หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สังคมใหม่ไม่เกิด ถ้าไม่จัดตั้งชนชั้นกรรมาชีพ

สังคมใหม่ไม่เกิด ถ้าไม่จัดตั้งชนชั้นกรรมาชีพ 


 
การที่กรรมาชีพเป็นคนส่วนใหญ่ เป็นเพียงสาเหตุหนึ่งที่นักสังคมนิยมเน้นการทำงานกับกรรมาชีพและมองว่า กรรมาชีพคือผู้ปลดแอกสังคม สาเหตุที่อาจสำคัญกว่านั้นคือเรื่องอำนาจทางเศรษฐกิจที่มาจากการทำงานสำคัญๆ ทุกอย่างในสังคม เพราะถ้ารวมตัวกันนัดหยุดงานหรือยึดสถานที่ทำงาน ก็จะคุมเศรษฐกิจในมือในขณะที่นายทุนและแม้แต่นายพลผู้บังคับบัญชาทหารทำอะไร ไม่ได้ในสถานการณ์แบบนั้น

โดย ลั่นทมขาว 


ในยุคนี้เรามักได้ยินคนที่อวดเก่งพูดว่า “ชนชั้นกรรมาชีพผู้ทำงานมีความสำคัญน้อยลง” เหมือน กับว่าเขาค้นพบอะไรใหม่ แต่คำพูดนี้เป็นความฝันเก่าแก่ของพวกฝ่ายขวาที่อยากปกป้องระบบทุนนิยม หรืออดีตฝ่ายซ้ายที่ต้องการหันหลังให้กรรมาชีพเพื่อประนีประนอมกับชนชั้น ปกครอง เพราะมีคนออกมาเสนอแบบนี้เป็นระยะๆ มาเกือบห้าสิบปีแล้ว และที่สำคัญคือมันไม่จริง แม้แต่คนที่อ้างว่าตัวเองเป็นมาร์คซิสต์ เช่นซลาวอย ซีเซก ยังอ้างผิดๆ ว่าจำนวนคนที่เป็นกรรมาชีพในโลกลดลง และพวกอนาธิปไตยอย่าง โทนี่ เนกรี่, ไมเคิล ฮาร์ต หรือ จอห์น ฮอลลอเวย์ มองว่ากรรมาชีพถูกซื้อตัวไปเป็นคนงานข้าราชการในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็น “มวลชนหลากหลายที่ไร้โครงสร้างชัดเจน”
   
ตัวเลขจากธนาคารโลกและสหประชาชาติทำให้เราเห็นว่าจำนวนชนชั้นกรรมาชีพผู้ทำ งานในโลกขยายตัวเรื่อยๆ และสูงเป็นประวัติศาสตร์ คือสองในสามของประชากรโลกเป็นผู้รับจ้างชนิดใดชนิดหนึ่ง และในไม่ช้าประชากรโลกส่วนใหญ่จะเป็นชาวเมือง ข้อมูลนี้ไม่ควรทำให้เราแปลกใจเลยเพราะการผลิตและการบริการที่เกิดขึ้นคู่ ขนานกันในระบบทุนนิยมโลกาภิวัตน์ขยายตัวมาตลอด อาจมีวิกฤตเศรษฐกิจประมาณทุกสิบปี แต่ทุนนิยมไม่ได้กลับสู่สภาพเมื่อร้อยปีก่อนเลย
   
บางคนเข้าใจผิดว่าผู้ทำงานในภาคบริการเป็นคน “กลุ่มใหม่” ที่ไม่ใช่กรรมาชีพ แต่ภาคบริการหมายถึงกิจกรรมที่จำเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการผลิตสินค้า จริงๆ แล้วสิ่งที่กรรมาชีพในโรงงานอุตสาหกรรมผลิต จะไม่กลายเป็นสินค้าเลย จะไม่มีกำไรให้นายทุน และจะไม่มีการหมุนเวียนของทุนถ้าไม่มีผู้ทำงานในภาคบริการ เพราะคนทำงานในภาคบริการประกอบไปด้วยคนที่เดินเรือ ทำงานในท่าเรือ ทำงานรถไฟ ทำงานร้านค้า ทำงานในธนาคาร ทำงานในภาคไอที และแม้แต่ครูบาอาจารย์กับแพทย์พยาบาล ก็เป็นสาขาการทำงานที่บริการการผลิต เพราะถ้าคนงานไม่มีการศึกษาและไม่มีการรักษาสุขภาพ ก็ทำงานไม่ได้ ดังนั้นกรรมาชีพในภาคบริการเป็นลูกจ้าง เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นกรรมาชีพ ไม่ใช่คนชั้นกลางหรือคนกลุ่มใหม่แต่อย่างใด
   
สาเหตุที่เรามักได้ยินคนพูดบ่อยๆ ถึงความสำคัญของคนชั้นกลางหรือความสำคัญของปัญญาชนที่ไม่ใช่กรรมาชีพ อย่างที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลพูด ก็เพราะคนเหล่านั้นอาจดูถูกปัญญาและความสามารถของคนทำงาน แต่นักมาร์คซิสต์อย่าง อันโตนีโอ กรัมชี่ ซึ่งมีประสบการณ์โดยตรงในการจัดตั้งกรรมาชีพ อธิบายว่านักสังคมนิยมต้องกระตุ้นให้เกิด “ปัญญาชนอินทรีย์” หรือปัญญาชนคนงานที่เป็นนักต่อสู้ในขบวนการแรงงาน เพื่อไปรบทางปัญญากับปัญญาชนของชนชั้นปกครอง
   

การเน้นคนชั้นกลางอาจเพราะเขาอยากให้กรรมาชีพขาด จิตสำนึกเรื่องชนชั้นตนเองด้วย ในเรื่องหลังนี้กรณีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะชนชั้นปกครองสหรัฐพยายามสอนให้ประชาชนคิดว่าตนเองเป็นคนชั้นกลางไปหมด แต่การสอนไม่ค่อยสำเร็จเพราะประมาณ 34% ของคนสหรัฐมองว่าตนเองเป็นกรรมาชีพ

'นอม ชอมสกี้' และปัญญาชนนานาชาติร่วมลงชื่อร้องคว่ำบาตรทางทหารอิสราเอล

'นอม ชอมสกี้' และปัญญาชนนานาชาติร่วมลงชื่อร้องคว่ำบาตรทางทหารอิสราเอล

 

  

 

ในวันสากลแห่งความสมานฉันท์กับประชาชนปาเลสไตน์ ปัญญาชนนานาชาติกว่า 50 คน รวมถึง 'สโลวอย ชิเชก' ลงชื่อเรียกร้องคว่ำบาตรทางทหารอิสราเอล ในขณะที่สมัชชาใหญ่ยูเอ็นเตรียมโหวตลงมติในประเด็นการรับรองสถานะของ ปาเลสไตน์วันนี้  

