อดีตปธน.มัลดีฟส์ เผยนาทีระทึก ทหาร-ตำรวจใช้"ปืนจ่อหัว" บังคับให้ลาออก
นายโมฮาเหม็ด นาชีด อดีตประธานาธิบดีมัลดีฟส์ กล่าวว่า ตนเองถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่ง โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่ใช้"ปืนจ่อศีรษะ"ของเขา
อดีตผู้นำมัลดีฟส์กล่าวว่า การโค่นล้มดังกล่าวมีการวางแผน โดยที่รองประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด วาฮีด ฮัสซัน ซึ่งขึ้นเป็นผู้นำเฉพาะกาลแทนเขามีส่วนเกี่ยวข้อง ขณะที่นายฮัสซันปฏิเสธการมีส่วนรู้เห็น
นายนาชีดให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีทางโทรศัพท์ว่า เขาถูกเอาปืนจ่อศีรษะเพื่อให้ลาออกจริง โดยกลุ่มทหารและตำรวจจำนวนหนึ่งที่เข้าล้อมตัวเขา โดยกลุ่มคนดังกล่าวบอกกับเขาว่า พวกเขาไม่ลังเลที่จะใช้ปืนหากเขาไม่ยอมลาออก นายนาชีดยังกล่าวว่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เขาได้เดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพมัลดีฟส์ ซึ่งขณะนั้นถูกควบคุมโดยทหารและตำรวจจำนวน 18 นาย เพื่อขอเจรจาให้ไว้ชีวิตเจ้าหน้าที่รัฐบาล และเสริมว่า เขาเกรงว่า นายฮัสซัน อดีตรองประธานาธิบดี มีส่วนรู้เห็นกับแผนปฏิวัติครั้งนี้
(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328756209&grpid=&catid=06&subcatid=0600
"ยิ่งลักษณ์"ติง"จตุพร"ปูดข่าวปฏิวัติ ป้องกองทัพชี้แจงแล้ว วอนสื่ออย่าสร้างประเด็นแตกแยก
เมื่อเวลา 11.15 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเรียก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มาหารือ ถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) อ้างข่าวกรองสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการรัฐประหารก่อนเดือนเมษายนนี้ ว่า เราตรวจสอบแล้วยังไม่ได้รับรายงาน เชื่อว่ากองทัพคงไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ที่นายจตุพรพูดเรื่องนี้หลายครั้ง ทุกคนก็มีสิทธิแสดงความเห็น แต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ที่สำคัญกองทัพได้ออกมาชี้แจงแล้ว
เมื่อถามว่า จะทำให้บรรยากาศปรองดองที่รัฐบาลสร้างไปได้ไม่ดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า "ต้องขอความร่วมมือจากสื่อ อย่าไปมองว่าเป็นประเด็นสร้างความแตกแยก ส่วนตัวยังเชื่อว่าทุกคนอยากเห็นบ้านเมืองปรองดอง ที่คุณจตุพรพูดคงอยากจะเตือนไม่อยากให้มีเหตุการณ์นี้ ถ้าทุกคนยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์นี้ก็จบ อีกอย่างปีนี้เป็นปีมหามงคลจึงเชื่อว่าทุกคนอยากให้มีความแต่สงบสามัคคี
(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1328765581&grpid=00&catid=&subcatid=
"จตุพร"ตามกลิ่น"ปฎิวัติ" เกมรุกสกัดแผน"ล้ม"รัฐบาล"ยิ่งลักษณ์"
จตุพร พรหมพันธุ์
อุณหภูมิทางการเมือง พุ่งปรี๊ดขึ้นในทันทีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) โพล่งออกมาว่า พรรคพวกทำงานข่าวกรองของสหรัฐอเมริกากระซิบบอกจะมีเหตุรัฐประหาร และการยึดอำนาจคราวนี้จะทำให้แล้วเสร็จในเดือนเมษายน
