เผด็จการใหม่ในห้องเรียนและสถาบันการศึกษา
สิทธิเสรีภาพในการพูดจัดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
หรือที่รู้จักกันในคำพูด Freedom of speech รวมทั้งสิทธิในการแสดงออก หรือ
Freedom of expression ได้รับการยอมรับเป็นสิทธิมนุษยชนภายใต้ข้อ 19
แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
และได้ถูกยอมรับในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในกติการะหว่างประเทศว่า
ด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and
Political Rights -ICCPR)
ข้อ 19 แห่งกติกาดังกล่าว บัญญัติว่า
"ทุกคนมีสิทธิออกความเห็นโดยไม่ถูกแทรกแซง" และ
"ทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพการพูด สิทธินี้จักรวมไปถึงเสรีภาพในการแสวงหา
ได้รับและส่งต่อข้อสนเทศและความคิดในทุกรูปแบบ โดยไม่คำนึงถึงขอบเขต
ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียนหรือการพิมพ์ ในรูปของศิลปะ
หรือผ่านสื่ออื่นใดที่เป็นทางเลือกของคนพูดหรือแสดงออก"
บัญญัติข้อ 19 ยังระบุด้วยว่าการใช้สิทธิเหล่านี้มี "หน้าที่และความรับผิดชอบพิเศษ" และ
อาจต้องถูกจำกัดบ้างในกรณีจำเป็น
เพื่อความเคารพถึงสิทธิหรือชื่อเสียงของคนอื่น หรือ
เพื่อคุ้มครองความมั่นคงของชาติหรือเพื่อความสงบเรียบร้อย
หรือเพื่อการสาธารณสุข หรือเพื่อศีลธรรม
ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะ
อเมริกาเป็นประเทศที่อาจกล่าวได้ว่า เป็นผู้นำวาทกรรมนี้มาใช้บ่อย
มากที่สุดนับแต่ Bill of rights
ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการโดยถูกใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญอเมริกันเมื่อปี
1791 สภาคองเกรสได้เพิ่มบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพ 4 ประการ ได้แก่
สิทธิและเสรีภาพในทางศาสนา สิทธิและเสรีภาพในการพูด
สิทธิและเสรีภาพในการสมาคม และสิทธิและเสรีภาพของสื่อ
จากหลักพื้น
ฐานด้านสิทธิเสรีภาพการพูดและการแสดงออกดังกล่าวทำให้กระบวนการประชาธิป
ไตยในอเมริกาถูกพัฒนาจนกลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมือง
โดยอาศัยหลักการสื่อสารจากคำพูดและรูป แบบการแสดงออกต่างๆ
ที่ไม่ขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนอันเป็นข้อจำกัดในแง่การละเมิดรุกล้ำสิทธิของ
คน อื่น และส่วนหนึ่งของสิทธิเสรีภาพในการพูด การแสดงออก
กระทำผ่านการวิพากษ์หรือวิจารณ์ จนเกิดเป็น รูปแบบและลักษณะการวิจารณ์
ซึ่งถือเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง