หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ว่าด้วยทุน: เล่ม 2 ภาคที่ 1 การเปลี่ยนรูปของทุนและวงจรของมัน(บทที่2-4)

ว่าด้วยทุน: เล่ม 2 ภาคที่ 1 การเปลี่ยนรูปของทุนและวงจรของมัน(บทที่2-4)

 
บทที่ 2: การหมุนเวียนของ “ทุนการผลิต”

เราสามารถมองการหมุนเวียนของทุนซึ่งเป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ไม่มีจุดจบ โดยเริ่มที่ “ทุนการผลิต” (P)

P...... C’  => M’ => C.....P


เวลาเราพิจารณาส่วนนี้ เราต้องทราบว่าทุนเงินเดิม M กับทุนเงินส่วนเกิน m (ที่รวมกันเป็น M’) ถูกลงทุนใหม่อีกรอบพร้อมกันหรือไม่ เพราะอาจถูกใช้ในการบริโภคโดยนายทุน หรืออาจถูกนำมาลงทุนในที่อื่นก็ได้


• สินค้าที่ถูกบริโภค ต่างจากสินค้าที่เป็นทุนในการหมุนเวียนของทุน


• เศรษฐศาสตร์กระแสหลักมองว่าทุนนิยมเป็นแค่ระบบการผลิตสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่ทุนนิยมผลิตเพื่อสะสมและเป็นระบบหมุนเวียน


• ปริมาณสินค้าที่ถูกผลิตขึ้น ถูกกำหนดจากอัตราการขยายของกระบวนการผลิต ไม่ได้ถูกกำหนดจากอุปสงค์(ความต้องการ)ในตลาด ในขั้นตอนแรกการที่สินค้าจะถูกบริโภคหรือไม่ มิได้เกี่ยวกับกระบวนการหมุนเวียน เพราะประเด็นหลักคือการขาย


• สถานการณ์นี้นำไปสู่ การผลิตล้นเกิน การตัดราคา การล้มละลาย และวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตเศรษฐกิจไม่ได้มาจากการลดลงของอุปสงค์ในขั้นตอนแรก แต่มันมาจากการที่สินค้าขายไม่ออก ซึ่งไม่เหมือนกัน


• การที่สินค้าจากการผลิตจะตกอยู่ในมือพ่อค้าคนกลาง ไม่มีผลอะไรต่อการหมุนเวียนของทุนในเบื้องต้น เพราะนายทุนไม่สนใจว่าสินค้าจะถูกบริโภคหรือไม่ แค่ให้ความสำคัญตรงที่มันถูกขายหรือไม่


• ทุนเงินหรือเงิน ไม่ใช่จุดเริ่มต้นและจุดจบของการหมุนเวียน


• ทุนเงินที่จ่ายเป็นค่าจ้างให้กรรมาชีพ เป็นทุนที่นำมาแลกเปลี่ยนจากสินค้าที่กรรมาชีพเคยผลิตเองแต่แรก ไม่ใช่เงินของนายทุน แต่มันอยู่ในมือนายทุน


• ทุนที่เกิดจากระบบการผลิต แปรรูปจากสินค้าที่ถูกผลิต และเป็นตัวแทนของการทำงานในอดีต


• ในขณะเดียวกัน ทุนเงินที่เป็นตัวแทนของการทำงานในอดีต เป็นตัวแทนของสินค้าที่จะผลิตในอนาคตด้วย (ภาพรวมแบบวิภาษวิธีคือ: อดีต ปัจจุบัน อนาคต)


• ค่าจ้างเป็นเงินจากการทำงานของคนงานในอดีต และ เป็นตัวแทนของสินค้าที่คนงานจะซื้อในอนาคตเพื่อเลี้ยงชีพ


• ทุนเงินมีหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงสินค้า ให้เป็นปัจจัยการผลิตใหม่ และแรงงานรับจ้างใหม่


• อย่าลืมว่ามูลค่าของปัจจัยการผลิตเปลี่ยนแปลงตามประสิทธิภาพการผลิตด้วย มันไม่คงที่


• ถ้า
“ทุนเงิน” ค้างอยู่ในสภาพเงิน หรือถูกใช้ในการบริโภค โดยไม่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลง มันถือว่าเป็น “ทุน” ไม่ได้ มันเป็นแค่ “เงิน” หรือในกรณีที่ยังไม่นำมาใช้ เป็น “ทุนเงินที่จะใช้ในอนาคต”

