19 กันยาประชาชนไทยรวมใจต้านรัฐประหาร 19-9-2011
http://speedhorse.blogsite.org/read.php?tid=347
วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554
สิ่งที่เวทีเสวนาครบรอบ 5 ปี รัฐประหาร 19 กันยาไม่ได้พูด
ชำนาญ จันทร์เรือง
ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ผมจะชี้ให้เห็นก็คือ การ “ฮั้ว” กัน ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับรัฐบาลที่ประชาชนเลือกเข้าไปบริหารประเทศ แต่ก่อนที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการฮั้วกันอย่างไร นั้น ผมขอนำเอาคำจำกัดความที่เสาวลักษณ์ เชฎฐาวิวัฒนา (2539) ได้อธิบายความหมายของคำว่า “ฮั้ว” ในทางธุรกิจ ไว้ในคู่มือไขปริศนาดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่ผมจะยกตัวอย่างต่อไปการฮั้ว (Collusion) คือ การทำข้อตกลงในทางลับระหว่างบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไป ที่ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์มากกว่าบริษัทอื่นๆ หรือมากกว่าที่ควรจะได้รับ
ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือก็คือการแบ่งกันกินนั่นเอง เพราะเป็นการทำข้อตกลงในทางลับระหว่างบริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปที่ ประกอบธุรกิจประเภทเดียวกันหรือมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ทั้งสองบริษัทได้ประโยชน์มากกว่าบริษัทอื่นๆ หรือมากกว่าที่ควรจะได้รับ การฮั้วกันเกิดขึ้นในธุรกิจทุกระบบไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ และอาจจะถูกต้องตามกฎหมายหรือผิดกฏหมายก็ได้แล้วแต่การยอมรับของสังคม และข้อกฎหมายในประเทศแต่ละประเทศ เช่น การกำหนดราคาและปริมาณการผลิตน้ำมันร่วมกันของกลุ่มโอเปค เป็นต้น
ฉะนั้น เมื่อหันกลับมาพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบันในโอกาสครบรอบ 5 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยาแล้วจะเห็นได้ว่า....
(อ่านต่อ)...http://www.prachatai.com/journal/2011/09/37020
คำถามถึง 'ขุนนางเอ็นจีโอ' ต่อกฎหมาย 'ภาคประชาชน' :วุฒิสมาชิกต้องมาจากการเลือกตั้งหรือไม่?
Tue, 2011-09-20 23:06
ประสาท ศรีเกิด
(อ่านต่อ).... http://www.prachatai.com/journal/2011/09/37002
เสวนา5ปีรัฐประหาร..ม/ช เมื่อ 21 กย 2554
ปฏิรูปการเมืองรอบใหม่ ไปให้พ้นจากระบอบอำมาตย์ 21 9 2011
http://www.youtube.com/watch?v=A6vi3FK59LA&feature=player_embeddedทำไมกฏหมาย 112 ปฏิรูปไม่ได้ และต้องยกเลิก
ใจ อึ๊งภากรณ์
เมื่อทหารก่อรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ทหารอ้างว่ากระทำเพื่อ “ปฏิรูป” และ “ปกป้อง” ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐประหารนี้ถือว่าเป็นการดึงสถาบันกษัตริย์เข้ามาในการให้ความชอบธรรมทางการเมืองของทหาร ก่อนหน้านั้นฝ่ายพันธมิตรฯ และคนอย่างหมอนิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็เรียกร้องให้ประมุขใช้มาตรา ๗ เพื่อปลดนายกรัฐมนตรีทักษิณออกจากตำแหน่ง ซึ่งประมุขไม่ยอมทำ ต่อจากนั้นทั้งพันธมิตรฯ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ก็อ้างถึงประมุขอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมแบบนี้ของทหาร พันธมิตรฯ ประชาธิปัตย์ หมอนิรันดร์และคนอื่นๆ เป็นตัวอย่างของการที่ฝ่ายเสื้อเหลืองดึงสถาบันกษัตริย์มาอ้างเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายตนเองตลอดระยะเวลาที่มีวิกฤตการเมืองในไทย และสิ่งที่เป็นเครื่องมือประกอบที่สำคัญของฝ่ายเสื้อเหลืองคือกฏหมายหมิ่นฯ 112
หัวหน้า ปชป.กล่าวว่า แต่แน่นอนว่าใครร่วมชุมนุมแล้วมีความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตนก็เคยบอกสมัยเป็นนายกฯว่าไม่ควรดำเนินคดี อย่างนี้ควรจะแยกแยะออกว่าอะไรเป็นคดีอาญาอะไรเป็นคดีการเมือง เมื่อถามว่า มองว่าข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ (คอป.) กำลังถูกฝ่ายการเมืองใช้เป็นเครื่องมือล้างผิดให้กับคนเสื้อแดงแล้วหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่ คอป.เสนอเป็นแค่หลักการ ซึ่งหากแยกแยะได้ว่าอะไรเป็นความผิดทางการเมือง อะไรต้องใช้มาตรการพิเศษ มันก็ไปได้ แต่ไม่ใช่ตีขลุมไปหมด
มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=
-----------------------------------------------------------------------------------
มีใครเคยได้ยินไอ้เฮงซวยนี่พูดบ้างมั๊ย สมัยเป็นนายกฯ
มาร์คมันที่สุดของที่สุดจริงๆ สุดยอด โกหก ตอแหล ด้านๆ
มติชนออนไลน์ http://www.matichon.co.th/news_detail.p ... &subcatid=
-----------------------------------------------------------------------------------
มีใครเคยได้ยินไอ้เฮงซวยนี่พูดบ้างมั๊ย สมัยเป็นนายกฯ
มาร์คมันที่สุดของที่สุดจริงๆ สุดยอด โกหก ตอแหล ด้านๆ
อ้างอิง: http://thaipoliticalprisoners.wordpress.com/2011/09/20/wikileaks-abhisit-welcomes-the-coup/
บทความโพสต์เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
แปลโดย: ดวงจำปา
ห้าปีให้หลังจากการก่อการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2549,เคเบิ้ลของวิกิลีกค์ ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งแสดงให้เห็นโดยพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูเหมือนว่่า มีคุณค่าต่อความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเนื้อหาของมันที่ เอกอัครราชฑูต ราล์ฟ บอยซ์ ได้รายงานเกี่ยวกับการประชุมที่เขาได้พบกับนายอภิสิทธิ์ ที่สำนักงานใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อคุยสนทนาในเรื่องของการเมืองและการก่อการรัฐประหาร
นาย อภิสิทธิ์ได้เริ่มขึ้นโดยการกล่าวยกย่องความมั่นใจใน “บุคลิกภาพ” ของหัวหน้าผู้ก่อการรัฐประหาร นั่นก็คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน โดยกล่าวว่า เขา “มี่ความมั่นใจว่า พลเอกสนธินั้น ไม่ได้ก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน เพื่อที่จะนำให้ตัวเขาเองนั้น ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจได้”
นาย อภิสิทธิ์ได้อ้างว่า เขาเองนั้น “มีความวิตกกังวลมากกว่า กับกลุ่มที่มีความจงรักภักดีกับนายกฯ ทักษิณนั้น จะพยายามที่จะกลับหวนคืนเข้ามาสู่ชีวิตทางการเมืองอีก...” เขาเชื่อว่า การกระทำต่างๆ ของ ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) นั้น จะ “นำความยุ่งยากมาให้กับ คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข (คปค) เพื่อที่จะฟื้นฟูเสรีภาพของประชาชนกลับมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ” เขายังอ้างต่ออีกว่า ภรรยาของนายกฯ ทักษิณนั้น มีเงินสดอยู่กับเธอพร้อมแล้ว และ กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อนายกฯ ทักษิณนั้น ได้ทำการเผาโรงเรียนหลายแห่งเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้
นายอภิสิทธิ์ ก็ยังต้องการให้ รัฐบาลเผด็จการทหารนั้น “ได้ดำเนินการฟ้องร้องตัวบุคคลที่ก่อการทุจริตคอรัปชั่นเมื่อสมัยรัฐบาล นายกฯ ทักษิณเป็นผู้นำของประเทศ เพื่อที่จะนำให้สถานการณ์เข้าไปสู่ความสงบอย่างพอเพียง ต่อการอนุญาติให้ฟื้นฟูเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มภาคภูมิ” เขาได้ถามว่า รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ช่วยจัดส่ง “ข้อมูลกับ คปค มากขึ้นกว่าเก่าในเรื่องของความน่าสงสัยที่อาจจะได้เกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การซื้ออุปกรณ์จากบริษัท เจนเนอรัล อิเล็กตรีค เกี่ยวกับ อุปกรณ์ตรวจค้นวัตถุระเบิด CTX”