29 พ.ย. 55 - เนื่องในวันสากลเพื่อความสมานฉันท์กับประชาชนในปาเลสไตน์ นักวิชาการ นักเขียน และศิลปินจากนานาประเทศ 52 ราย อาทิ นอม ชอมสกี้ นักวิชาการด้านภาษาศาสตร์และนักวิพากษ์สังคมชาวสหรัฐ, สลาวอย ซิเซ็ก นักวิชาการด้านปรัชญามาร์กซิสต์ และวอลเดน เบลโล วุฒิสมาชิกจากฟิลิปปินส์ ร่วมลงนามในแถลงการณ์เรียกร้องให้ประชาคมนานาชาติคว่ำบาตรทางทหารต่อ อิสราเอล เนื่องจากความรุนแรงครั้งล่าสุดบริเวณฉนวนกาซาเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในฝั่งปาเลสไตน์แล้ว 160 ราย ในจำนวนนี้รวมเด็กด้วย 34 ราย ในขณะที่อิสราเอลมีผู้เสียชีวิต 6 ราย

แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการงดเว้นการรับโทษที่อิสราเอลได้รับ และการได้รับการร่วมมือจากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป อินเดีย บราซิล และเกาหลีใต้ ในฐานะพันธมิตรด้านทหารของอิสราเอล

แถลงการณ์ที่ลงนามโดยไมรีด มาไกวร์ นักเคลื่อนไหวสันติภาพชาวไอร์แลนด์เหนือผู้ได้รับรางวัลโนเบลสันติภาพ, โรเจอร์ วอเตอรส์ อดีตนักร้องนำวงพิงค์ ฟลอยด์ ชี้ว่า "ความพยายามของอิสราเอลในการให้ความชอบธรรมการใช้กำลังที่รุนแรงอย่างผิด กฎหมายและเกินกว่าเหตุว่าเป็นการ 'ป้องกันตนเอง' มิได้สมเหตุผลทางด้านกฎหมายหรือศีลธรรมแต่อย่างใด เพราะรัฐย่อมไม่สามารถอ้างสิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายเพื่อคุ้มครองการกระทำ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของตนเอง"

"ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนอิสราเอลที่ใหญ่ที่สุด ด้วยการส่งยุทโธปกรณ์ทางทหารมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้ทุกๆ ปี แต่บทบาทของสหภาพยุโรปก็เป็นที่ลืมไม่ได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการให้เงินอุดหนุนฐานทัพอิสราเอลจำนวนมากผ่านทางโครงการวิจัย เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างอิสราเอลและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหญ่อย่างบราซิล อินเดีย และเกาหลีใต้ ย่อมสัมพันธ์อย่างแน่นอนกับความไม่สนับสนุนเสรีภาพของปาเลสไตน์"

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43935

Wake Up Thailand

Wake Up Thailand  



Wake Up Thailand ประจำวันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2555

ม็อบแพ้สื่อไม่แพ้
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=enoTcfaP3i8


จำนำสไตล์

Wake Up Thailand ประจำวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2555

จำนำสไตล์
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=enoTcfaP3i8
The Daily Dose  
 




The Daily Dose ประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555
เกือบสำเร็จเเล้วสำหรับ Egypt กับการสร้างชาติใหม่
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=n9snPCPkszk

  
The Daily Dose ประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555
เงินเดือนศาล/องค์กรอิสระรวมกว่า 500 ล้านบาท!
http://www.dailymotion.com/video/xvh3qj

Divas Cafe

Divas Cafe
  

ประชาธิปไตยจากก้นครัว...การกระจายอำนาจ

Divas Cafe ประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 
ประชาธิปไตยจากก้นครัว...การกระจายอำนาจ 
http://www.dailymotion.com/video/xvhsqi 
 

ขี่เกวียน = อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ?

Divas Cafe ประจำวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555
ขี่เกวียน = อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ? 
http://www.dailymotion.com/video/xvgurw 

จับตางานนี้รากยาว...

จับตางานนี้รากยาว...





https://www.facebook.com/organization.Pithaksiam

ความแตกต่างของตัวเลือกที่มีให้คำตอบของประเทศนี้

ความแตกต่างของตัวเลือกที่มีให้คำตอบของประเทศนี้



บทเรียนจากคำพิพากษายกฟ้องคดี 112 (คดีสุรภักดิ์)

บทเรียนจากคำพิพากษายกฟ้องคดี 112 (คดีสุรภักดิ์)

 


โดย อ.สาวตรี สุขศรี


เกริ่นนำ

หลายคนที่ติดตามสถานการณ์หรือสังเกต การณ์กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศไทยอยู่ คงรู้สึกสงสัย หรือตั้งคำถามในใจว่า เป็นไปได้ด้วยหรือที่การยกฟ้องจำเลยในคดีมาตรา 112 จะเกิดขึ้นได้ใน พ.ศ.นี้ ภายหลังพบว่าในเช้าวันที่ 31 ตุลาคม 2555 ณ ศาลอาญา รัชดา [1] ผู้ พิพากษาออกนั่งบัลลังก์แล้วอ่านคำพิพากษาให้ยกฟ้องคดี ซึ่งมีนายสุรภักดิ์ (สงวนนามสกุล) เป็นจำเลย ด้วยข้อหาตามมาตรา 112 ประมวลกฎหมายอาญา และ มาตรา 3, 14, 17 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (ต่อไปจะเรียกว่า คดีสุรภักดิ์) ด้วยเหตุผลว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ยังมีความสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรค 2 

หากจะกล่าว กันจริง ๆ แล้ว ในบรรดาคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  (โดยจะมีข้อหาอื่น เช่น ข้อหาตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ 2550 ด้วยหรือไม่ก็ตาม) ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา คดีสุรภักดิ์ไม่ใช่คดีแรกที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลย เพราะ...


