รายงาน: ก้าวข้ามโลกอคติมายา ก้าวหน้าสู่โลกจริง
"ลาว คำหอม" คำสิงห์ ศรีนอก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ร่วมเสวนา"ก้าวข้ามโลกอคติมายา ก้าวหน้าสู่โลกจริง" ในงาน "ฟ้าแดงที่ไร่ธารเกษม" อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา “ครบรอบ 82 ปี ลาว คำหอม" อังคารที่ 25 ธันวาคม 2555 เพียงคำ ประดับความ ดำเนินรายการ
ในโลกแห่งเสรีที่ดูเหมือนจะไร้กรอบกั้น กลับถูกจำกัดด้วยมายาคติอันคับแคบของจิตใจมนุษย์ ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ว่าคุณจะเห็นพ้อง หรือไม่เห็นพ้องก็ตาม ไม่ว่าจะมีจุดด่างพร้อยเกิดขึ้นมากแค่ไหน เหตุการณ์ที่ไม่น่าจดจำอย่างไร การอยู่ร่วมกันในสังคมก็ยังดำเนินต่อไป ภายใต้มายาคติหรือความเป็นจริงของแต่ละผู้คน
เพียงคำ ประดับความ : เราจะก้าวข้ามโลกอคติมายาได้อย่างไร
ลาว คำหอม : รู้สึกตื่นเต้นและเป็นเกียรติ
อยากพูดถึงความเปลี่ยนแปลงเฉพาะตัวเพื่อเป็นการปูพื้น
ในโลกของความเปลี่ยนแปลง
เมื่อสองสามวันก่อนมีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมาเยี่ยมและถามว่าบ้านเมือง
เรานี้ เราจะอยู่กันอย่างนี้หรือ ? ไม่ช่วยกันหาทางออกหรือ?
ก็ถามว่าเอาเข้าจริง ๆ
แล้วเราจะยังอยู่กับภาพที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้อย่างไร ผมตอบว่า
หลังการปฏิวัติ ครั้งสุดท้าย ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ไม่มีอำนาจใดที่จะสามารถทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่ไทยดั้งเดิม
ที่เป็นมาอยู่ก่อน ท่านถามว่าทำไม
อะไรที่ทำให้คุณคำสิงห์คิดว่าเปลี่ยนแปลงจนทำให้ประเทศไทยกลับไปสู่สถานะ
ดั้งเดิม อีกไม่ได้ ผมตอบสั้นๆ
ว่าปัญหาหลังจากปฏิวัติครั้งสุดท้ายได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศไทย
ซึ่งตื่นเต้นมากคือ พลังปัญญาและพลังความกล้าหาญได้ปรากฏตัวชัดเจนขึ้น
ยกตัวอย่างหนังสือที่ไม่เคยคิดว่าในชีวิตจะได้เห็นและได้อ่านคือฟ้าเดียว
กัน การที่ฟ้าเดียวกันเกิดขึ้น และดำรงอยู่ได้
แสดงให้เห็นว่าพลังปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ผมอ่านหลัก ๆ
ในหนังสือฟ้าเดียวกันนั้น ผมเห็นว่าผู้ทำได้ทำหน้าที่
เหมือนกำลังลบความขุ่นมัวในภาพกระจกโบราณให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น
เนื่องจากภาพโบราณ ผมหมายถึงประวัติศาสตร์
ที่แล้วมามันขมุกขมัวหลายแง่หลายมุม ภาพไม่ชัดเจนนัก
แต่หลังจากการปฏิวัติครั้งสุดท้ายพลังปัญญาได้งอกงามขึ้น
ปรากฏการณ์ที่มีหนังสือฟ้าเดียวกันเกิดขึ้น และอยู่มาจนถึงวันนี้