• ถ้านายทุนใช้ทุนเงินทีละนิดทีละหน่อยในกระบวนการผลิต จะมีการสะสมเงิน นี่คือบทบาทของทุนเงิน คือเป็นทุนที่ออมไว้ได้ บทบาทอีกอันคือใช้ซื้อปัจจัยการผลิตและพลังการทำงาน(สินค้า)


• เราไม่สามารถเห็น ทุนเงิน ทุนสินค้า และทุนการผลิต แบบแยกส่วนโดดเดี่ยวได้


• เราจะเห็นปรากฏการณ์ของ
“ทุนเงิน” เมื่อมีการหยุดพัก ชะลอ กระบวนการผลิต ไม่ว่าการหยุดนี้จะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี หรือจะมาจากเจตนาของนายทุนหรือไม่

• ทุนเงินอาจใช้ในรูปแบบ “สัญญาที่จะจ่ายในอนาคต” ผ่านการกู้ยืม แต่สัญญาดังกล่าวไม่ใช่ทุนเงินจนกว่ามันจะเข้าไปในกระบวนการผลิต


• เวลามีการลงทุนรอบต่อไป 
                                                                                        
 

สัดส่วน L : mp จะมีแนวโน้มลดลง ไม่คงที่


• มูลค่าส่วนเกินที่แปรไปเป็นทุนเงิน อาจไม่นำมาลงทุนใหม่ทันที อาจต้องรอเพื่อสะสมให้เพียงพอก่อน ดังนั้นอาจถูกนำมาฝากในธนาคาร หรือนำไปซื้อหุ้น ซึ่งไม่เกี่ยวกับระบบการผลิตเดิม


• เงินออมบางส่วน ที่เก็บไว้ใช้ในยามลำบากของธุรกิจ ไม่เหมือนทุนเงินที่รอการสะสมเพื่อลงทุนต่อ เพราะมันจะไม่นำไปสู่การขยายการผลิต



บทที่ 3: การหมุนเวียนของ “ทุนสินค้า”


C’ => M’ => C .....P ....C’


• เวลาเราพิจารณาการหมุนเวียนของ
“ทุนสินค้า” จะเห็นว่าทุนสินค้าที่นายทุนคนหนึ่งผลิต กลายเป็น “ต้นทุนสินค้า” ของนายทุนอีกคน เช่นเครื่องจักร

• ซึ่งแปลว่าเราต้องมองการหมุนเวียนของทุนสินค้าในระดับสังคมโดยรวม มองแค่ในระบบหมุนเวียนของนายทุนหนึ่งคนไม่ได้



บทที่ 4: สามวงจรของทุน


สามวงจรของทุน คือการหมุนเวียนของ
“ทุนอุตสาหกรรม” คือ ทุนเงิน-ทุนการผลิต-ทุนสินค้า ในกระบวนการเพิ่มมูลค่า ซึ่งแรงผลักดันหลักคือการพยายามเพิ่มมูลค่า ไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของมนุษย์

• ทุนอุตสาหกรรมประกอบไปด้วยสามวงจรที่พูดถึงในบทที่ 1-3 และในสังคมโดยรวมทุนอุตสาหกรรมปรากฏในรูปแบบสามวงจรดังกล่าวในขั้นตอนต่างๆ ตลอดเวลา


• ทุนแยกเป็นส่วนต่างๆ ตามขั้นตอนดังกล่าว แต่ในขณะเดียวกันเป็นองค์รวมของสามวงจรเสมอ


• ระบบทุนนิยมไม่ใช่ภาพนิ่ง มันอธิบายด้วยภาพนิ่งไม่ได้ ต้องมองเป็นภาพเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนแปลงเสมอ ส่วนต่างๆเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบอื่นเสมออย่างต่อเนื่อง


• ต้องมองทั้งส่วนแยกและองค์รวมพร้อมกัน เช่นนายทุนในฐานะปัจเจก และนายทุนทั้งหมดพร้อมกัน


• การหมุนเวียนนี้ดำเนินต่อได้ต่อเมื่อมีการเพิ่มมูลค่าของทุน แต่ถ้ามีปัญหาตรงนี้ จะเริ่มขาดเสถียรภาพ


• เนื่องจากการเพิ่มมูลค่าเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก
“อัตรากำไร” ของนายทุนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเพิ่มกำไรเป็นเป้าหมาย.... และสัดส่วนทุนแปรผันที่ใช้จ้างงานจะลดลง เมื่อเทียบกับทุนคงที่