 

คดีนพวรรณ (ต) หรือที่บางคนรู้จักในชื่อ "คดี Bento" ศาลชั้นต้น (อ.599/2554) ก็มีคำพิพากษายกฟ้องเช่นกัน ด้วยเหตุผลทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่สามารถสืบพิสูจน์จนสิ้นสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิด [2]  แต่สาเหตุที่ทำให้คดีสุรภักดิ์อยู่ในความสนใจมากกว่าคดี Bento อาจเป็นเพราะว่า คดีที่ตัดสินหรือสิ้นสุดลง (โดยศาลไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด) ไปก่อนหน้าคดีสุรภักดิ์  ซึ่งล้วนแล้วแต่มีสามัญชนเป็นจำเลย และได้รับความสนใจจากสาธารณะชน อาทิ คดีดา ตอร์ปิโด [3], คดีสุวิชา (ท่าค้อ) [4], คดีบุญยืน [5], คดีธันย์ฐวุฒิ (หนุ่ม นปช.) [6], คดีโจ กอร์ดอน [7], คดีจีรนุช (ประชาไท) [8] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คดีอำพล (อากง SMS) [9]  ทุกคดีล้วนแล้วแต่มีคำพิพากษาลงโทษจำเลย หรือจำเลยถอดใจไม่สู้คดี และหันไปขอพระราชทานอภัยโทษทั้งสิ้น กระทั่งคดีมาตรา 112  คดีล่าสุดที่พึ่งตัดสินไปเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 (ภายหลังคดีสุรภักดิ์) หรือคดีอุทัย (แจกใบปลิว) [10] ศาล ก็พิพากษาลงโทษจำเลยเช่นกัน แม้จะให้รอลงอาญาไว้ก็ตามที ดังนั้น ผลของคดีสุรภักดิ์จึงมีความน่าสนใจยิ่ง ว่าในช่วงที่ประเทศไทยตกอยู่ในบรรยากาศของการเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างมากชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน ในบรรยากาศของการกล่าวหากันด้วยข้อหา "ล้มเจ้า" หรือในบรรยากาศที่มีการปะทะกันทางความคิดของมวลชนฝ่ายหนึ่งที่เรียกร้องให้ ยกเลิก หรือแก้ไขมาตรา 112 กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ห้ามแตะต้องมาตรานี้โดยเด็ดขาด แล้วเหตุใดจำเลยในคดีประเภทนี้จึงได้รับการพิพากษายกฟ้อง

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43956

ศาลถอนประกัน ‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ กรณีข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลถอนประกัน ‘ก่อแก้ว พิกุลทอง’ กรณีข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ

 

นี่ไง .. ที่คนเสื้อแดงเรียกหา ICC ศาลอาญาระหว่างประเทศ
เข้าใจหรือยัง
http://www.thairath.co.th/content/pol/310016

วันนี้ก่อแก้วเข้าคุกไปแล้ว
รัฐบาลยิ่งทำอะไรไม่ถูก
สงบปากสงบคำ
รู้ทั้งรู้ว่าเชือดไก่
จะไม่สู้จริงๆหรือ
ถ้าประชาชนลุกขึ้นมาสู้ โห่ฮิ้วรัฐบาล
แล้วจะมาว่าไม่ได้นะ  


 
(นายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่ห้องควบคุมผู้ต้องขัง บริเวณใต้ถุนศาลอาญา เพื่อเตรียมนำตัวเข้าไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยคาดว่าจะมีการนำตัวนายก่อแก้วไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ เหมือนกับกรณีเจ๋ง ดอกจิก ต่อไป )

30 พ.ย.2555 เวลา15.30น.ศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัวของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ส่วนสส.พรรคเพื่อไทยแกนนำ นปช. อีก 4 คนรอด ทั้งนี้ศาลเพิ่มเงื่อนไขห้ามขึ้นเวที ยุยงปลุกปั่น ห้ามออกนอกประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.15 น.ที่ผ่านมาศาลได้นัดสอบถามการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.จำเลยคดีก่อการร้ายรวม 6 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย  นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล สส.กทม. พรรคเพื่อไทย และนายภูมิกิติหรือ พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง โดยเฉพาะนายก่อแก้ว ถูก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ ยื่นคำร้องและส่งพยานวัตถุแผ่นซีดีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ต่อศาลเพื่อชี้ให้เห็นว่ามีกระทำผิดเงื่อนไขการประกัน  เนื่องจากนายก่อแก้ว มีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 และเสนอให้ตัดงบประมาณศาลรัฐธรรมนูญ

รมว.กต. เผยฟื้น กก.สัตยาบันไอซีซี หาความชัดเจน 'ข้อจำกัด'

รมว.กต. เผยฟื้น กก.สัตยาบันไอซีซี หาความชัดเจน 'ข้อจำกัด'


 

"ด้าน  พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงข้อห่วงใยกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ จะยอมให้ไอซีซีเข้ามาไต่สวนการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ว่า เป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศ ตนไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย โดยเชื่อว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะทำอย่างรอบคอบและต้อง ปรึกษาหารือกับหลายฝ่ายหลายหน่วยงานก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยตอบคำถามของผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก แสดงความไม่สบายใจต่อกรณีดังกล่าว ถือเป็นความเห็นของ ผบ.ทบ." 
  
29 พฤศจิกายน 2555 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงภายหลังการประชุมเพื่อหารือข้อสรุปการพิจารณาจัดทำประกาศรับเขตอำนาจศาล อาญาระหว่างประเทศ หรือไอซีซี ว่า ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะลงนามเพื่อยอมรับเขตอำนาจของไอซี  กรณีการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2555 หรือไม่ เนื่องจากที่ประชุมเห็นว่า ควรเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศที่คณะรัฐมนตรีเคย แต่งตั้งไว้เมื่อปี 2542 ได้พิจารณาก่อน เพราะยังมีหลายฝ่ายกังวลในข้อกฎหมายตาม 4 ฐานความผิดของไอซีซี ที่อาจจะต้องมีการแก้ไขในอนาคต และการออกกฎหมายให้ครอบคลุม เช่น พ.ร.บ.ความร่วมมือทางอาญา พรบ.โอนตัวนักโทษ พ.ร.บ.เอกสิทธิและความคุ้มกัน เป็นต้น ซึ่งยังค้างคาอยู่ในคณะกรรมการดังกล่าว รวมทั้งให้พิจารณาว่า จะให้ กระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงยุติธรรม เป็นผู้รับผิดชอบเสนอต่อคณะรัฐมนตรี

อย่าไปหวังว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ

http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/381-2012-11-04-12-39-10.html 

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43947

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

สื่อและการตรวจสอบบทบาทของ “กรรมการสิทธิมนุษยชน”

สื่อและการตรวจสอบบทบาทของ “กรรมการสิทธิมนุษยชน”


โดย  ศาสวัต บุญศรี

 
เหตุการณ์ต่อเนื่องจากการใช้แก๊สน้ำตาเพื่อหยุดการเคลื่อนผู้ชุมนุมกลุ่ม พิทักษ์สยามไม่ให้ผ่านสะพานมัฆวานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเช้าวันเสาร์ที่ 24 พฤศิกายน 2555 นั้น มีกลุ่มคนหลากหลายออกมาวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งในทำนองตำรวจ ทำถูกต้องแล้วและเป็นลักษณะ “เกินกว่าเหตุ” แน่นอนไม่ต้องเดาว่าฝ่ายไหนพูดอย่างไร เอาเป็นว่าการใช้แก๊สน้ำตาครั้งนี้ถูกด่าขรมว่าไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนการ สลายการชุมนุมที่สากลโลกพึงกระทำ

