมีข่าวว่าคนอาจออกมาประท้วง มาตรการในการเก็บหนังสือจากร้านหนังสือ และมาตรการในการปิดกั้นการแสดงออกในสถานที่ศึกษา ล้วนแต่เป็นมาตรการของเผด็จการสุดขั้วที่มีกลิ่นอายของระบบฟาสซิสต์ แต่มันยังไม่มีการจัดตั้ง “รัฐตำรวจ” เบ็ดเสร็จแบบที่พวกฟาสซิสต์ทำ มันคงทำไม่ได้ด้วย เพราะต้องไปฝืนใจประชาชนส่วนใหญ่อย่างหนักและต่อเนื่อง

กิริยา การหลงตนเองของประยุทธ์ ทั้งในเรื่องที่จะให้ประชาชนกราบไหว้ และในเรื่องที่อ้างว่าตน “ทำงานหนักเพื่อชาติ” บวกกับความโง่เขลาปัญญาอ่อนของการรณรงค์ให้ประชาชนกลับคืนสู่ความสุข ซึ่งไม่มีใครนอกจากสลิ่มที่จะเชื่อหรือไม่หัวเราะเยาะในใจนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าสมเพช

กิริยา ต่างๆ และวิธีการของประยุทธ์ทำให้ผมนึกถึง จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ พลตำรวจเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ....ใช่ครับ สฤษดิ์มันหลงตนเองถึงขนาดแต่งตั้งตนเองให้เป็นหัวหน้าทุกอย่าง รวมถึงหัวหน้าจอมคอร์รับชั่นอีกด้วย

สฤษดิ์ มันโหดร้าย จับนักต่อสู้คนดีหลายคนมายิงเป้า แต่สฤษดิ์ก็เป็นคนน่าสมเพชด้วย เป็น “จอมพลผ้าขาวม้าแดง” ที่เอาผู้หญิงไปทั่วแล้วแจกเงินรัฐจากภาษีประชาชนให้เมียน้อย และเป็นนักธุรกิจมาเฟียที่ละเมิดกฏหมายที่ตนเองมีส่วนในการร่าง ไม่ว่าจะขายน้ำมันหรือดิบุกเถื่อน หรือกอบโกยเงินใต้โต๊ะ รัฐบาลกับผู้นำประเทศอื่นๆ รู้เรื่องนี้ไปกันหมด เสียชื่อประเทศไทย แต่ต่างประเทศซีกตะวันตกยอมปิดปากเพราะสฤษดิ์เลือกจะเลียสหรัฐในยุคสงคราม เย็น

ที่ สำคัญคือ ยุคสฤษดิ์กับยุคนี้ มันต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน เวลามันผ่านไปกว่า 50 ปี วุฒิภาวะของพลเมืองไทยพัฒนาไปไกล ทุกคนมีความมั่นใจมากขึ้น ทุกคนมีการศึกษา ทุกคนมีส่วนเสียโดยตรงจากเผด็จการ และคนส่วนใหญ่เป็นผู้ทำงานในเมืองหรือนอกภาคเกษตร เผด็จการทหารครองเมืองนานๆ ไม่ได้ ประชาชนจะลุกฮือต้านในที่สุด 

พลเอก “น้ำนม” ประยุทธ์ไม่มีวันหมุนนาฬิกากลับได้ ไม่ว่าเขาจะฝันเปียกกี่คืนเรื่องนี้
ประเด็นคือ ประยุทธ์กับพวกประจบสอพลอรอบตัวมัน โง่เขลาเต็มตัวที่ฝันว่าจะหมุนนาฬิกากลับแบบนั้น หรือเขามีเป้าหมายอื่น?

เรื่อง ความโง่เขลาของประยุทธ์กับพรรคพวกนั้นผมพร้อมจะเชื่อ แต่มันก็เป็นไปได้อีกว่ามันไม่โง่ถึงขนาดนั้น ไม่ว่ามันจะเลวและมือเปื้อนเลือดแค่ไหน

ถ้า ประยุทธ์กับพวกประจบสอพลอรอบตัวมันมีเป้าหมายอื่น เป้าหมายหนึ่งที่อาจเป็นไปได้คือ เขากำลังพนันครั้งใหญ่ว่า ถ้าเขาข่มขู่พวกเรา ถ้าเขาขังแกนนำ และถ้าเขาสร้างกระแสความกลัว ในไม่ช้าพวกเราจะหดหู่หมดกำลังใจ หลังจากนั้นมันก็จะเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งอีกรอบ เพื่อให้พรรคการเมืองของทักษิณและยิ่งลักษณ์ไม่มีวันชนะหรือครองอำนาจได้ เขาพนันว่าเราจะไม่สู้เรื่องนี้