“ระบบทุนนิยมดำรงอยู่ไม่ได้ ถ้าการบริโภคเสพสุขส่วนตัวของนายทุนเป็นเป้าหมายในการผลิต”

• ระบบทุนนิยมเป็นระบบโลก มีตลาดโลก มีเงินโลก

• ในยุคเริ่มต้น สินค้าบางอย่างที่ใช้ในระบบทุนนิยม ผลิตในระบบอื่น(เช่นจากทวีปอื่น) แต่มันกลายเป็น “ทุนสินค้า” เมื่อเข้ามาในระบบการผลิตทุนนิยม

• เงินให้กู้ กับเงินจริง ไม่ต่างกัน เพียงแต่ใช้โดยนายทุนในระยะเวลาต่างกันของวงจรการผลิตเท่านั้น
 
• “เงิน” เกิดขึ้นแต่แรกในระบบพาณิชย์ ก่อนทุนนิยม แต่ทุนนิยมพิเศษตรงที่นำ “แรงงาน” มาเป็นสินค้า เพื่อพัฒนาระบบการผลิตอย่างรวดเร็ว

• ถ้าวงจรการหมุนเวียนของทุนเร็วขึ้น เงินจำนวนหนึ่งสามารถขับเคลื่อนการหมุนเวียนของทุนในปริมาณที่มากขึ้น
 
• ถ้าในการผลิต เครื่องจักรใช้ได้ 10 ปี มูลค่ามันจะค่อยๆถูกทำลายผ่านความสึกหรอปีละ 10%

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/08/2-1-2-4.html 

เมื่อ"คำ ผกา"เขียนเรื่องข้อดีของการทำรัฐประหาร ปี 2549 ???

เมื่อ"คำ ผกา"เขียนเรื่องข้อดีของการทำรัฐประหาร ปี 2549 ???


 
อาทิตย์นี้จะเขียนเรื่องข้อดีของการทำรัฐประหาร
 
เชื่อไหมว่าหากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 ฉันจะต้องเป็นหนึ่งในผู้เอาดอกกุหลาบไปไว้อาลัยเรือนแถวไม้ที่กำลังจะถูกรื้อที่อัมพวาแน่นอน

และหากไม่มีการรัฐประหารปี 2549 ฉันจะทำอะไรอีก ฉันจะเชื่ออย่างที่ ว. วชิรเมธี เขียนว่า "อย่างมงายในวิทยาศาสตร์" นั่นเป็นเพราะคนในเจเนอเรชั่นของฉันเติบโตมาในยุคของปลายของกระแสนิวเอจของสังคมไทย

"นิวเอจ" เหล่านี้ทำอะไรบ้าง

พวกเขาอยากกลับไปหาภูมิปัญญาของท้องถิ่น รื้อฟื้นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ฟื้นความเข้มแข็งของชุมชน

กลับไปค้นหาปัญญาญาณที่มีอยู่ในศาสนา ความเชื่อของท้องถิ่นที่ถูกกดทับด้วยวิธีคิดและองค์ความรู้ ระบบเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์

รังเกียจชาตินิยมที่ไปทำลายความหลากหลายของความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม ชาติพันธุ์ ภาษา

ชิง ชังทุนนิยมที่ไปเปลี่ยนวิถีชีวิตชนบทหรือท้องถิ่นที่เคยพึ่งตนเองได้ให้ต้อง ตกเป็นทาสของ บริโภคนิยม จากที่เคยเพาะปลูกแบบไม่ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาก็ต้องพึ่งปุ๋ย พึ่งยาฆ่าแมลงจากนายทุน จากที่เคยปลูกพืชผัก ข้าวหลากหลายก็หันไปปลูกพืชเชิงเดี่ยว เมื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็ต้องใช้เงินซื้อ เช่น เลิกปลูกข้าวหันมาปลูกมันสำปะหลังก็ต้องใช้เงินซื้อข้าวกิน แทนที่จะปลูกข้าวกินเองได้เหมือนสมัยก่อน

จากที่เคยรักษาโรคภัยไข้ เจ็บด้วยองค์ความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมด้วยการใช้สมุนไพรก็ต้องหันมาพึ่งการ แพทย์สมัยใหม่ ราคาแพง ชาวบ้านจึงแปรสภาพจาก มนุษย์ที่เคยอุดมไปด้วยปัญญา ความรู้ สมบูรณ์ ร่ำรวยไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม จึงถูกกัดกร่อนทำลายให้หมดศักดิ์ศรี แปรสภาพมาเป็น ชาวบ้านผู้ยากจน โง่เขลา และหมดปัญญาจะพึ่งตนเอง ทั้งเป็นเหยื่อนายทุนและนักการเมือง