องค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นทางการอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (ต่อไปขอใช้โดยสั้นว่า กรรมการสิทธิฯ) ได้ออกมาติงการออกคำสั่งแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในเหตุการณ์เช้าวันนั้นว่าใช้ แก๊สน้ำตาเร็วไปหรือไม่ พร้อมแนะให้ใช้รถกระจายเสียงที่มีกำลังขับความดังที่มากกว่านี้เพื่อจะได้ ส่งสารไปยังผู้ชุมนุมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และจะมีการประชุมกรรมการสิทธิฯ ต่อกรณีนี้ในวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน (อ่านข่าวเต็ม ๆ ได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/pol/308995)

ข่าวนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายผู้สนับสนุนรัฐบาลไม่น้อย มีการกล่าวเสียดสีแดกดันพบเห็นได้ตามหน้าเฟซบุ๊คว่ากรรมการสิทธิฯ มีสองมาตรฐาน การชุมนุมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลเพื่อไทยมักได้รับการจับตาและพร้อมเป็นปาก เสียงให้เสมอ ในทางกลับกันการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ นปช. เมื่อพฤษภาคม 2553 กลับได้รับการเพิกเฉย ทั้ง ๆ ที่มีผู้เสียชีวิตจากกระสุนจริงปลิดชีพถึง 98 ชีวิต) หากเมื่อเทียบระดับความรุนแรง จำนวนผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตแล้ว เหตุการณ์ปี 2553 ถือเป็นเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่มีการสังหารกันกลางกรุง ทว่ากรรมการสิทธิฯ แทบไม่ออกปากวิพากษ์วิจารณ์ผู้สั่งการเลยแม้แต่น้อย

ผู้ติดตามการเมืองหลายคนตั้งคำถามต่อกรรมการสิทธิฯ ถึงบรรทัดฐานในการพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าสิ่งใดคือการละเมิดหรือไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนบ้าง รวมถึงบทบาทในการออกมาพูดต่อสาธารณะ เพราะดูหลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ชาวบ้านผู้ติดตามการเมืองมองเห็นว่านี่ เป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน (โดยเฉพาะในทางการเมือง) กรรมการสิทธิฯ ก็ดูนิ่งเฉยจนไม่รู้แน่ว่าบทบาทเหล่านี้ควรมีตอนไหนอย่างไร

กมธ.ต่างประเทศ วุฒิฯ ค้านรับเขตอำนาจศาลโลก

กมธ.ต่างประเทศ วุฒิฯ ค้านรับเขตอำนาจศาลโลก



 
(คลิกอ่าน)
http://www.thairath.co.th/content/pol/309524 

ดัดจริตมากไปล่ะ....สุเมธ!

ดัดจริตมากไปล่ะ....สุเมธ!

 



เอาคนรวยมาบอกคนจนให้อยู่อย่างพอเพียง
เอาคนขับเฟอร์รารี่มาบอกให้ประชาชนนั่งรถเมล์
เอาพวกใกล้ชิด "เจ้า" มาบอกให้คนไทยต้องเป็นไพร่ต่อไป
เอาพวกไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มาสอนวิธีแก้จน
....ดัดจริตมากไปล่ะ....สุเมธ!

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไฟไหม้โรงงานนรก ใครได้ประโยชน์?

ไฟไหม้โรงงานนรก ใครได้ประโยชน์? 

 

 
โรงงานนรกที่บังกลาเทศที่พึ่งไฟไหม้และคนงานเสีย ชีวิตไป 110 คน ผลิตเสื้อผ้าสำหรับห่างวอล์มาร์ทในสหรัฐ โรงงานอื่นๆ จะส่งสินค้าให้ร้านค้าในประเทศพัฒนาทั่วโลก และกลุ่มทุนใหญ่เหล่านี้ในตะวันตก ได้กำไรมหาศาล

โดย ใจ อึ๊งภากรณ์ 

ข่าวไฟไหม้โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า หรือโรงงานทำของเล่นในประเทศต่างๆ ของเอเชีย เช่นไทย ปากีสถาน และล่าสุดบังกลาเทศ ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่าใครได้ประโยชน์ เพราะถ้าเราไม่วิเคราะห์จากมุมมองชนชั้นเราจะไม่ค้นพบอาชญากรที่แท้จริง

ไฟไหม้โรงงานนรกไม่ใช่
“อุบัติเหตุ” แต่เป็นการจงใจบังคับให้คนงานต้องเสี่ยงภัย เพราะโรงงานดังกล่าวมักจะไม่มีทางหนีไฟตามมาตรฐานความปลอดภัย ไม่มีวิธีการป้องกันไฟไหม้จากปัญหาไฟช๊อต ไม่มีกระบวนการลดภัยจากไฟไหม้ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาด การจัดสินค้าให้เป็นระบบ และการอบรมพนักงานในความปลอดภัย และทั้งหมดนี้เป็นเพราะนายทุนที่เป็นเจ้าของโรงงานไม่ต้องการลดกำไรของตนเอง ในกระบวนการผลิต และมองว่าคนงานเป็นแค่ผักปลา

แต่อาชญากรที่ฆ่าคนงานในโรงงานนรกไม่ใช่แค่นายทุนพื้นเมือง กลุ่มทุนใหญ่ในตะวันตกที่สั่งสินค้านำเข้าจากโรงงานนรก พยายามกดราคาตลอดเวลาเพื่อเพิ่มกำไรให้ตนเองด้วย


โรงงานนรกที่บังกลาเทศที่พึ่งไฟไหม้และคนงานเสียชีวิตไป 110 คน ผลิตเสื้อผ้าสำหรับห่างวอล์มาร์ทในสหรัฐ โรงงานอื่นๆ จะส่งสินค้าให้ร้านค้าในประเทศพัฒนาทั่วโลก และกลุ่มทุนใหญ่เหล่านี้ในตะวันตก ได้กำไรมหาศาล


แต่ เอ็นจีโอตะวันตก และสื่อมวลชนบางกลุ่ม มักมองว่าประชาชนผู้บริโภคในตะวันตกมีส่วนในการขูดรีดคนงานในโรงงานนรก มีการพูดว่า “ต้องให้การศึกษากับผู้บริโภคให้เลิกซื้อเสื้อผ้าราคาถูก” อันนี้เป็นมุมมอง “ตะวันตก-ตะวันออก” หรือมุมมองแนว “พึ่งพา” ที่ปฏิเสธชนชั้น 

และมองว่าการแบ่งแยกหลักในโลกคือระหว่างประเทศรวยทางเหนือ และประเทศยากจนทางใต้ นอกจากนี้มันเป็นมุมมองที่เน้นพลังผู้บริโภค มันนำไปสู่การเข้าใจผิด