ถ้า นี่คือเป้าหมายของพวกมัน เราต้องทำทุกอย่างที่จะไม่หดหู่หมดกำลังใจหรือยอมจำนน เราอาจลดระดับการเคลื่อนไหวชั่วคราว แต่ในพื้นที่ใต้ดินเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างเครือข่ายทางการเมือง ที่หนักแน่นกว่าเดิม พอมีโอกาสเราก็จะได้ระเบิดออกมาประท้วงและล้มเผด็จการได้

ทุก วันนี้ทั้งทักษิณ นักการเมืองเพื่อไทย และแกนนำ นปช. กำลังร่วมมือกับทหาร ซึ่งต้องถือว่าเป็นการหักหลังประชาชน เขามีทางเลือกอื่นในการนำการต่อสู้ แต่เขาเลือกไม่ทำ เขายอมจำนน ดังนั้นพลเมืองรากหญ้าต้องก้าวขึ้นมานำตนเอง แต่นำตนเองอย่างเป็นระบบที่มีการจัดตั้ง

วันนี้ประชาธิปไตยไทยถอยหลัง แต่ในอนาคต เมื่อเราพร้อม เราจะลุกขึ้นสู้และล้มระบบอำมาตย์ทั้งหมด โค่นมันแบบถอนรากถอนโคน

(ที่มา)

ใครเลีย คณะเผด็จการบ้าง?

ใครเลีย คณะเผด็จการบ้าง? 

 

 


ใน คณะที่พลเมืองผู้รักประชาธิปไตยจำนวนมาก กล้าออกมาคัดค้านและแสดงความไม่พอใจกับการทำลายประชาธิปไตยของ “คณะสัตว์ชั่ว” คสช. จนหลายคนโดนเรียกไปรายงานตัว และบางคนติดคุก ผมได้สำรรวจแถลงการณ์ต่างๆ ในเวป์ประชาไทหลังรัฐประหาร เพื่อดูว่าใครอวยทหารบ้าง

กลุ่มที่ออกแถลงการณ์คัดค้านรัฐประหาร100%โดยไม่มีเงื่อนไข มีดังนี้ กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย, พีมูฟ  + YPD, เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง (คปสม.), พรรคสามัญชน, สมัชชาคนจน, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาภาคอีสาน, เครือข่ายสลัม 4 ภาค, กลุ่มบัณฑิตอาสาสมัครปกป้องประชาธิปไตย, สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย, และคณะบุคคล ประกอบด้วย โคทม อารียา กับคนอื่น
และอย่าลืมว่ามีหลายกลุ่มคนที่ไม่ได้ออกแถลงการณ์แต่ออกมาต้านรัฐประหารเป็นรูปธรรมแทน


กลุ่ม ที่อวยทหารแบบเนียนๆ ประกอบไปด้วยพวกเอ็นจีโอคือ คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) โดยมีการปิดหูปิดตาถึงการปล้นประชาธิปไตย และ เรียกร้องให้ คสช. กำกับหน่วยงานของรัฐมิให้ “ฉวยโอกาส” ผลักดันโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ซึ่งเป็นมุมมองที่ตรงกับศาลเตี้ยรัฐธรรมนูญที่คัดค้านรถไฟความเร็วสูง และเป็นการคิดแบบแยกส่วนปัญญาอ่อน

เอ็นจีโอพวกนี้คงต้องการให้สังคมไทยด้อยพัฒนา และต้องการให้พลเมืองต้องพึ่งกุศลจาก เอ็นจีโอ
ที่ แย่ที่สุดคือ กป.อพช. แถลงว่า “สถาบัน องค์กรและกลุ่มพลังทางการเมืองที่ร่วมในความขัดแย้ง ล้วนมีส่วนทำให้วิกฤติการเมืองเข้าสู่ภาวะตีบตัน” ซึ่งเป็นการแก้ตัวแทนทหารที่ยึดอำนาจโดยอ้างว่าต้องสร้างความสงบ และโทษผู้ที่ต้องการรัฐบาลเลือกตั้ง ว่ามีส่วนทำร้ายบ้านเมืองพอๆ กับม็อบอันธพาลของสุเทพ มันเป็นการขู่เราว่า ถ้าเราออกมาปกป้องประชาธิปไตย มันจะนำไปสู่รัฐประหาร