นายอภิสิทธิ์ยังได้พรรณาต่อไปแบบ “ลุยแหลก” ในเรื่องของความเป็นไปได้ที่ “องคมนตรีพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์นั้น อาจจะได้ถูกเสนอตัวให้เป็นผู้ทีถูกคัดเลือกอย่างเหมาะสมที่สุดต่อตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีชั่วคราว....” ถึงแม้ว่า เขาก็ชอบอีกหลายๆ คนด้วย รวมไปถึง อีกหลายๆ คนในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีความสามารถอย่างเก่งกล้า
ดู เหมือนกับว่า ตัวเอกอัครราชฑูตและนายอภิสิทธิ์นั้น ได้มีความเห็นพ้องต้องกันในเรื่อง ของ“ความสำคัญที่ คปค ได้ทำการเปลี่ยนผ่านอำนาจมาสู่รัฐบาลที่นำโดยฝ่ายพลเรือนอย่างเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ และในการกระทำเช่นนี้ ก็เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับสังคมนานาชาติที่ว่า สมาชิกในกลุ่มของ คปค เอง ไม่มีความตั้งใจที่จะคงเรืองอยู่ในอำนาจ” ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ได้ชักตัวพลเอกสุรยุทธขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สนับสนุนโดยฝ่ายเผด็จการทหาร นั่นเอง
ปัญหาหนักเรื่องหนึ่งที่เป็นที่วิตกกังวลของนายอภิสิทธิ์ก็ คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า พรรคไทยรักไทยที่ถูกขับไล่ออกไปนั้น อาจจะยังคงมีอำนาจอยู่ในทางการเมือง และเขาก็ห่วงว่า “พรรคไทยรักไทยจะชักจูงให้มีการใช้การลงประชามติในรัฐธรรมนูญฉบับหน้า เพื่อพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงการทำคะแนนนิยมด้วยการคัดค้านต่อการทำรัฐ ประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน เพื่อการฟื้นกลับคืนเข้ามาสู่แรงผลักดันทางการเมืองอีก....”
นาย อภิสิทธิ์ดูเหมือนมีความรู้สึกว่า พรรคของเขานั้นได้เริ่มตีคะแนนสร้างความนิยมให้ขึ้นมาเทียบกับพรรคไทย โดยอ้างว่า ได้มี ‘การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่’ ในทัศนคติของทางฝ่ายสาธาณะชนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยการเพิ่มพูนต่อความเห็นที่ว่า มีนโยบายและความคิดที่มีความหมายสำคัญต่อประชาชน รวมไปถึงการเอาใจใส่ดูแลคนยากคนจน และ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทันท่วงที” เขาก็ยังกล่าวอ้างต่อไปว่า พรรคของเขานั้นจะทำคะแนนนิยม ขึ้นมาในทางภาคเหนือและภาคกลาง และอาจจะถึงกับแบ่งครึ่งในคะแนนเสียงของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย เวปของ PPT เองก็ยังสงสัยอยู่ว่า เขามี่ความคิดเห็นอย่างแน่ชัดเแบบนี้หรือเปล่าในปี พ.ศ. 2554?
เอกอัครราชฑูตได้แสดงความคิดเห็นต่อไปว่า:
นาย อภิสิทธิ์เองก็ดูเหมือนกับประชาชนในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ซึ่งเห็นว่า การกระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนนั้น เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการกำจัดนายกฯ ทักษิณออกไปนอกประเทศ เขาดูเหมือนกับว่าไม่ได้มีปัญหาความยุ่งยากใจอย่างเฉพาะเจาะจงในการควบคุม จำกัดต่อสถานการณ์ในเรื่องเสรีภาพของพลเมืองและกิจกรรมของพรรคการเมืองในขณะ นี้ แต่เขาก็หวังอย่างเห็นได้ชัดว่า เรื่องเหล่านี้ ควรที่จะมีการผ่อนผันลงมาในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า คปค เอง มีความสามารถจัดการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเสียก่อน ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ และสามารถจำกัดอิทธิพลที่ยังเกาะกุมอยู่โดยฝ่ายผู้จงรักภักดีกับนายกฯ ทักษิณ
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมกกว่า ซึ่งเห็นได้ชัด ก็คือ นายอภิสิทธิ์นั้น ได้ยินดีปรีดาต่อการกระทำรัฐประหารว่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เพื่อจะนำตัวเขาเอง ใกล้เข้ามากว่าเก่าอีกหนึ่งขั้นต่อตำแหน่งของการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการทำให้คู่แข่งทางการเมืองของเขานั้นได้อ่อนแอลง หรืออาจจะถึงกับทำลายมันลงไปด้วย