เมื่อไม่กี่วันก่อนไฟไหม้ที่โรงงานในประเทศบังกลาเทศ พนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานในห่างวอล์มาร์ท ออกมานัดหยุดงานประท้วงปัญหาค่าจ้างต่ำและสวัสดิการแย่ๆ ของบริษัท ห่างขายเสื้อผ้าราคาถูกในยุโรปที่นำเข้าสินค้าจากโรงงานนรก ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นนายจ้างคุณภาพแย่ เราเริ่มเห็นภาพของการกดขี่ขูดรีดทั้งในประเทศพัฒนาของตะวันตก และประเทศยากจนในตะวันออก เราเริ่มเห็นการแบ่งแยกแท้ตามชนชั้นทั่วโลก
 

พวกที่เรียกร้องให้ผู้บริโภคในตะวันตกเลิกซื้อเสื้อผ้าราคาถูก จะปิดหูปิดตาถึงการที่ชนชั้นปกครองในยุโรปและสหรัฐ กดค่าแรง เลิกจ้าง และตัดสวัสดิการประชาชน เพื่อโยนภาระในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจให้กรรมาชีพหรือคนทำงานธรรมดา มันไม่ใช่ว่าผู้บริโภคเป็นคนรวยที่แค่อยากได้สินค้าถูก ความจริงคือผู้บริโภคจำนวนมากเป็นคนจน ถ้าไม่ซื้อเสื้อผ้าราคาถูกก็ไม่มีเพื่อใส่ ยิ่งกว่านั้นกลุ่มทุนใหญ่ที่ขายเสื้อผ้าราคาถูก มักหาทางโกงและหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ซึ่งกลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่รัฐขาดรายได้ แล้วไปตัดค่าจ้าง ปลดคนงาน และลดสวัสดิการคนงานในภาครัฐ ซึ่งมีผลพวงต่อไปในการกดเศรษฐกิจ
 

ทางออกไม่ใช่การฝันว่าผู้บริโภคมีอำนาจที่สามารถเลิกซื้อสินค้าจากโรงงานนรก ได้ ทางออกคือการจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เข้มแข็งในห่างใหญ่ๆ ของตะวันตก และการสร้างพลังขบวนการแรงงานเพื่อล้มรัฐบาลตะวันตกที่ทำลายชีวิตประชาชน ด้วยนโยบายเสรีนิยมจัด และในประเทศต่างๆ ของเอเชีย ทางออกก็ไม่ต่าง คือต้องพยายามจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เข้มแข็ง เพื่อบังคับให้นายจ้างใช้มาตรการความปลอดภัยที่ถูกต้อง และการรณรงค์ทางการเมือง เพื่อไม่ให้อิทธิพลของกลุ่มทุนครอบงำรัฐบาลและพรรคการเมืองทุกพรรค พูดง่ายๆ ต้องสมานฉันท์แรงงานข้ามพรมแดน
 
(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/11/blog-post_27.htm

Wake Up Thailand

Wake Up Thailand
 

ฝ่ายต้านรัฐบาลเริ่มยุทธการฝังชิพ

Wake Up Thailand ประจำวันพุธ ที่ 28 พฤศจิกายน 2555 
ฝ่ายต้านรัฐบาลเริ่มยุทธการฝังชิพ
http://www.youtube.com/watch?v=Z8esgTMsg0M&feature=player_embedded


น้ำตาจะไหลเพราะกสม.โวยแก๊สน้ำตา 

Wake Up Thailand ประจำวันอังคาร ที่ 27 พฤศจิกายน 2555
น้ำตาจะไหลเพราะกสม.โวยแก๊สน้ำตา

The daily Dose

The daily Dose

 
 
The daily Dose ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555
กสม.โผล่มาให้ภาคประชาชนหัวเราะเล่น
http://www.dailymotion.com/video/xvg0xa

 
The Daily Dose ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555
อภิปรายไม่ไว้วางใจไร้รสชาติ
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=rq4k26_3wSY 

Divas Cafe

Divas Cafe


ความสุขของ 'TDRI' 
 
Divas Cafe ประจำวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555
ความสุขของ 'TDRI'
http://www.dailymotion.com/video/xvfrhe 

 
อภิปรายไม่ไว้วางใจ วิถีทางการเมืองในรัฐสภา 

Divas Cafe ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555
อภิปรายไม่ไว้วางใจ วิถีทางการเมืองในรัฐสภา
http://www.youtube.com/watch?v=oraUeHi4dzw&feature=player_embedded 

ที่นี่ความจริง

ที่นี่ความจริง 27-11-2012


ที่นี่ความจริง อ หวาน อ ตุ้ม 11มิย55 


(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=fHreUEG6RtQ&list=UUhvJC14U9cSNzbQNtP_MXYQ&index=3&feature=p

ตามคาด! "ปู-เหลิม-บิ๊กโอ๋-ชัจจ์" ฉลุยผ่านผลลงมติที่ประชุมสภาฯ ไว้วางใจให้ทำหน้าที่บริหารต่อ

ตามคาด! "ปู-เหลิม-บิ๊กโอ๋-ชัจจ์" ฉลุยผ่านผลลงมติที่ประชุมสภาฯ ไว้วางใจให้ทำหน้าที่บริหารต่อ 




เมื่อเวลา 10.20  น. วันที่ 28 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงมติตามญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นราย บุคคล ได้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ที่พรรคฝ่ายค้านเป็นผู้เสนอ โดยก่อนการลงมตินายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่าเนื่องจากวันนี้ฝนตกทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก ทำให้ต้องเลื่อนเวลาการลงมติจากเดิมที่นัดไว้ตอน 09.30 น. เลื่อนออกไปก่อน

เมื่อเริ่มประชุมอีกครั้งประธานฯได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่า จะขอลงมติญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯก่อน จากนั้นจึงเป็นญัตติอภิปรายฯรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ใช้วิธีกดบัตรแสดงตน ซึ่งนายกฯและรัฐมนตรีทุกคนไม่มีสิทธิลงคะแนนให้ตัวเอง ขณะนี้มีจำนวน ส.ส.ที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้งสิ้น 493 คน เสียงกึ่งหนึ่งต้องได้ 247 คนขึ้นไป

ผลที่ประชุมลงมติให้ความไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยคะแนน 308 ต่อ 159 เสียง งดออกเสียง 4 ไม่ลงคะแนน 9  มีมติไว้วางใจ 

ร.ต.อ.เฉลิม ด้วยคะแนน 287 ต่อ 157 เสียง งดออกเสียง 25 ไม่ลงคะแนน 11

ขณะที่มีมติไว้วางใจ พล.อ.อ.สุกำพล ด้วยคะแนน 284 ต่อ 160 เสียง 25 งดออกเสียง 11 ไม่ลงคะแนน