เช้าตรู่วันที่ 9กุมภาพันธ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เปิดฉากสวนกลับนายจตุพรว่า ยังไม่ได้รับข้อมูลจะมีเหตุปฏิวัติ ตามที่นายจตุพร ออกมาระบุ
"ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาว่าผิดกฎหมายกระทบต่อความมั่นคงหรือไม่ หากใครเห็นว่าผิดกฎหมาย สามารถไปแจ้งความดำเนินคดีได้"พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์
คำสัมภาษณ์"พล.อ.ประยุทธิ์"เหมือนเปิดทางให้ใครก็ได้ หาช่อง"เอาผิด"ในแง่กฎหมายกับนายจตุพร
ขณะที่พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาปฎิเสธข่าว"ปว."ในเดือนเมษาฯ
"ไม่มีสัญญาณใดบ่งชี้ให้เกิดการปฏิวัติ นายจตุพรปากไว พูดไปเรื่อย"พล.อ.อ.สุกำพลให้สัมภาษณ์ตำหนิแกนนำนปช.อย่างตรงไปตรงมา
ไล่หลังเพียงไม่กี่ชั่วโมง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯเรียก พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต เข้าไปหารือที่ทำเนียบรัฐบาล
"เราตรวจสอบแล้วยังไม่ได้รับรายงาน เชื่อว่ากองทัพคงไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ที่นายจตุพรพูดเรื่องนี้หลายครั้ง ทุกคนมีสิทธิแสดงความเห็น แต่ขอให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย ที่สำคัญกองทัพได้ออกมาชี้แจงแล้ว”น.ส.ยิ่งลักษณ์สัมภาษณ์
คำสัมภาษณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกนัยยะปกป้อง"จตุพร"ที่ปากไว
(อ่านต่อ)
"ลูกสนธิลิ้ม" ซัดกลับ "สุทธิชัย หยุ่น" แอบบินเงียบพบทักษิณ
(สื่อเพื่อผลประโยชน์ข้าฯกัดกันเอง)
080255 20 40น "จิตตนาถ"ถาม "สุทธิชัย หยุ่น"ถึงจรรยาบรรณเครือเนชั่น กรณี ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีการเผยแพร่คลิปวิดีโอทางเว็บไซ ต์ยูทูบ ซึ่งเป็นคลิปที่ นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชายนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวี ตั้งคำถามกับ นายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น ถึงจรรยาบรรณสื่อเครือเนชั่น โดยอ้างว่าบก.-คอลัมนิสต์ในเครือเนชั่น บิดเบือนกล่าวหาว่า ASTVผู้จัดการ ปลุกระดม พร้อมชี้แจงว่าภาพปก "เนรคุ่น" ของนิตยสาร ASTVผู้จัดการรายสัปดาห์ สะท้อนความจริง ที่คนส่วนใหญ่คัดค้านการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และไม่พอใจ "ปราบดา หยุ่น" (คุ่น-บุตรชายนายสุทธิชัย) ที่ดูถูกคนไทย
ทั้งนี้ นายจิตตนาถยืนยันเสนอทางออกให้สังคมไทยด้วยจุดยืนต้านทุนสามานย์-คอร์รัปชัน และระบุว่าสื่อเครือเนชั่นต่างหาก ที่ปล่อยให้บุคลากรระดับ บก.ร่วมลงชื่อแก้ ม.112 และเปิดเวทีให้นิติราษฎร์บิดเบือนข้อมูลสร้างความแตกแยก ทั้งยังระบุให้เนชั่นเคลียร์ข่าว นายสุทธิชัยบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ กองบก.ยกทีมพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
(ที่มา)
สหภาพแรงงานน่าจะเป็นทางออกของแรงงานไทย จริงหรือ?