เรื่องที่กล่าวมาแล้วทุกอย่าง ไม่ได้มีความแปลกใจอะไรเลย ถ้าท่านผู้อ่านได้ย้อนกลับไปถึง การแสดงความคิดเห็นของนายอภิสิทธิ์ที่ให้กับทางฝ่ายสื่อมวลชนในสมัยของการ กระทำรัฐประหาร การลำดับเหตุการณ์รายละเอียดนั้น เข้าชุดกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม นายอภิสิทธิ์เองก็ได้แสดงตัวเขาเองให้เห็นมาอย่างยาวนานแล้วว่า ตัวเขานั้น ไม่ใช่ผู้ที่มีความเชื่อมั่นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (เหมือนตามที่เขาได้ใช้ชื่อของพรรคว่า “ประชาธิปไตย”) เลยแม้แต่เพียงนิดเดียว
บทความโพสต์เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554
แปลโดย: ดวงจำปา
ห้าปีให้หลังจากการก่อการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2549,เคเบิ้ลของวิกิลีกค์ ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งแสดงให้เห็นโดยพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดูเหมือนว่่า มีคุณค่าต่อความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในเนื้อหาของมันที่ เอกอัครราชฑูต ราล์ฟ บอยซ์ ได้รายงานเกี่ยวกับการประชุมที่เขาได้พบกับนายอภิสิทธิ์ ที่สำนักงานใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อคุยสนทนาในเรื่องของการเมืองและการก่อการรัฐประหาร
นาย อภิสิทธิ์ได้เริ่มขึ้นโดยการกล่าวยกย่องความมั่นใจใน “บุคลิกภาพ” ของหัวหน้าผู้ก่อการรัฐประหาร นั่นก็คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน โดยกล่าวว่า เขา “มี่ความมั่นใจว่า พลเอกสนธินั้น ไม่ได้ก่อการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน เพื่อที่จะนำให้ตัวเขาเองนั้น ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจได้”
นาย อภิสิทธิ์ได้อ้างว่า เขาเองนั้น “มีความวิตกกังวลมากกว่า กับกลุ่มที่มีความจงรักภักดีกับนายกฯ ทักษิณนั้น จะพยายามที่จะกลับหวนคืนเข้ามาสู่ชีวิตทางการเมืองอีก...” เขาเชื่อว่า การกระทำต่างๆ ของ ผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อนายกฯ ทักษิณ (ชินวัตร) นั้น จะ “นำความยุ่งยากมาให้กับ คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข (คปค) เพื่อที่จะฟื้นฟูเสรีภาพของประชาชนกลับมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ” เขายังอ้างต่ออีกว่า ภรรยาของนายกฯ ทักษิณนั้น มีเงินสดอยู่กับเธอพร้อมแล้ว และ กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อนายกฯ ทักษิณนั้น ได้ทำการเผาโรงเรียนหลายแห่งเมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้
นายอภิสิทธิ์ ก็ยังต้องการให้ รัฐบาลเผด็จการทหารนั้น “ได้ดำเนินการฟ้องร้องตัวบุคคลที่ก่อการทุจริตคอรัปชั่นเมื่อสมัยรัฐบาล นายกฯ ทักษิณเป็นผู้นำของประเทศ เพื่อที่จะนำให้สถานการณ์เข้าไปสู่ความสงบอย่างพอเพียง ต่อการอนุญาติให้ฟื้นฟูเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มภาคภูมิ” เขาได้ถามว่า รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาให้ช่วยจัดส่ง “ข้อมูลกับ คปค มากขึ้นกว่าเก่าในเรื่องของความน่าสงสัยที่อาจจะได้เกิดขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับ การซื้ออุปกรณ์จากบริษัท เจนเนอรัล อิเล็กตรีค เกี่ยวกับ อุปกรณ์ตรวจค้นวัตถุระเบิด CTX”
นายอภิสิทธิ์ยังได้พรรณาต่อไปแบบ “ลุยแหลก” ในเรื่องของความเป็นไปได้ที่ “องคมนตรีพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์นั้น อาจจะได้ถูกเสนอตัวให้เป็นผู้ทีถูกคัดเลือกอย่างเหมาะสมที่สุดต่อตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีชั่วคราว....” ถึงแม้ว่า เขาก็ชอบอีกหลายๆ คนด้วย รวมไปถึง อีกหลายๆ คนในพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีความสามารถอย่างเก่งกล้า