สำหรับ พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้รับคะแนนไว้วางใจ 284 ต่อ 182 เสียง งดออกเสียง 5 ไม่ลงคะแนน 10  

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทั้ง 3 คน มีคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้ยังสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้

จากนั้นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯปิดสมัย ประชุมสมัยสามัญทั่วไป และประธานสั่งปิดประชุมเมื่อเวลา 10.55 น. ซึ่งหลังจากทราบผลการลงคะแนน นายกฯและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม เมื่อประธานสั่งปิดประชุมน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินเข้าไปยกมือไหว้ประธานฯและ รองประธานฯ โดยมีรัฐมนตรีเข้าไปจับไม้จับมือแสดงความยินดี

(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1354074353&grpid=03&catid=01&subcatid=0100

เสธ อ้าย ม้วนเดียวจบ ตอบโจทย์ 28พ.ย.55

เสธ อ้าย ม้วนเดียวจบ ตอบโจทย์ 28พ.ย.55




(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=_-DrWzxMhVc

ประชาชนอียิปต์ หวนคืนจัตุรัสทาห์รีร์ ชุมนุมต้านมอร์ซี

ประชาชนอียิปต์ หวนคืนจัตุรัสทาห์รีร์ ชุมนุมต้านมอร์ซี

 

Mass anti-Morsi rally in Egyptian capital


หลัง ปธน. โมฮาเม็ด มอร์ซี ออกประกาศกฤษฎีกาให้อำนาจเหนือการตรวจสอบอ้างปกป้อง 'การปฏิวัติ' ปชช. ที่ไม่พอใจหลายพันคนก็พากันมาชุมนุมที่จัตุรัสทาห์รีร์ ซึ่งเป็นพื้นที่แห่งประวัติศาสตร์ขับไล่ผู้นำเผด็จการคนก่อนหน้านี้ ด้านมอร์ซีเข้าหารือกับฝ่ายตุลาการ ยันไม่เปลี่ยนแปลงคำประกาศ

วันที่ 27 พ.ย. 2012 ประชาชนชาวอียิปต์หลายพันคนกลับมารวมตัวกันที่จัตุรัสทาห์รีร์ในกรุงไคโรอีก ครั้งเพื่อประท้วงโมฮาเม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดีคนล่าสุดที่มาจากการเลือกตั้ง จากการที่มอร์ซีประกาศกฤษฎีกาที่มอบอำนาจเด็ดขาดให้กับตนเอง

อัลจาซีร่ารายงานว่า มีการปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงและตำรวจปราบจลาจล ที่จัตุรัสทาห์รีร์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดการประท้วงลุกฮือเพื่อโค่นล้มอดีตปธน.ฮอสนี มูบารัค เมื่อเดือน ก.พ. 2011 และมีนักกฏหมายจำนวนหนึ่งออกจากอาคารสมาคมมาร่วมชุมนุมโดยเปล่งคำขวัญว่า "ประชาชนต้องการให้รัฐบาลนี้ล่มสลาย" ซึ่งเป็นคำขวัญเดียวกับที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของการโค่นล้มมูบารัคมาก่อน

ในเมืองอเล็กซานเดรีย มีประชาชนหลายร้อยคนรวมตัวกันที่จัตุรัสคาอีทเบย์ พากันตะโกนคำขวัญว่า "ขอให้ผู้นำสูงสุดจงออกไป" โดยที่ 'ผู้นำสูงสุด' หรือ Supreme Guide เป็นคำที่ใช้เรียกผู้นำของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม กลุ่มที่สนับสนุนมอร์ซีจนได้เป็นรัฐบาลอียิปต์

ขณะเดียวกันกลุ่มมวลชนของภราดรภาพมุสลิมซึ่งให้การสนับสนุนมอร์ซี ก็หมายจะชุมนุมแสดงจุดยืนของตนแต่ก็ถูกบอกเลิกชุมนุมเนื่องจากเกรงว่าจะเกิด เหตุการณ์ไม่สงบ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองกลุ่มนี้ลดน้อยลง

ในการชุมนุมที่จัตุรัสทาห์รีร์มีการเขียนป้ายต่อว่า "กลุ่มภราดรภาพมุสลิมช่วงชิงการปฏิวัติไป" อีกป้ายหนึ่งเขียนว่า "กลุ่มภราดรภาพมุสลิมเป็นพวกโกหก" และมีป้านที่เขียนว่าประธานาธิบดี "บีบบังคับให้ประชาชนต้องอารยะขัดขืน"

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/11/43929

เสธอ้าย"กลับลำ พร้อมนำอพส.ก่อม็อบต่อ "เฉลิม"ชี้แค่พักยก-เชื่อคดี99ศพตัวเร่ง

เสธอ้าย"กลับลำ พร้อมนำอพส.ก่อม็อบต่อ "เฉลิม"ชี้แค่พักยก-เชื่อคดี99ศพตัวเร่ง


Posted Image

"เต้น-เฉลิม"แฉขบวนการล้มรบ.ยังอยู่แค่พักยก ชี้คำสั่งศาลชันสูตรคดี 99 ศพตัวเร่ง เลขาฯสมช."ชี้ อพส.ฟังซักฟอกหาประเด็นโค่นรัฐบาล

"อ้าย"คุยพร้อมนำม็อบอีก

อดีต นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 พร้อมภรรยากว่า 30 คน และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเสื้อหลากสี เข้าพบ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม (อพส.) ที่สนามม้านางเลิ้งเมื่อเวลา 10.50 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน เพื่อให้กำลังและมอบช่อดอกไม้ หลังจากที่ พล.อ.บุญเลิศประกาศยกเลิกการ ชุมนุมและประกาศยุติทุกบทบาทเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

จากนั้น พล.อ.บุญเลิศกล่าวถึงแนวทางการเคลื่อนไหวของ อพส.ว่า ยังไม่มีกำหนดว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ต้องการประชุมกันอีกที หากมีการระดมมวลชนอีก เชื่อว่าจะมีผู้ชุมนุมเข้าร่วมจำนวนมาก "ทั้งนี้ ไม่ขอเป็นแกนนำแล้ว ส่วนใครจะขึ้นมาแทนนั้นยังไม่ทราบ ยังไม่ได้คุยกันภายใน อพส.ว่าใครจะเป็นแกนนำ ซึ่งอาจจะเป็น พล.อ. ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ หรือ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ก็ได้ แต่หากประชาชนเรียกร้องให้ผมเป็นผู้นำในการชุมนุมครั้งต่อไปก็พร้อมรับ หน้าที่ต่อ" พล.อ. บุญเลิศกล่าว

เผยได้เงินบริจาคไม่เกิน2ล.

