การปรองดองของยิ่งลักษณ์ได้แต่ปกป้องอำนาจอำมาตย์
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
สองปีหลังจากที่ทหารฆ่าประชาชนเสื้อแดงที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ และ 9 เดือน
หลังชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย เราเห็นได้ชัดว่าเพื่อไทย
นายกยิ่งลักษณ์ และอดีตนายกทักษิณ
ปรองดองกับทหารมือเปื้อนเลือดบนซากศพคนเสื้อแดง
พร้อมกับหันหลังให้กับนักโทษการเมือง ไม่ว่าใครจะแก้ตัวต่างๆ นาๆ ให้รัฐบาล
แต่ผมขอยืนยันตรงนี้
ทั้งๆ ที่เสื้อแดงจำนวนมากเลือกรัฐบาลยิ่งลักษณ์
แต่รัฐบาลตอบแทนด้วยความกระตือรือร้นในแสดงความเป็นมิตรกับอาชญากรอย่าง
ประยุทธ์ และอนุพงษ์ และแทนที่จะนำฆาตกรมาขึ้นศาล
มีการเลื่อนขั้นและเอาใจทหารมือเปื้อนเลือดแทน
นักการเมืองอย่างอภิสิทธิ์และสุเทพก็ลอยนวลเช่นกัน
แต่ในกรณีหลังมีการเล่นละครในสภาเพื่อสร้างภาพว่าอยู่คนละข้าง
ในความเป็นจริงทั้งสองพรรคการเมืองนี้ไม่ได้อยู่ข้างประชาชน
แต่อยู่ข้างอำมาตย์
การที่รัฐบาลเพื่อไทย นำโดยรัฐมนตรีที่มีภาพอื้อฉาวอย่างเฉลิม หรือขี้ข้าเสื้อเหลืองอย่างอนุดิษฐ์ เน้นการเร่งใช้กฏหมายเผด็จการ 112 มาก
ขึ้นตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง
อาจเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทยและทักษิณที่จะพิสูจน์ “ความจงรักภักดี”
แต่ที่สำคัญกว่านั้น เป็นการพิสูจน์ว่าเพื่อไทย ยิ่งลักษณ์ และทักษิณ
พร้อมจะคลานและถ่อมตัวต่อกองทัพ
และพร้อมจะให้กองทัพมีอำนาจพิเศษนอกรัฐธรรมนูญในการกำหนดสังคมการเมืองไทย
เพราะกฏหมาย 112 มีความสำคัญที่สุดในการปกป้องทหาร
เพื่อให้ทหารสามารถอ้างความชอบธรรมจากสถาบันกษัตริย์ในทุกอย่างที่ทหารทำ
ไม่ว่าจะเป็นการทำรัฐประหาร หรือฆ่าประชาชน
กฏหมายเผด็จการ 112 ถูกใช้ในการทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก และทำลายประชาธิปไตยมานาน ทุกวันนี้นักโทษ 112 จำนวน
มากติดคุกอยู่ในสภาพย่ำแย่ คนอย่างคุณสมยศไม่ได้รับการประกันทั้งๆ
ที่ยังไม่มีการตัดสินคดี และคนอย่างอ.สุรชัยหรืออากง
ถูกกดดันด้วยอายุและสุขภาพ ให้ “สารภาพผิด” เพื่อหวังได้รับอภัยโทษในอนาคต
แต่รัฐบาลตั้งหน้าตั้งตาปฏิเสธที่จะแก้กฏหมายชั่วอันนี้
นักการเมืองเพื่อไทยอาจอ้าง “ภัยจากรัฐประหาร”
เพื่อให้ความชอบธรรมกับการปรองดองแบบยอมจำนน
แต่ในทางปฏิบัตินโยบายการปรองดองของรัฐบาลมีผลในการปกป้องอำนาจทหารที่จะทำ
รัฐประหารอีกในอนาคต ซึ่งคล้ายๆ กับสถานการณ์ในพม่าทุกวันนี้
นอกจากปัญหา 112 และ
การไม่ยอมนำฆาตกรมาขึ้นศาลแล้ว
ยังไม่มีมาตรการอะไรที่มีความหมายในการปล่อยนักโทษการเมืองเสื้อแดงนอกจาก
การตั้งคุกพิเศษ
อีกสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยไม่ยอมนำทหารและคนอย่างอภิสิทธิ์มาขึ้นศาล
ก็อาจเพราะกลัวว่า อาจจะมีคนที่รักความเป็นธรรม
เรียกร้องให้นำทักษิณและทหารมาขึ้นศาลในฐานะที่ฆ่าประชาชนมือเปล่าที่ตากใบ
ด้วย
ทักษิณคงอยากจะปรองดองแบบจับมือกับอำมาตย์ เพื่อหวังกลับประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ ในขณะเดียวกันมีการยกฟ้อง จักรภพ เพ็ญแข ในคดี 112 ซึ่ง
อาจเป็นการ “เอาใจ” ทักษิณเพราะคุณจักรภพเคยใกล้ชิดกับทักษิณ
แต่นั้นไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณจักรภพต้องการปรองดองแบบนี้กับอำมาตย์
เราคงต้องถามเจ้าตัวเอง
การโยนเงินให้ผู้ที่ได้ผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง
ไม่ใช่การปรองดองหรือการเยียวยาที่แท้จริง
มันเหมือนการโยนเงินให้ครอบครัวคนจนโดยเศรษฐี หลังจากอุบัติเหตุบนท้องถนน
ชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะชีวิตวีรชนประชาธิปไตย ตั้งค่าเป็นเงินทองไม่ได้
และยิ่งกว่านั้นเงินนี้มาจากภาษีประชาชนคนจนเอง
ไม่ได้เป็นการจ่ายค่าชดเชยโดยทหารฆาตกรจากกระเป๋าตนเองแต่อย่างใด
การโยนเงินให้ครอบครัวพลเรือนที่ถูกทหารฆ่าในภาคใต้ก็ไม่ได้นำไปสู่การแก้
ปัญหาสงครามกลางเมืองในภาคใต้แต่อย่างใดอีกด้วย
เราจะปล่อยให้พวกนั้นซื้อความสงบด้วยเงินของเราเองแบบนี้หรือ?
แกนนำ นปช. อาจพูดจานามธรรมเรื่องการไม่ทอดทิ้งวีรชนและการช่วยนักโทษ
และอาจมีการเสนอปฏิรูปรัฐธรรมนูญเล็กๆ น้อยๆ แต่ในรูปธรรมบทบาทหลักของ นปช.
คือการสลายขบวนการและระงับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้
และไม่มีการรณรงค์ให้แก้หรือยกเลิก 112 โดย นปช. แต่อย่างใด
ในขณะที่เพื่อไทย ทหาร และวัง ปรองดองกันเพื่อรักษาสถานภาพของอำมาตย์
และขณะที่คณะกรรมการปรองดองของรัฐสภามีประธานที่เคยทำรัฐประหารเพื่อล้มล้าง
ระบบประชาธิปไตย
แสงสว่างแห่งความหวังอยู่ที่คณะนิติราษฏร์ที่ต้องการลบผลพวงรัฐประหาร
และอยู่ที่ขบวนการเพื่อปฏิรูป 112 คน
ก้าวหน้าทุกคนควรช่วยกันสร้างขบวนการมวลชนเพื่อผลักดันสิ่งเหล่านี้
เพราะถ้าเราไม่เคลื่อนไหว
การปรองดองก็จะเป็นแค่การปกป้องอำมาตย์บนซากศพวีรชน
(ที่มา)