อีกกลุ่ม หนึ่งที่สนับสนุนรัฐประหารแบบเนียนๆ โดยสร้างภาพหลอกลวงว่ารักประชาธิปไตยคือ นักกิจกรรมทางสังคม 11 คน ประกอบด้วย จักรชัย โฉมทองดี, นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ, จะเด็จ เชาวน์วิไล, สุภา ใยเมือง, สุนทรี หัตถี  เซ่งกิ่ง, สามารถ สะกวี, ชูวิทย์ จันทรรส, นิอับดุลฆอร์ฟาร โตะมิง, คำ รณ ชูเดชา และ กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ซึ่งออกแถลงการณ์ปฏิเสธการรัฐประหารในนามธรรม แต่ขอให้คืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนไทย “โดยเร็วที่สุด” คือไม่ใช่ทันที และแย่พอๆ กับ กป. อพช. เพราะ ไป “ขอให้ทุกฝ่ายทบทวนว่า การพยายามเอาชนะคะคานกันอย่างเด็ดขาดที่ผ่านมาโดยไม่สนใจความแตกต่างและความ หลากหลายทางความคิด” นำไปสู่วิกฤต พูดง่ายๆ พวกนี้มองว่าการไม่เห็นด้วยกับการล้มการเลือกตั้ง เป็นความ “คับแคบ” ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

ใน ความจริง สองกลุ่มเอ็นจีโอดังกล่าวนี้ มีประวัติอันยาวนานในการเข้ากับเสื้อเหลืองบ้าง กวักมือเรียกรัฐประหาร ๑๙ กันยาบ้าง และ “เป็นห่วง” ผู้ชุมนุมสลิ่ม ในขณะที่เพิกเฉยต่อการเข่นฆ่าเสื้อแดงโดยประยุทธ์กับอภิสิทธิ์

นอก จากนี้ ก่อนที่รัฐประหารจะเกิดขึ้นรอบนี้ นักเอ็นจีโอหลายคน ได้ออกมา “เตือนถึงภัยสงครามกลางเมือง” โดยเรียกร้องให้ยิ่งลักษณ์ประนีประนอมกับม็อบสุเทพฯ ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่คำแก้ตัวของทหารในการยึดอำนาจ

เอ็น จีโอพวกนี้ไม่ชอบระบบการลงคะแนนเสียง ทั้งในองค์กรของตนเอง และในสังคมโดยทั่วไป พร้อมกันนั้นเขามองว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้ไทยรักไทย หรือเพื่อไทย ถูกซื้อและโง่
เขา มองว่ารัฐไม่ควรลงทุนสนับสนุนชีวิตของพลเมือง และมองว่าตนมีหน้าที่ต่อสายไปลอบบี้ผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือมาจากการเลือกตั้ง

พวก เอ็นจีโอเหล่านี้ และองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(หมา) ก็เงียบสนิท เรื่องการที่ทหารเรียกพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยไปรายงานตัว และเรื่องการสร้างกระแสความกลัวโดยทหาร

ส่วน กลุ่มสุดท้ายที่ไม่ปกปิดการเลียทหารเผด็จการเลยคือ นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน, ฝูงอธิการบดี, อาจารย์ปฏิกิริยาที่เข้าข้างสลิ่ม และสถาบัน TDRI ซึ่งกลุ่มเหล่านี้มองโดยทั่วไปว่าการทำรัฐประหารเป็นเรื่องดี และเป็น “โอกาส” ในการ “ปฏิรูป” ประเทศไทย

(ที่มา)
http://redthaisocialist.com/2011-02-22-09-46-04/606-2014-06-07-07-36-44.html

เราต้องก้าวพ้นความกลัวเพื่อจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน

เราต้องก้าวพ้นความกลัวเพื่อจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน


https://turnleftthai.files.wordpress.com/2014/06/10413354_721127401263658_6642358743462253337_n.jpg

การ ที่คณะเผด็จการสั่งให้นักประชาธิปไตย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักทำข่าวก้าวหน้า ต้องไป “รายงานตัว” กับมัน เป็นวิธีการสร้างความกลัวโดยทั่วไปในสังคมไทย