กระแส นิวเอจยังเฝ้าประณามระบบการศึกษาของรัฐว่ามุ่งสร้างอำนาจครอบงำ อันมีความจริง แต่ทางออกของบรรดานิวเอจคือการออกไปสร้างโรงเรียนทางเลือก อันท้ายที่สุดก็มีแต่บุตรหลานของผู้มีทางเลือกเท่านั้นที่ได้เรียนโรงเรียน ทางเลือก บรรดาบุตรหลานผู้ไม่มีทางเลือกจึงถูก "ครอบงำ" จากระบบการศึกษาต่อไป

อนาคตข้างหน้า บุตรหลานผู้ไม่มีทางเลือกก็ต้องกลายเป็น "ขี้ข้า" ของบุตรหลานผู้มีทางเลือกต่อไปอย่างไม่มีที่สุด

8 ปี 'Munir', ความตายและความท้าทายของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในอาเซียน


8 ปี 'Munir', ความตายและความท้าทายของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในอาเซียน

 

 

"You chose to be Human Rights Defender by your choice. When you chose it, be it. It's your country and your duty to defend. Also be sure that you will be attacked. There's fear and risk to be HRDs. People die every day but those die during their struggle will be remembered. If you couldn't confront fear, then leave."
Maina Kiai,
UNSR on the rights to freedom of peaceful assembly and of association 
[1]

“คุณเลือกที่จะเป็นนักปกป้อง สิทธิมนุษยชน เพราะคุณตัดสินใจที่จะเป็น เมื่อคุณเลือกแล้ว มันคือประเทศของคุณ, คือหน้าที่ของคุณ แน่นอนว่าคุณจะถูกข่มขู่ คุกคาม หรือแม้กระทั่งถูกทำร้าย การเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนนั้นมีทั้งความเสี่ยงและความหวาดกลัว มีคนเสียชีวิตทุกวันจากการยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชน, แต่การตายของเขาหรือเธอระหว่างการต่อสู้จะถูกจดจำ ถ้าคุณไม่สามารถเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวเหล่านั้น, อย่าเลือกเส้นทางนี้

คำพูดข้างบนนั้นเป็นของ Maina Kiai ผู้ตรวจการพิเศษสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบและเสรีภาพในการ สมาคม, กล่าวไว้ในงานประชุมนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเอเชียครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 3-5 กันยายน 2555 ที่กรุงเทพฯ หากพูดกันในเชิงหลักการ, ไม่ควรมีใครต้องเสียชีวิตหรือแม้กระทั่งสูญเสียอิสรภาพจากการปกป้องสิทธิ มนุษยชน แต่ในความเป็นจริง, นักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนแล้วคนเล่าถูกข่มขู่, คุกคาม, ทำร้ายจนบางครั้งถึงแก่ชีวิต เพียงเพราะเขาหรือเธอเหล่านั้นเชื่อว่า ทุกคนมีสิทธิในความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน

7 กันยายน 2012 เป็นวันครบรอบ 8 ปีแห่งการจากไปของ Munir Said Thalib นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมต่อต้านการทุจริตที่โดดเด่นที่สุดคน หนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มูเนียร์เป็นผู้ก่อตั้ง Kontras องค์กรที่มีพันธกิจส่งเสริมและปกป้องผู้ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนใน อินโดนีเซีย แปดปีที่แล้ว, มูเนียร์ถูกวางยาพิษจนถึงแก่ความตายบนเครื่องบินของสายการบิน Garuda ซึ่งเป็นสายการบินของรัฐบาลอินโดนีเซีย ขณะกำลังเดินทางไปประเทศเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาต่อในสาขากฎหมายระหว่าง ประเทศและสิทธิมนุษยชนที่มหาวิทยาลัย Utrecht ผลการชันสูตรศพบ่งชี้ว่ามูเนียร์น่าจะถูกวางยาด้วยสารหนูขณะเปลี่ยนเครื่อง ที่สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์ เพราะมูเนียร์เปิดโปงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของกองทัพอินโดนีเซียในติมอร์ ตะวันออก, อาเจะห์ และปาปัวตะวันตก รวมถึงการลักพาตัวนักกิจกรรม 13 คนในช่วงปลายทศวรรษที่ 90