ผมมองว่าประวัติศาสตร์กำลังถูกชำระโดยคนรุ่นใหม่ ด้วยความกล้าหาญ
ด้วยความสงสัย ค่อยๆ ทำให้โลกสว่างขึ้น
ต้องยอมรับว่าพลังแห่งการชำระประวัติศาสตร์เกิดขึ้น อย่างน่าทึ่ง
เพราะฉะนั้นเป็นความเปลี่ยนแปลงหนึ่ง
เรื่องที่ 2 พลังปัญญา
ที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นในชีวิตนี้ การปรากฏตัวของคณะนิติราษฎร์ คณาจารย์
รุ่นใหม่มีพื้นฐานทางปัญญาชัดเจน กล้าหาญ สุขุม
และชี้ทางออกให้กับสังคมที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ปัญหาจริงๆ
ของประเทศไทยอยู่ที่ไหน จะแก้อย่างไร
คนแก่ไม่กล้าชี้หรอกครับปัญหาอย่างนั้น คณาจารย์โบราณก็ไม่ชี้หรอกครับ
คณาจารย์นิติราษฎร์ได้แสดงให้เราเห็นชัดเจนว่า ถ้าเราอยากมีสังคมปกติสุข
ต้องพยายามขจัดปัญหาเหล่านั้น และให้คำแนะนำว่าควรจะทำอย่างไร
ประการ ที่ 3 ที่เป็นสิ่งใหม่ ๆ หลังการปฏิวัติครั้งสุดท้ายคือพลังมวลชน
คือการเกิดขึ้นของกลุ่มคนเสื้อแดง จะด้วยอะไรก็ตาม ผมเคยพูดกับวัฒน์
วรรลยางกูร ว่าเราต้องขอบคุณ คุณสนธิ นายพลเอกสนธิ (พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน)
ที่ทำรัฐประหาร
เพราะการทำรัฐประหารก่อให้เกิดกระบวนการประชาชนที่ลุกขึ้นทวงสิทธิ์
ถ้าไม่มีรัฐประหาร เราไม่สามารถบ่มเพาะ
ประชาชนให้เกิดกลุ่มชนที่มีพื้นฐานหนักแน่น หนักหน่วง เติบโต ขยาย
แก่ตัวขึ้นมาได้ โดยปัจจัยเหล่านี้เองจึงไม่สามารถ ทำให้อำนาจใดๆ
ที่ดูเคยดูแลประเทศไทยก่อนการปฏิวัติครั้งสุดท้ายกลับมาได้อีก ด้วยพลัง 3
ปัญญา และพลังมวลชน จึงเป็นคำตอบที่ชัดเจน
หลังจากที่ตอบไป ผู้ใหญ่ก็ถามว่าดูไปแล้วก็ยังมีการเผชิญหน้ากันอยู่
ผมเห็นด้วย แล้วทางออกมีมั้ย ที่เราจะลดความเสี่ยงภัย
ประเทศไทยจะเกิดการเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งมั้ย
เราคนแก่ก็มองหน้ากัน ในที่สุด ท่านพยักหน้า
ผมถามให้คุณตอบว่ามีทางมั้ยที่จะหลีกเลี่ยงหายนะ
ถ้าจัดการไม่ดีกับพลังใหม่ที่เกิดขึ้น กับอำนาจเก่า ก็เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
อาจนำความหายนะมาสู่ประเทศไทย มีทางมั้ย ผมตอบว่ามีแน่นอน
คำตอบนั้นคือวิถีทาง ประชาธิปไตย
เราไม่มีทางปฏิเสธประชาธิปไตยได้อีกต่อไปแล้ว หลังการปฏิวัติครั้งสุดท้าย
ในมุมหนึ่งได้เกิดพลังมวลชน
และพลังปัญญาชนที่เคลื่อนเข้าหากันเกือบจะเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว
ซึ่งพลังอย่างนี้ไม่มีอะไรจะยับยั้งได้ เพราะฉะนั้น
คำตอบอยู่ที่ประชาธิปไตย
พวกท่านที่มีอำนาจจงพิจารณาว่าประชาธิปไตยจะเป็นคำตอบ
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2013/01/44538