รัฐประหารครั้งนี้ นับว่าโหดร้ายที่สุดในรอบ 28 ปี ที่ผ่านมา ร้ายพอๆ กับ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เพราะอย่าลืมว่ารัฐประหารครั้งนี้เป็น “รัฐประหารยาว” นับตั้งแต่ ๑๙ กันยา ผ่านการฆ่าเสื้อแดงที่ราชประสงค์ แล้วมาถึงจุดปัจจุบัน และประยุทธ์มือเปื้อนเลือดเป็นตัวการสำคัญมาตลอด
 
การสั่งให้พลเมืองที่ไม่ได้กระทำความผิด ไปรายงานตัวต่อทหารโจร ถือว่าเป็นการทำสงครามกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เราต้องเรียนรู้วิธีรับมือและทำสงครามกลับไป แต่ไม่ใช่ด้วยการจับอาวุธ เราต้องอาศัยการเมืองประชาธิปไตยและมวลชน 


สิ่งที่เราไม่ควรลืมคือ การบริหารประเทศในระยะยาว ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชน เราจะต้องไม่ร่วมมือกับกติการเผด็จการ 

คณะทหารเผด็จการต้องการสร้างความกลัว เพราะความกลัวอาจนำไปสู่อัมพาต อัมพาตในการมีส่วนร่วมทางการเมือง และอัมพาตในการเคลื่อนไหว

แต่เรายอมเป็นอัมพาตไม่ได้!! ซึ่งแปลว่าเราจะต้องก้าวพ้นความกลัว

การก้าวพ้นความกลัวไม่ได้หมายความว่าเราต้องทำอะไรโง่ๆ และไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีความกลัวอยู่ในใจ แต่เราต้องหาทางบริหารความกลัวที่มีอยู่โดยปกติ เพื่อไม่ให้เราอัมพาต และเพื่อไม่ให้เราต้องยอมแพ้ เพราะถ้าเรายอมแพ้ สังคมไทยจะถอยหลังสู่ยุคมืด การเสียสละของวีรชนประชาธิปไตยตั้งแต่ ๒๔๗๕ ถึงปัจจุบันก็จะเปล่าประโยชน์ และลูกหลานคนรุ่นต่อไป จะต้องเติบโตภายใต้ระบบทาสทางความคิด

สถานการณ์ปัจจุบันหมายความว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรทำเด็ดขาด คือนั่งอยู่บ้านคนเดียวหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอโทรทัศน์ มันจะนำไปสู่ความหดหู่และความกลัว เราต้องออกจากบ้านทุกวันเพื่อไปนัดคุยกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในวงเล็กๆ เงียบๆ ดื่มกาแฟ และคุยอย่างเป็นระบบ คือคุยกับคนเดิมทุกวันอย่างต่อเนื่อง คุยเพื่อแลกข่าว แต่ไม่ใช่ข่าวลือนะ คุยเพื่อร่วมกันวิเคราะห์สถานการณ์ คุยเพื่อศึกษาบทเรียนจากอดีตและจากประเทศอื่น และที่สำคัญคือ (1)ต้องคุยเพื่อวางแผนการต่อสู้แบบปิดลับ ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติการในที่สาธารณะแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน และการคุยกันตอนนี้ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอะไรบ้างที่ใหญ่กว่าการออกมาประ ท้วงเชิงสัญญลักษณ์ ซึ่งเราต้องทำในอนาคต (2)ต้องคุยเพื่อเลือกตัวแทนที่จะไปคุยกับกลุ่มเล็กๆ อื่นๆ เพื่อสร้างเครือข่าย ซึ่งในประเด็นนี้ต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสาร นี่คือ “ก.ข.ค.” ของการจัดตั้งและต่อสู้ใต้ดิน

การต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลา แต่เรามีเวลา เราคือคนส่วนใหญ่ และเราคืออนาคต พวกทหาร พวกอำมาตย์ และพวกต้านประชาธิปไตย คือคนส่วนน้อยที่ไม่มีอนาคตต่างหาก

(ที่มา)

การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการรัฐประหารของนานาชาติ

การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการรัฐประหารของนานาชาติ


 



ประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ตั้งอยู่บนโลก

โลกสมัยใหม่ ที่เศรษฐกิจ ทุน การเมืองและความมั่นคงโยงใยทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกัน ปัญหาความถดถอยของประชาธิปไตยไทยจึงไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทยที่ไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่ใช่เรื่องความเฉพาะตัวของวัฒนธรรมที่ใครจะมาแตะต้องไม่ได้ แต่เป็นความเสียหายที่ส่งผลร้ายกระทบต่อชาติอื่นไปด้วยเป็นทอดๆ เป็นเหมือนจุดบอดของวงจร เป็นความผิดพลาดของระบบที่ต้องได้รับการแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้ว ระบอบเผด็จการทหารในไทยก็จะพาลบั่นทอนประชาธิปไตยในภูมิภาคไปด้วย

ไทยเป็นประเทศชุดแรกที่ลงนามในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ในปี 1948 ซึ่งเป็นการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนพึงมี คนไทยควรภูมิใจที่กรุงเทพมหานครคือสถานที่ลงนามปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ในปี 1993 ซึ่งเป็นหมุดหมายสำคัญของการทำให้คุณค่าเรื่องสิทธิมนุษยชนลงหลักปักฐานในชาติเอเชีย.. แต่วันนี้ พลเมืองในเมืองจุดเริ่มต้นสิทธิมนุษยชนเอเชีย กลับไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานที่มนุษย์โลกพึงได้ ไม่มีรัฐธรรมนูญคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเนื่องจากเผด็จการทหารได้ฉีกทิ้งไปเสียแล้ว

การแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการรัฐประหารของนานาชาติ จึงไม่ใข่การแทรกแซงกิจการภายในของไทย แต่การรัฐประหารไทยเองนั่นต่างหากที่เป็นเรือขวางคลองซึ่งขัดต่อคุณค่าที่ทั้งโลกยึดถือ

รองผบ.ตรเตรียมส่งชื่อ นศ. ‘แจกแซนวิช’ ต้านรปห. ให้ทหาร

รองผบ.ตรเตรียมส่งชื่อ นศ. ‘แจกแซนวิช’ ต้านรปห. ให้ทหาร 

 
Photo: เมื่อตำรวจ ส่งทั้งชื่อและที่อยู่ ของนักศึกษาผู้ทำกิจกรรมแจกแซนด์วิชต่อต้านรัฐประหารให้กับทหาร เพื่อให้ทหาร "ดำเนินการ" อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไป? นี่คือสิ่งที่สังคมต้องจับตาว่าการ"ดำเนินการ"ของทหารต่อนักศึกษาคืออะไร?

หากเรายังเชื่อว่านี่คือโลกปี 2014 ไม่ใช่ยุคตุลากว่า 40 ปีที่แล้ว ที่นักศึกษาถูกเผด็จการทหารใช้อำนาจจากกระบอกปืนหยุดยั้งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพวกเขา วันนี้เพียงการแจกแซนด์วิชก็ต้องถูกค้นที่อยู่เพื่อให้ทหาร"ดำเนินการ" นี่คือสังคมแบบที่เราอยากให้เป็นจริงหรือ? 

ร่วมปกป้องคนรุ่นใหม่ผู้เป็นความหวังของประชาธิปไตยไทย จับตาการใช้อำนาจของเผด็จการร่วมกัน

#Dictatorwatch 


รองผบ.ตรเตรียมส่งชื่อ นศ. ‘แจกแซนวิช’ ต้านรปห. ให้ทหาร http://www.prachatai.com/journal/2014/06/53864


มื่อตำรวจ ส่งทั้งชื่อและที่อยู่ ของนักศึกษาผู้ทำกิจกรรมแจกแซนด์วิชต่อต้านรัฐประหารให้กับทหาร เพื่อให้ทหาร "ดำเนินการ" อะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาต่อไป? นี่คือสิ่งที่สังคมต้องจับตาว่าการ"ดำเนินการ"ของทหารต่อนักศึกษาคืออะไร?

หากเรายังเชื่อว่านี่คือโลก
ปี 2014 ไม่ใช่ยุคตุลากว่า 40 ปีที่แล้ว ที่นักศึกษาถูกเผด็จการทหารใช้อำนาจจากกระบอกปืนหยุดยั้งการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของพวกเขา วันนี้เพียงการแจกแซนด์วิชก็ต้องถูกค้นที่อยู่เพื่อให้ทหาร"ดำเนินการ" นี่คือสังคมแบบที่เราอยากให้เป็นจริงหรือ?

ร่วมปกป้องคนรุ่นใหม่ผู้เป็
นความหวังของประชาธิปไตยไทย จับตาการใช้อำนาจของเผด็จการร่วมกัน 

Happiness is.....?

Happiness is.....?



 กฤษชนุ น้อยญ์ยะ's photo.



เคยเฝ้าตั้งคำถามว่าความสุขแท้จริงนั้นคืออะไร ตอนเด็กๆอมยิ้มสักแท่งก็ทำให้เรามีความสุข

พอโตขึ้นมาหน่อยรถบังคับสักคันก็มีความสุข พอโตขึ้นมาอีกการมีความสุขอาจเป็นการได้อยู่กับคนที่รัก ความสุขนั้นแท้จริงอาจไม่มีหน้าตาที่เหมือนกันของแต่ละคน

แต่ทุกๆความสุขนั้นย่อมเกิดจาก "อิสระที่ได้เลือก" และ "ความปลอดภัยจากการคุกคาม"

เพราะเราเชื่อในความแตกต่างหลากหลาย แต่การที่อ้างว่า คสช. กำลัง "คืนความสุขสู่สังคมไทย"นั้น กำลังเป็นการคุกคามประชาชน รวมไปถึงลิดรอนสิทธิของประชาชนในการเลือก

หากคสช.ต้องการคืนความสุขให้ประชาชน ต้องคืนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน ให้สิทธิในการเลือกความสุขเป็นของประชาชน และหยุดการข่มขู่คุกคามทันที!!!! 

รายงาน : รู้จัก ‘มนุษย์ป้า’ ผู้ก้าวมาอยู่แถวหน้า ท้าทายกระบอกปืน

รายงาน : รู้จัก ‘มนุษย์ป้า’ ผู้ก้าวมาอยู่แถวหน้า ท้าทายกระบอกปืน

 

 

 

“เขาถามว่าใครจ้างเรามา เราก็อธิบายกับเขาไปว่าเราคิดยังไง เราไม่เห็นด้วยกับรัฐประหารเพราะอะไร เรายืนยัน ใครก็มาบังคับให้เปลี่ยนความคิดไม่ได้ คุณล้มกติกาทั้งหมด เอาปืนมาขู่แล้วบอกว่าจะปรองดอง คนที่เห็นต่างจากคุณไม่ใช่คนไทยหรือ จะให้เราไปยืนตรงไหนในสังคม ที่ผ่านมาเราก็เจ็บปวดจากความไม่ยุติธรรมมามากแล้ว....” ป้ากล่าวผ่านลูกกรง"


"จนถึงวันนี้มนุษย์ป้าทั้งหมดได้รับการปล่อยตัวแล้ว แต่โทรศัพท์ยังคงไม่ได้คืน และต้องลงชื่อรับรองว่าจะไม่ร่วมชุมนุมทางการเมืองใดๆ อีก หลายคนที่ถูกควบคุมตัวก่อนหน้าเหล่ามนุษย์ป้าต่างก็ประสบกับชะตากรรมเดียว กัน คือ หากเขาไม่ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีต่อ เขาก็จะได้รับการปล่อยตัว หลังจากขังที่กองปราบมาแล้ว 3 วัน 5 วัน หรือ 7 วันแล้วแต่กรณี โดยต้องลงนามยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และจะมีทหารคอยโทรศัพท์ติดตามหลังจากออกไปแล้วด้วย

ที่น่าสนใจคือ บรรดามนุษย์ป้าเล่าให้ฟังว่า พวกเธอได้แสดงความคิดเห็นคัดค้านอย่างตรงไปตรงมาแม้ในระหว่างการสอบสวนของ ทหาร มีป้าคนหนึ่งเล่าว่า ทหารคนแรกที่สอบสวนเธอโกรธเธอจนต้องลุกออกไป และมีทหารอีกคนเข้ามาเกลี้ยกล่อม จนกระทั่งเธอเห็นว่าการต่อต้านไม่ช่วยอะไรและน่าจะส่งผลต่อระยะเวลาที่เธอจะ ถูกขัง สุดท้ายเธอยอมรับเหตุผลที่นายทหารพยายามอธิบายถึงความจำเป็นในการทำรัฐ ประหารว่าเป็นไปเพื่อหยุดการเสียเลือดเนื้อของประชาชนสองฝ่าย

“ใช่ ฉันเห็นด้วยกับการรัฐประหาร” ป้าคนนั้นยอมกล่าวคำนี้ เจ้าหน้าที่ให้เธอกล่าวอีกครั้ง พร้อมบันทึกวิดีโอ “ ใช่ ฉันเห็นด้วยกับการรัฐประหาร”