หลังการเสียชีวิตของมูเนียร์, Polycarpus  Priyanto นักบินของสายการบินการูดาที่ไม่ได้มีตารางการบินในวันที่ 7 กันยายน 2004 และใช้เอกสารปลอมในการขึ้นเครื่อง ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใส่สารหนูลงในน้ำส้มของมูเนียร์ระหว่างรอเปลี่ยน เครื่องที่สิงคโปร์ ในปี 2008 ศาลฎีกาตัดสินจำคุก Priyanto 20 ปีในข้อหาฆาตกรรม รวมถึงอดีตสองผู้บริหารของสายการบินการูดา Indra Setiawan และ Rohainil Aini ที่ถูกลงโทษจำคุกคนละหนึ่งปีในข้อหาช่วยเหลือและสนับสนุนการฆาตกรรมมูเนียร์ แต่ภรรยาม่ายและกลุ่มนักรณรงค์เชื่อว่า นายทหารยศพลตรี Muchdi Purwopranjono อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองอินโดนีเซีย (Indonesia’s Intelligence Agency) ในเวลานั้นเป็นคนบงการสังหารนักปกป้องสิทธิมนุษยชนผู้ท้าทายอำนาจรัฐอย่างมู เนียร์ เพราะมีหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์ระหว่าง Priyanto และ Purwoprajonon ก่อนการเสียชีวิตของมูเนียร์ [2] ใน ปี 2009 มีความพยายามที่จะนำตัว Muchdi เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่มีเหตุผิดปกติหลายประการเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการสืบพยาน เช่น พยานไม่มาปรากฏตัวหรือพยานขอถอนคำให้การในศาล ทำให้สุดท้ายศาลสั่งยกฟ้องในคดีของพลตรี Muchdi Purwopranjono [3]


(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/09/42545

รายการ Go Global

รายการ Go Global 




Go Global ประจำวันที่ 9 กันยายน 2555 
ประเมินนโยบายต่างประเทศรัฐบาลเพื่อไทย สอบผ่านหรือสอบตก
http://shows.voicetv.co.th/goglobal/49835.html

Go Global ประจำวันที่ 2 กันยายน 2555
ฮิลลารีเยือนแปซิฟิคใต้ มุ่งลดอิทธิพลจีนในภูมิภาค
http://shows.voicetv.co.th/goglobal/49168.htm 

ปฎิญญาหน้าศาล

ปฎิญญาหน้าศาล
 

 

 

 

ปฎิญญาหน้าศาล บายศรี เอิ้นขวัญ รับเพื่อน 112 กลับสู่เสรี 9 9 2012
http://www.youtube.com/watch?v=TgyhcqgzGEI&feature=player_embedded
 
1 อ จรัญ ปฏิญญาหน้าศาล 9 9 2012
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=GHpnB1WcE5E 

2 ณัฐ ปฏิญญาหน้าศาล 9 9 2012
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=hCl7ch7F3UU 

3 สุริยัน ปฏิญญาหน้าศาล 9 9 2012
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=KCegk_hWMHA 
 
4 สุชาติ ปฏิญญาหน้าศาล 9 9 2012
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=xNT5yLVYdH0 

หนังเปิดเผยความหลอกลวงของบุ๊ช...สะท้อนไทยแลนด์แดนตอแหล

หนังเปิดเผยความหลอกลวงของบุ๊ช...สะท้อนไทยแลนด์แดนตอแหล

 




 

เมื่อดู Ferenheit 9/11  (หนังปี 2547)เห็นความหลอกลวงของ บุ๊ช ผู้นำประเทศอเมริกาแล้ว...ช่างเหมือนไทยแลนด์แดนตอแหลจริงๆ

นอกจากนี้...บุ๊ชมีประวัติหนีทหารและแก้ไขหลักฐาน กรณีมาร์คก็คงคล้ายกัน...ไม่น่าเชื่อผู้นำบ้าๆช่างมี DNA เหมือนกันจริงๆ

ก่อนหน้านั้นเมื่อสองเดือนก่อน หนังเรื่องนี้ถูกค่ายใหญ่ ”ดิสนีย์” สั่งบริษัทในเครือคือ “มิราแม็กซ์” ซึ่งร่วมลงทุนด้วยห้าล้านเหรียญ ให้ดองการฉายอย่างถาวร แต่หลังหนังได้รางวัลปาล์มทองคำในปลายเดือนพฤษภาคม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป “มิราแม็กซ์” ได้ขายสิทธิให้ “ไลอ้อน เกทส์” บริษัทผู้จัดจำหน่ายหนังขนาดกลาง ซึ่งตกลงนำหนังเข้าฉายทั่วประเทศ ใน 868 โรงทั่ว 50 รัฐในอเมริกาโดยทันที 