ลอยกระทงไล่ส่งเผด็จการ

ลอยกระทงไล่ส่งเผด็จการ





ลอยอังคารเสธ.อ้าย

(คลิก) 
http://www.youtube.com/watch?v=yZdYoj5EQUk&feature=player_embedded#!

เรารู้จักลอยกระทงกันครั้งแรกเมื่อไร?

เรารู้จักลอยกระทงกันครั้งแรกเมื่อไร?

 


ค่ำคืนพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสำคัญของชาววัยรุ่นและเด็กๆ กันแล้วนะครับ

ใช่ครับ พรุ่งนี้เป็นวันลอยกระทง หัวโบราณจึงมาขอเล่าเรื่องลอยกระทง เพราะว่าประเพณีลอยกระทงยังถูกบิดเบือน หรือเข้าใจผิดกันอยู่(อีกแล้ว)

ปุจฉา เรารู้จักลอยกระทงกันครั้งแรกเมื่อไร? วิสัชนา... ประเพณีลอยกระทงปรากฏขึ้นครั้งแรกในวรรณคดีเรื่องนางนพมาศ พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 1 พ.ค. 2457 ผู้แต่งคือ นางนพมาศ ทำงานในสมัยสุโขทัย จนได้เลื่อนขึ้นเป็น ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ผลงานอันเอกอุคือ การประดิษฐ์โคมลอยรูปดอกกระมุท อันเป็นที่มาของการลอยกระทงนั่นเอง

ประวัติศาสตร์วรรณคดีไทย, แบบเรียนของเด็ก, แม้กระทั่งวรรณกรรมสุโขทัยของกรมศิลปากร ก็กล่าวว่า ประเพณีลอยกระทง เริ่มแรกขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัย ???? !!!!

นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างในการสร้างข้อเท็จ(จริงหรือ?) ให้กับเราๆ ท่านๆ อย่างมาก เพราะแนวคิดปัจจุบันก้าวล้ำคู่ขนานกับโลกาวิวัฒน์ไปนานแล้วว่า “ลอยกระทงไม่ได้เริ่มต้นขึ้นที่สุโขทัย และเรื่องนางนพมาศก็ไม่ได้แต่งในสมัยนี้เช่นกัน”

บรมครูแห่งด้านประวัติศาสตร์ไทยอย่าง กรมพระยาดำรงราชานุภาพ มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่า ไม่ได้แต่งในสมัยสุโขทัยอย่างแน่นอน และน่าจะแต่งขึ้นในสมัย ร.3 รวมไปถึงนักวิชาการแนวหน้าของไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์ พระยาอนุมานราชธน ฯลฯ ก็เห็นพ้องต้องกันกับเรื่องนี้

นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่วิเคราะห์ยืนยันได้ ชัดๆ จะๆ อีกครับ

สุโขทัยเป็นเมืองที่แห้งแล้งมาก(ไม่เหมือนสมัยนี้ ฝนตกทีหนีน้ำแทบไม่ทัน) เนื่องจากภูมิศาสตร์ที่ไม่เอื้ออำนวยเท่าที่ควรตั้งอยู่บนที่ราบเชิงเขา กว่าจะมีทางน้ำไหลผ่านก็ร่วม 10 กว่ากิโล จึงต้องมีการสร้าง “สรีดภงส” และ “ตระพัง” สำหรับกั้นน้ำขึ้นมา เพื่อเก็บน้ำไว้ในด้านชลประทานและตอนแห้งแล้ง ดั่งจารึกที่กล่าวไว้ว่า

“เมืองสุโขทัยนี้มีน้ำตระพังโพยสีใสกินดี ดั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องจารึก จารึกสมัยสุโขทัยทุกชิ้น ไม่มีกล่าวถึงประเพณีอะไรเยวกับการบูชาน้ำเลย และแน่นอนไม่มีกล่าวถึงการลอยกระทง

ทั้งแล้ง ทั้งแห้ง จะใช้น้ำทีคิดแล้วคิดอีก แล้วจะเอาตระพังสระน้ำไปใช้ให้กระทงลอยน้ำเนี่ยนะ เป็นไปบ่ได้ดอก

เรื่องนางนพมาศและการลอยกระทงจึงเป็นแค่ “นิยาย” ที่สมมติขึ้นจากความชื่นชอบในสมัย ร.3

แต่ความจริงลอยกระทงก็อาจไม่ได้เริ่มทำกันตั้งแต่สมัย ร.3 เสมอไป

หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงการลอยกระทงที่เก่าแก่ที่สุด เห็นจะเป็น พระราชพงศาวดารฉบับขุนหลวงหาวัด กล่าวถึงในสมัยพระเจ้าเอกทัศว่า “... พระองค์เสด็จทรงประทีปอยู่บนเรือขนาน แล้วถวายธูปเทียนดอกไม้และกระทงกระดาษตามเทียนและเรือต่างๆ เป็นจำนานมาก...”

การลอยกระทงอย่างน้อยจึงน่าจะมีขึ้นในสมัยอยุธยาแล้ว ซึ่งก็เข้ากันได้ดีกับสภาพวิถีชีวิตของชาวอยุธยาที่อยู่กับ “น้ำ” มายาวนาน

แต่แม้จะมีหลักฐานในช่วงสมัยอยุธยา ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเริ่มทำครั้งในในสมัยอยุธยา เพราะความจริงแล้ว ประเพณีลอยกระทงเป็นวัฒนธรรมร่วมในอุษาคเนย์ ในฐานะ "ประเพณีขอขมาดินและน้ำ" ตามลัทธิการบูชาผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติตั้งแต่สมัยโบราณนานมากๆ แล้ว ซึ่งเดิมทีก็คงใช้ของตามธรรมชาติในอาเซียนทั่วไปเช่น ไม้ไผ่

ประเพณีลอยกระทงจึงเป็นประเพณีในอาเซียนที่ทำทุกประเทศ “ไม่ใช่ของไทย” อย่างเดียว

และที่สำคัญ “ประวัติศาสตร์ปลอมเริ่มต้นที่สุโขทัย นั้นไม่จริง” แต่เริ่มมานานแล้ว เพิ่งจะมา “บูม” เอาช่วง ร.3 นี่เอง

คลิปนี้แหล่ะครับ เป็นคลิปที่ทำให้ม๊อบฟายบุญเลิศแตกกระเจิง

คลิปนี้แหล่ะครับ เป็นคลิปที่ทำให้ม๊อบฟายบุญเลิศแตกกระเจิง





เห็นคลิปนี้ที่ประชาทอล์ค แว่บหนึ่ง
สักครู่ กระทู้ที่วางคลิปนี้ ก็อันตธานหายไปคลิปนี้แหล่ะครับ เป็นคลิปที่ทำให้ม๊อบฟายบุญเลิศแตกกระเจิง แสดงว่า มีการไล่ล่าคลิปนี้ .. อย่างนี้ต้อง Save เก็บ