ในขณะที่ราคาสินค้าทุกอย่างถีบตัวสูงขึ้นแต่ค่าจ้างของคนงานกลับยังคงเดิม เมื่อมีรายจ่ายที่มากขึ้น ในหนึ่งวันเกือบทั้งชีวิตของเขาเหล่านั้นใช้เวลาไปกับการทำงานไม่น้อยกว่า 12-15 ชั่วโมง เพื่อที่จะหารายได้ให้เพียงพอกับรายจ่ายที่รออยู่ข้างหน้า เมื่อเขาอยู่ในโรงงานเขาก็ถูกปฏิบัติเยื่องทาส ความไม่จริงจังต่อการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐรวมกับความต้องการ กำไรสูงสุดของลัทธิทุนนิยม ทำให้ชนชั้นผู้ใช้แรงงานถูกเอาเปรียบกดขี่ขูดรีดอย่างหนักหน่วง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนงานที่เป็นลูกจ้างเหมาค่าแรงจะถูกเอาเปรียบและกดขี่ เป็นอย่างมาก เสมือนว่าเขาเหล่านั้นไม่ใช่คนไทยเช่นเดียวกับเรา ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ฟองสบู่แตกในปี ๒๕๓๙-๒๕๔๐ ทำให้เกิดการปรับตัวของผู้ประกอบการและนำไปสู่การออกกฎหมายให้นายจ้างสามารถ จ้างแรงงานในระบบเหมาค่าแรงได้ บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตราที่ ๕ โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการรับประกันความเสี่ยงให้กับนายทุน และต่อมาลูกจ้างก็พยายามที่จะขอแก้ไขเพื่อให้การจ้างงานนั้นมีความมั่นคง ยิ่งขึ้น จนนำไปสู่การแก้ไข พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ฉบับที่ ๒ มาตราที่ ๑๑/๑ ซึงมีนัยยะที่สำคัญ คือ “ให้ลูกจ้างเหมาค่าแรงได้รับค่าจ้างสวัสดิการอย่างเป็นธรรมและไม่เลือก ปฏิบัติเช่นเดียวกับลูกจ้างประจำ” ในปัจจุบันก็ยังถกเถียงกันไม่จบว่าค่าจ้างที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้นมัน เป็นธรรมหรือยัง ?
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/02/39171
ส.ส.อูกันดาเสนอร่าง กม.ต้านเกย์ กลับเข้าสภาอีก
การประท้วงร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวในปี 2552 ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
ภาพโดย riekhavoc (caught up?) (CC BY-NC-SA 2.0)
นายเดวิด บาฮาติ ส.ส.อูกันดา เสนอร่างกฎหมายต่อต้านคนรักเพศเดียวกันกลับเข้าสภาอีกครั้ง หลังจากรัฐสภาอูกันดายกเลิกกำหนดการพิจารณากฎหมายดังกล่าวไปเมื่อ พ.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากกระแสต่อต้านจากประชาคมระหว่างประเทศ
ในวาระเปิดสมัยประชุมรัฐสภาอูกันดาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (7 ก.พ.) เดวิด บาฮาติ ส.ส.อูกันดา เสนอร่างกฎหมายต่อต้านคนรักเพศเดียวกันกลับเข้าสภาอีกครั้ง หลังจากรัฐสภาอูกันดายกเลิกกำหนดการพิจารณากฎหมายดังกล่าวไปเมื่อ พ.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากกระแสต่อต้านจากประชาคมระหว่างประเทศ
การเป็นคนรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องผิดกฎหมายในอูกันดา ร่างกฎหมายนี้ถูกเสนอโดยฝ่ายอนุรักษนิยมตั้งแต่ปี 2552 แต่ยังไม่เคยมีการอภิปรายในสภามาก่อน
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้เพิ่มโทษสำหรับผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีพฤติกรรมรัก เพศเดียวกัน จากเดิมจำคุก 14 ปีเป็นจำคุกตลอดชีวิต ส่วนผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน ให้คำแนะนำ จัดหา ให้ผู้ใดมีพฤติกรรมรักเพศเดียวกันต้องโทษจำคุก 7 ปี ผู้ที่ให้คนรักเพศเดียวกันเช่าห้องหรือบ้านมีโทษจำคุก 7 ปี
(อ่านต่อ)