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2014/06/53860 

เปิดใจ 'ฉลาด วรฉัตร' กับการอดอาหารต้านรัฐประหาร(อีกครั้ง) ในวัย 71

เปิดใจ 'ฉลาด วรฉัตร' กับการอดอาหารต้านรัฐประหาร(อีกครั้ง) ในวัย 71



  

"ตอนนี้ถ้าผมตายไปก็ถือว่าภาคภูมิใจแล้ว ผมจะอยู่ไปจนสิ้นชีวิต เท่ากับดิสเครดิตเขาไปในตัว เพื่อไม่ให้เขาซ้ำเติมเรามากเกินไป แต่ผมอาจจะไม่ได้เห็นนายกฯ มาจากการเลือกตั้ง"

"แต่ฝากเลย คสช. ถ้าไม่เอานายกฯ มาจากการเลือกตั้ง ต่อไปคุณก็อยู่ลำบาก เพราะสังคมโลกเขาไม่ยอมรับ"

"71 แล้ว ต่อไป ถ้าเราทำอะไรไม่ได้พอ 75 อาจจะหลุดโลกไปแล้ว เสียดายตัวเองนะ พอหลุดโลก เราก็ไม่มีความหมายแล้ว" ฉลาด วรฉัตร ทิ้งท้ายการสนทนากับ "ประชาไท"

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2014/06/53872 

ศิลปะต้านรัฐประหารและเผด็จการ สถานที่อย่างต่อเนื่อง….

ศิลปะต้านรัฐประหารและเผด็จการ

สถานที่อย่างต่อเนื่อง….


  
10413354_721127401263658_6642358743462253337_nenhanced-buzz-18485-1286896790-6 IMG_1866 stopwars 244636-political-graffiti-in-egypt 10339721_721679897875075_5624906714375325922_n


เราใช้ศิลปะวัฒนธรรมในการต่อสู้กับเผด็จการได้ แค่มีความคิดสร้างสรรค์ กับสีพ่น ก็พอ ทำไวๆ แล้วหลบหายไปในชุมชน ทำหลายๆ แห่ง เปลี่ยนสถานที่อย่างต่อเนื่อง….

สำหรับนักดนตรี ก็สามารถอัดเพลงเพื่อประชาธิปไตย ส่งให้เพื่อน และให้คนอื่นโหลดในยูทูปได้ กระจายสู่กันฟัง
ประชาธิปไตยและประชสชนจงเจริญ!!!

(ที่มา)
http://turnleftthai.wordpress.com/2014/06/07/

ข่าวที่ไม่มีดูในเมืองไทย..!!!

ข่าวที่ไม่มีดูในเมืองไทย..!!!




ข่าวที่ไม่มีดูในเมืองไทย..

Thai Military Declares Coup d'État: Thailand on the Brink (Dispatch 3)
https://www.youtube.com/watch?v=T8ANhBGw22w

Unrest and Opposition Over Military Rule: Thailand on the Brink (Dispatch 4)
https://www.youtube.com/watch?v=V6nCNlnNXcg&feature=youtu.be

ประกาศให้พวกเขารู้ ว่าเราไม่เอารัฐประหาร ! ไม่เอาระบอบเผด็จการ และ เราคือ "บก.ลายจุด"

ประกาศให้พวกเขารู้ ว่าเราไม่เอารัฐประหาร ! ไม่เอาระบอบเผด็จการ และ เราคือ "บก.ลายจุด"



 


ประกาศให้พวกเขารู้ ว่าเราไม่เอารัฐประหาร !
ไม่เอาระบอบเผด็จการ และ เราคือ "บก.ลายจุด"



วันที่ 8 มิ.ย. 57 เวลา 14.00 น. เตรียมพร้อม ที่ สถานี brt . mrt . airport link ใกล้บ้านท่าน เราจะแจ้งจุด รวมพล ในเวลานั้น

ที่หมายหลัก มีดังนี้

1.สนามบิน สุวรรณภูมิ
2.แมคราชประสงค์
3.อนุเสาวรีย์ชัย
4.สยามพารากอน
5.วัดพระแก้ว

เราจะรอจนเพื่อนเราพร้อม ในเวลา 14.00 น.แสดง สัญลักษณ์ ชู 3 นิ้ว เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ

โปรดตรงเวลา ครับ