รอยเตอร์รายงานในวันที่ 24 มิถุนายนว่า ในวันแรกของการเข้าโรงที่นิวยอร์ก ซิตี้ หนังสร้างประวัติการณ์ด้วยการทำยอดจำหน่ายตั๋วถึง 49,000 ดอลลาร์ ที่โรงหนัง โลว์’ส วิลเลจ เซเว่น ใกล้ถนนบรอดเวย์ หรือสูงที่สุดนับตั้งแต่ยอดจำหน่ายตั๋วที่เดียวกันได้ 43,435 ดอลลาร์ เมื่อปี 1997 จาก "Men in Black" และ 24,013 ดอลลาร์จาก "Crouching Tiger, Hidden Dragon" ในปี 2000

ในวันที่ 27 มิถุนายน หนังก็สรุปยอดจำหน่ายสัปดาห์แรกเป็นอันดับหนึ่งในอเมริกา ทั้งที่ฉายส่วนใหญ่ในโรงหนังอาร์ตขนาดเล็ก และได้ฉายน้อยโรงมากกว่าอันดับสองที่ฉายกว่า 3,000 โรง แต่สามารถทำเงินไปได้ถึง 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐในหนึ่งสัปดาห์
 

รางวัลคานส์จึงไม่ใช่แค่ใบประกาศเกียรติคุณ แต่เป็นใบโฆษณาชั้นดีเรียกความสนใจของมหาชนทั่วไป และเบิกทางนำหนังเข้าสู่ความสำเร็จเหลือเชื่อในด้านยอดตั๋วเข้าชม ทั้งที่หนังสารคดีเรื่องนี้ไม่ได้มีความแตกต่างพิเศษมาก เมื่อเทียบกับหนังสารคดีอื่นๆ ของคนทำสารคดีจำนวนมาก นอกเหนือจากว่ามันวิพากษ์วิจารณ์ จอร์จ บุช ที่คนจำนวนมากกำลังต่อต้านเขาจากสงครามอิรัก 
Posted Image 

Fahrenheit 9/11 เป็นภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการแฉเรื่องของบุซ หลังเครื่องบินชนตึก World Trade Center ในวันที่ 11กันยายน 2001
แน่นอนครับตอนหนังฉายเรื่องนี่ชาวอเมริกันผู้สนับสนุนบุชนั้น ล้วนด่าไมเคิล มัวร์ไม่ยั้ง แถมยังกล่าวหาชาวอเมริกันที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็น "พวกขายชาติ"

แต่กระนั้นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็มีความเห็นว่า เราควรเปิดใจครับ เปิดใจยอมรับความจริงอยู่ตรงหน้า เราควรเปิดมุมมองและความรู้ทางการเมืองใหม่ๆ อย่างที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ระบุถึงสิทธิอย่างหนึ่งที่ชาวอเมริควรมีนั่นก็ คือ เสรีภาพทางการพูด หรือ Freedom of Speech
Posted Image

 

ตอน 1
ในหนังนั้นนำประเด็นหลักคือ

บุชโกงการเลือกตั้งในปี 2000 จนชนะ AlGore อดีตรองประธานาธิบดี โดย ไมเคิล มัวร์ รวบรวมข้อมูลจากหลักฐานต่างๆ ตั้งแต่ก่อนประธานาธิปดีบุชจะเข้ามารับตำแหน่งอย่างไม่โปร่งใส โดยที่คู่แข่งของบุช ในการเลือกตั่งครั่งนั่นคือ AL GORE ซึ่งมีคะแนนสูงกว่า บุช แต่ ศาลสูงสุดของสหรัฐซึ่งมีเพื่อนผู้พ่อของจอส บุช แต่งตั่งบุชอย่างเป็นเอกฉันท์ ทั่งๆ ที่ฝ่ายสืบสวนของรัฐตรวจสอบการนับคะแนนดูก็พบว่า AL GORE คือฝ่ายชนะแน่นอน แต่กระนั้นฝ่ายศาลสูงก็เข้าข้างบุช คณะกรรมการการเลือกตั่งก็เป็นฝ่ายบุช นอกจากนี้ยังมีการตัดสิทธิ์คนลงคะแนนที่เป็นคนผิวสีด้วย ส่งผลให้คนผิวสีเกิดการจราจลตอนประธานาธิปดีบุชนั่งขบวนรถเพื่อไปรับตำแหน่ง ประธานาธิปดี (ยังไม่ถึงเหตุการณ์ 9/11)