ดู เหมือนกับว่า ตัวเอกอัครราชฑูตและนายอภิสิทธิ์นั้น ได้มีความเห็นพ้องต้องกันในเรื่อง ของ“ความสำคัญที่ คปค ได้ทำการเปลี่ยนผ่านอำนาจมาสู่รัฐบาลที่นำโดยฝ่ายพลเรือนอย่างเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ และในการกระทำเช่นนี้ ก็เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับสังคมนานาชาติที่ว่า สมาชิกในกลุ่มของ คปค เอง ไม่มีความตั้งใจที่จะคงเรืองอยู่ในอำนาจ” ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ได้ชักตัวพลเอกสุรยุทธขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สนับสนุนโดยฝ่ายเผด็จการทหาร นั่นเอง
ปัญหาหนักเรื่องหนึ่งที่เป็นที่วิตกกังวลของนายอภิสิทธิ์ก็ คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า พรรคไทยรักไทยที่ถูกขับไล่ออกไปนั้น อาจจะยังคงมีอำนาจอยู่ในทางการเมือง และเขาก็ห่วงว่า “พรรคไทยรักไทยจะชักจูงให้มีการใช้การลงประชามติในรัฐธรรมนูญฉบับหน้า เพื่อพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงการทำคะแนนนิยมด้วยการคัดค้านต่อการทำรัฐ ประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน เพื่อการฟื้นกลับคืนเข้ามาสู่แรงผลักดันทางการเมืองอีก....”
นาย อภิสิทธิ์ดูเหมือนมีความรู้สึกว่า พรรคของเขานั้นได้เริ่มตีคะแนนสร้างความนิยมให้ขึ้นมาเทียบกับพรรคไทย โดยอ้างว่า ได้มี ‘การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่’ ในทัศนคติของทางฝ่ายสาธาณะชนที่มีต่อพรรคประชาธิปัตย์ โดยการเพิ่มพูนต่อความเห็นที่ว่า มีนโยบายและความคิดที่มีความหมายสำคัญต่อประชาชน รวมไปถึงการเอาใจใส่ดูแลคนยากคนจน และ ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างทันท่วงที” เขาก็ยังกล่าวอ้างต่อไปว่า พรรคของเขานั้นจะทำคะแนนนิยม ขึ้นมาในทางภาคเหนือและภาคกลาง และอาจจะถึงกับแบ่งครึ่งในคะแนนเสียงของทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย เวปของ PPT เองก็ยังสงสัยอยู่ว่า เขามี่ความคิดเห็นอย่างแน่ชัดเแบบนี้หรือเปล่าในปี พ.ศ. 2554?
เอกอัครราชฑูตได้แสดงความคิดเห็นต่อไปว่า:
นาย อภิสิทธิ์เองก็ดูเหมือนกับประชาชนในกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่ซึ่งเห็นว่า การกระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายนนั้น เป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการกำจัดนายกฯ ทักษิณออกไปนอกประเทศ เขาดูเหมือนกับว่าไม่ได้มีปัญหาความยุ่งยากใจอย่างเฉพาะเจาะจงในการควบคุม จำกัดต่อสถานการณ์ในเรื่องเสรีภาพของพลเมืองและกิจกรรมของพรรคการเมืองในขณะ นี้ แต่เขาก็หวังอย่างเห็นได้ชัดว่า เรื่องเหล่านี้ ควรที่จะมีการผ่อนผันลงมาในอนาคตอันใกล้นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า คปค เอง มีความสามารถจัดการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเสียก่อน ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ในเรื่องความมั่นคงของประเทศ และสามารถจำกัดอิทธิพลที่ยังเกาะกุมอยู่โดยฝ่ายผู้จงรักภักดีกับนายกฯ ทักษิณ
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมกกว่า ซึ่งเห็นได้ชัด ก็คือ นายอภิสิทธิ์นั้น ได้ยินดีปรีดาต่อการกระทำรัฐประหารว่าเป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เพื่อจะนำตัวเขาเอง ใกล้เข้ามากว่าเก่าอีกหนึ่งขั้นต่อตำแหน่งของการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยการทำให้คู่แข่งทางการเมืองของเขานั้นได้อ่อนแอลง หรืออาจจะถึงกับทำลายมันลงไปด้วย
เรื่องที่กล่าวมาแล้วทุกอย่าง ไม่ได้มีความแปลกใจอะไรเลย ถ้าท่านผู้อ่านได้ย้อนกลับไปถึง การแสดงความคิดเห็นของนายอภิสิทธิ์ที่ให้กับทางฝ่ายสื่อมวลชนในสมัยของการ กระทำรัฐประหาร การลำดับเหตุการณ์รายละเอียดนั้น เข้าชุดกันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม นายอภิสิทธิ์เองก็ได้แสดงตัวเขาเองให้เห็นมาอย่างยาวนานแล้วว่า ตัวเขานั้น ไม่ใช่ผู้ที่มีความเชื่อมั่นต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (เหมือนตามที่เขาได้ใช้ชื่อของพรรคว่า “ประชาธิปไตย”) เลยแม้แต่เพียงนิดเดียว
กรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เสนออะไรเกี่ยวกับ 112?