Posted Image 

ตอน 2 
จาก นั้นหนังแฉความสัมพันธ์ระหว่างบุชกับราชวงศ์ซาอุและแม้แต่บินลาเดน แบบว่าซับซ้อนมากๆ คนโน้นเป็นญาติฝ่ายโน้น คนนั้นเป็นญาติฝ่ายนี้ และหนังก็นำเสนอการพักผ่อนถึง 42% ของบุชที่ฟาร์มในเท็กซัสและที่อื่นๆ ส่วนใหญ่บุซชอบเล่นตีกอล์ฟ ไม่ก็ทำไร่โคบา
Posted Image
 
ตอน 3
ไมเคิล มัวร์ ก็ออกมาแฉว่าบุซหนีการเกณฑ์ทหาร โดยไม่ยอมไปรบที่เวียดนาม แต่มาเป็น National Guard (หน่วยป้องกันประเทศ) แทน และเพื่อนบุซที่หนีเกณฑ์ทหารก็เช่นกัน ที่ชื่อ National guard ต่อมาได้เป็นคนช่วยประสานความสัมพันธ์ระหว่างบุชกับราชวงศ์ซาอุ(นอกจากนี้ jame r black ยังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินให้ บินลาดิน และเครื่องบินให้บินลาดิน ในขณะที่ จอสบุชผู้พ่อเป็นประธาน ซีไอเอ และ jame r black สนับสนุนทางการเงินให้บุชทำธุรกิจน้ำมัน ในแท๊กซัสตะวันออก โดยบินลาดินสนับสนุนทางการเงินผ่าน jame r black โดยมีหนังสือยืนยัน)'
Posted Image 

ตอน 4
จากนั้นก็ถึงเหตุการณ์ 9/11 ซะที รู้ไหมว่าเวลานั้นบุซอยู่ที่ไหน เขากำลังไปฟังเด็กเล่านิทานที่โรงเรียนอนุบาลครับ ตอนนั้นเขากำลังนั่งฟังเด็กกำลังเล่านิทานเรื่องเป็ดน้อย แล้วพอบอดีการ์ดมากระซิบหูท่านว่าเครื่องบินชนตึกครับท่าน(ชนตึกลำแรก)หนัง ก็ฉายใบหน้าอันงี่เง่าของท่านประธานาธิบดีและการนิ่งเฉยอยู่นานและหลังจาก ที่ทราบข่าวเครื่องบินชนตึกลำที่สองบุซก็อ่านหนังสือให้เด็กที่โรงเรียนฟัง โดยไม่สนอะไรทั้งนั้น....(ฮ่าดี)


หลังเกิดเหตุการณ์ วันที่11 เดือน9 จะมีการระงับการบินทั่วราชอาณาจักรในอเมริกาใช่เปล่าครับ แต่เชื่อหรือไม่มีเที่ยวบินหนึ่งสามารถบินได้ และเที่ยวบินนี้มีผู้โดยสารคือครอบครัวของบินลาดินจากสหรัฐไปซาอุฯ ทั้งๆ ที่ เที่ยวบินอื่นทั่งหมดทุกระงับ และใครที่อนุมัติเที่ยวบินนั้นฟ่ะ?

Posted Image

ตอน 5
หลังเกิดเหตุการณ์ ในการตรวจของขึ้นเครื่องบิน กลับให้เอาไม้ขีดไฟขึ้นเครื่องได้ทั้งๆ ที่มีข่าวคนร้ายพยายามใช้ไม้ขีดจุดชนวนระเบิดในขณะขึ้นเครื่องบินแท้ๆ แต่สิ่งของที่ห้ามขึ้นเครื่องเด็ดขาดกลับกลายเป็นนมแม่ในขวดนมซึ่งดูยังไงก็ ไม่อันตรายสักนิด!!


จากนั้นหนังก็แฉว่าอเมริกานั้นเป็นประเทศปลอดภัยที่สุดในโลกหรือเปล่า แน่นอนหนังแฉแหลกเลยว่ารัฐโอไรกอนของอเมริกา ทั้งรัฐมีตำรวจแค่8คน เพราะโดนตัดงบในคณะการบริหารของบุซ แถมแบบชั่วคราวด้วยไม่ได้ประจำแต่อย่างใด

Posted Image

ตอน 6
หลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 บริษัทที่ได้ผลประโยชน์ที่สุดคือ คาลายกรุ๊ป เป็นบริษัทผลิตอาวุธที่มี บุซผู้พ่อเป็นที่ปรึกษาอาวุโส โดยหุ้นส่วนรายใหญ่คือคนในตระกูลบินลาดิน ซึ่งหุ้นของบินลาดินได้ถอนหุ้น แต่กระนั้นก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีแหละ


ในขณะที่เกิดเหตุเครื่องบินชนตึกทั้ง2ตึก บุซไม่อนุมัติให้ฝ่ายสืบสวน สืบสวนในเรื่องนี้ แต่บุชต้องการจัดตั่งคณะกรรมการสืบสวนเองโดยพละการ ซึ่งไม่รู้เขากลัวอะไรหนักอะไรหนา กลัวมันผิดพลาดหรือไง นอกจากนี้ผลการสอบสวนถูกทำเนียบขาวเซ็นเซอร์เกือบทุกบรรทัด

Posted Image

ตอน 7
จากนั้นหนังก็ไล่มาเรื่องสงคราม ไล่ตั้งแต่อเมริกาบุกอัฟกานิสถาน โดยใช้จำนวนทหารบกแค่ 16,000 นาย ซึ่งจำนวนตำรวจในเมืองแมนฮัสตันยังเยอะกว่าอีก และการยกทัฟไปครั้งนี้ กองกำลังพิเศษของสหรัฐไม่ได้เข้าไปในที่กลบด้านของบินลาดินถึง 2 เดือน!!

Posted Image

ตอน 8
เมื่อการรบที่อัฟกานิสถานเสร็จสิ้น บุซก็แต่งตั่ง ประธานาธิปดีอัฟกานิสถาน คือ คาวิสคาไซ ซึ่งคาวิสคาไซ เดิมเป็นที่ปรึกษา ยูโนแคล ซึ่งอยู่ในเครือของบุซ เพื่อสะดวกในการสร้างท่อส่งแก๊ซเชื่อมระหว่าง3ชาติ!!
Posted Image

ตอน 9
จากนั้นก็มาถึงฉากสหรัฐบุกอีรัก โดยบุซอ้างว่าเพื่อล่าบินลาเดน ทั้งๆ ที่มีรายงานว่าบินลาดินกลบดานอยู่ในอัฟกานิสถาน แต่ในการประชุมบุซเอาแต่พูดเรื่องอีรัก แล้วอีรักเกี่ยวอะไรกับพี่ล่ะครับ ประเทศอีรักไม่ได้เป็นศัตรูต่ออเมริกาสักหน่อย

ตอน 10
ฉากที่ผมฮ่าที่สุดในหนังเรื่องนี้คือ ฉากที่บุซบอกว่าเรามีพันธมิตรร่วมรบที่แข็งแกร่ง จากนั้นหนังก็บอกว่าพันธมิตรที่บุซบอกนั้นมีประเทศอะไรบ้างฉากนี้ฮ่าสุดๆ ครับ คือประเทศที่บุซบอกนั้นก็มี สาธารณพาเลา, คอสตาริก้า,ไอซ์แลนด์,โรมาเนีย(อยากจะบ้าตายประเทศเหล่านี้แทบไม่มีกองกำลัง ทหารเป็นชิ้นเป็นอันเลย ดังนั้นทหารที่บุกอีรักส่วนใหญ่เป็นอเมริกันทั้งนั้น ฮ่า.....)
Posted Image 


หนังสารคดีเรื่องนี้กล่าวหาประธานาธิบดี จอร์จ บุช จูเนียร์ ที่พลิกล็อกได้รับรางวัลปาล์มทองคำ ในเทศกาลหนังคานส์ล่าสุด และกลายเป็นกระแสใหม่ที่สร้างปรากฏการณ์ให้แวดวงหนังสารคดีทั่วโลก ซึ่งมีผู้เบิกทางได้พยายามฟันฝ่ากันมายาวนาน และไม่เคยมีเค้าความสำเร็จแบบนี้ สำหรับหนังสารคดีการเมืองได้รางวัลใหญ่สูงสุดในคานส์ เป็นครั้งแรกในรอบ 48 ปี 
Posted Image

ไทยเธียเตอร์ 
ภาพยนตร์คุณภาพหาชมได้ยาก ที่ทางไทยพีบีเอสคัดสรรมาให้คุณชมถึงบ้าน
เวลาออกอากาศ  :  ทุกวันเสาร์  เวลา 22.05 - 23.00 น.
http://program.thaipbs.or.th/entertainmentprogram/article3355.ece 

โดย ลุงธรรม
(ที่มา)
http://www.internetofreedom.com/index.php?/topic/14992