ใจ อึ๊งภากรณ์
ดูเอกสารเต็มได้ที่นี่ http://www.prachatai.com/journal/2011/09/37011
ใจ อึ๊งภากรณ์
ดูเอกสารเต็มได้ที่นี่ http://www.prachatai.com/journal/2011/09/37011
คอป. มีความเห็นว่าแม้รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อคุ้มครอง สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของปวงชน ชาวไทยไม่ให้ถูกจาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยพฤติกรรมและการกระทำที่ไม่เหมาะ สม....(แต่ควรระวังภาพพจน์ประเทศไทย ฯลฯ)
คอป. เห็นว่ารัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทาง โดย คำนึงถึงเป้าหมายสุดท้าย คือการปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในสถานะที่ สามารถดำรงพระเกียรติยศได้อย่างสูงสุดเป็นสำคัญ โดยควรดำเนินการอย่างเด็ดขาดและเคร่งครัดต่อผู้ที่จาบจ้วงล่วงละเมิดที่มี เจตนาร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพสักการะและหวงแหนของปวงชน ชาวไทย
ประเด็น ที่อัยการต้องพิจารณาคือแนวทางใดระหว่างการสั่งฟ้องคดีหรือการสั่งไม่ฟ้อง คดีจะเป็นผลประโยชน์สูงสุดในการปกป้องและถวายพระเกียรติยศที่เหมาะสมแด่ สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญ..... อันเป็นแนวทางที่ใช้กันอยู่ในประเทศที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น (เรื่องเนเธอร์แลนด์เป็นคำโกหก)
"รายงานของ คอป. พยายามสร้างความชอบธรรมโดยการอ้ างถึงประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ไม่กล่าวถึงสิทธิเสรีภาพที่ป ระชาชนประเทศนั้นมีการวิจารณ์ และคัดค้านระบบกษัตริย์เลย เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่ ไม่กีดกันการดำรงตำแหน่งกษัตริย ของสตรี อดีตราชินีจูลิอานาของเนเธอร์แล นด์ มักจะขี่จักรยานตามเมืองและขอให ประชาชนเรียกเขาว่า “นาง” เหมือนคนสามัญ ในปี 1953 ขณะที่มีพายุร้ายแรงและน้ำท่วม นางจูลีอานา ลุยน้ำและเดินย่ำโคลนเพื่อแจกจ่ ายถุงยังชีพให้ประชาชน และในปี 1980 เขาลาออกจากตำแหน่งกษัตริย์เพรา ะอายุมาก คำถามคือศาสตราจารย์ คณิต ณ นคร อยากให้ประเทศไทยมีประมุขเหมือน ประเทศเนเธอร์แลนด์หรือไม่?"
"รายงานของ คอป. พยายามสร้างความชอบธรรมโดยการอ้
มีการเสนอว่าผู้ถูกกล่าวหาควรได้รับการประกันตัว
สิ่งที่ คอป. ไม่พูดเลย
1. ว่าคดี 112 ไม่ควรดำเนินการในรูปแบบคดีลับ สื่อมวลชนควรมีสิทธิ์รายงานรายละเอียดทั้งหมด
2. ถ้าสิ่งที่ผู้ถูกกล่าวหาพูดหรือเขียนเป็นความจริง ต้องถือว่าไม่มีคดี ต้องยกฟ้อง ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้เป็นอย่างนั้น
3. พลเมืองไทยทุกคนควรมีสิทธิ์แสดงความเห็นทางการเมืองอย่างอิสระ รวมถึงการเสนอระบบสาธารณรัฐ
4. กฏหมายหมิ่นประมาททั่วไป เพียงพอสำหรับการปกป้องกษัตริย์จากการใส่ร้ายเท็จ ดังนั้นควรยกเลิกกฏหมาย 112 อย่างที่มีการเลิกใช้กันในทุกประชาธิปไตยของยุโรปที่มีกษัตริย์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)