คลิปนี้แหล่ะครับ เป็นคลิปที่ทำให้ม๊อบฟายบุญเลิศแตกกระเจิง
เล่ากันว่า .. ฟายบุญเลิศหมายมั่นปั้นมือว่าจะใช้คลิปนี้เป็นหมัดเด็ด ปลุกปั่นกระแสคลั่งเจ้า ให้ลุกฮือขึ้นมา หลังจากนั้น ก็น่าจะเกิดความวุ่นวาย ควบคุมไม่ได้ .. และแล้วขบวนรถถัง ก็จะออกมาเพล่นพล่านบนท้องถนน

แต่ฟายบุญเลิศคิดผิดถนัด เหตุการณ์กลับตาลปัตร
หลังจากเปิดคลิปนี้ได้ไม่นานนัก ก็มีโทรศัพท์ต่อสายเข้ามาฟายบุญเลิศระหว่างคุยสาย .. ฟายบุญเลิศหน้าซีด เหงื่อต หลังวางสาย .. ฟายบุญเลิศถึงกับพูดกับคนรอบข้างว่า "ไอ้ฟายตัวที่ชื่อบุญเลิศ มันได้ตายไปแย้ว" เหตุการณ์ต่อจากนั้น คือ ฟายบุญเลิศเดินคอตก ขึ้นไปประกาศสลายม๊อบบนเวที

ทีเด็ดเสธอ้าย พวกโง่แต่ขยัน - YouTube.flv

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=RsvgtNO7Za4#!

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

จำนำข้าวสไตล์ทักษิณ

จำนำข้าวสไตล์ทักษิณ

 

 

โดย อ.เกษียร เตชะพีระ


นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ผมรับได้ในทางการเมือง เป็นการใช้อำนาจรัฐและเงินงบประมาณรัฐแทรกแซงขนานใหญ่เข้าไปในตลาดข้าว ทำให้รัฐกลายเป็นผู้ซื้อรายใหญ่สุด เป้าหมายเพื่อ "เกลี่ย" ผลประโยชน์การค้าข้าวที่เคยจัดสรรแบ่งกันแต่เดิมในหมู่กลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสียใหม่ โดยให้ประโยชน์กับชาวนาบางกลุ่มมากขึ้น ซึ่งก็ย่อมมีผู้เสียประโยชน์ ไม่พอใจและพยายามต่อต้านคัดค้าน เช่น ผู้ส่งออกข้าว เป็นต้น ต้นทุน/ผลได้การเมืองเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องชั่งวัดน้ำหนักทางสังคมและรัฐบาลคงต้องจ่าย/ได้คะแนนในทางการเมือง

นั่นแปลว่าข้ออ้างคำโตแค่ว่าตลาดข้าวหรือตลาดสินค้า/บริการ ด้านใดด้านหนึ่งเป็นระเบียบศักดิ์สิทธิ์ ห้ามรัฐยุ่งเกี่ยวแตะต้องสภาพดังที่เป็นอยู่ อันเป็นข้อถกเถียงแบบฉบับของเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมกระแสหลักที่ระแวงการเมือง เกลียดรัฐแทรกแซง แบบตายตัวบ้องตื้นนั้น ฟังไม่ขึ้น มิพักต้องยกมากรอกหูอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในแง่เศรษฐกิจและการบริหารจัดการ นโยบายจำนำข้าวแบบที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำ มีจุดอ่อนอยู่ และเสี่ยงสูง (แบบฉบับทักษิณ) คือเครื่องมือแทรกแซงได้แก่เงินงบประมาณส่วนรวม และก้อนโต ไม่น่าจะทำได้ต่อเนื่องยาวนาน เมื่อทำแล้ว กระทบทำให้ตลาดข้าวเปลี่ยน "ระเบียบเก่า" ทรุดโทรมไป ขณะที่ "ระเบียบใหม่" ยังไม่ลงตัวและอาจไม่ยืนนาน กล่าว คือ มีจุดอ่อนรั่วไหลเยอะ ต้นทุนจะสูงกว่าที่ควรจะเป็น และการยืนนานของนโยบายนี้ไม่แน่ไม่นอนว่ารัฐจะทนควักกระเป้าแทรกแซงเพื่อ "เกลี่ย" ผลประโยชน์ใหม่ไปอีกนานเท่าไร


(อ่านต่อ)

ถอดบทเรียนจากเหตุปัจจัยของการปฏิวัติและรัฐประหาร

ถอดบทเรียนจากเหตุปัจจัยของการปฏิวัติและรัฐประหาร

 

โดย ชำนาญ จันทร์เรือง

 

ปรากฏการณ์ลุกขึ้นมารวมพลขององค์กรพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายเมื่อวัน ที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านแล้วจบลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 9 ชั่วโมง ได้เกิดคำถามและคำตอบขึ้นอย่างมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น และทำไมถึงจบลงตามประสา “หวยออกแล้ว” เช่น เกิดการแตกแยกภายในบ้าง จำนวนคนมาน้อยเกินไปบ้าง ฯลฯ แต่ล้วนแล้วเป็นเหตุผลในด้านข้อมูลประเภทการให้ความเห็นเสียมากกว่า ซึ่งคนที่จะตอบได้ดีที่สุด คือแกนนำที่ประกาศยุติการชุมนุมนั่นเองว่า เกิดอะไรขึ้น

เหตุการณ์การรวมตัวขององค์กรดังกล่าวในระยะเริ่มแรกเป็นลักษณะของการรวมตัวในลักษณะของการที่ต้อง “ปฏิวัติ” ด้วย การประกาศแช่แข็งประเทศ แต่เมื่อถูกต่อต้านมากจึงผ่อนคลายลงเป็นเพียง“รัฐประหาร” ด้วยการที่จะขับไล่รัฐบาล ด้วยการแช่แข็งนักการเมือง ซึ่งไม่มีในบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จึงถือได้ว่าเป็นการรัฐประหารอีกในรูปแบบหนึ่ง เช่นเดียวกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้เคยทำรัฐประหารเงียบมาแล้วในอดีตด้วยการประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตราและปิดสภาผู้แทนราษฎร

การปฏิวัติ (revolution) หมายถึง การใช้ความรุนแรงทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างเบ็ดเสร็จ โดยมีวัตถุประสงค์อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงการเมืองการปกครอง อุดมการณ์ทางการเมือง วัฒนธรรม วิถีชีวิต ระบบเศรษฐกิจ ความเชื่อทางศาสนา และระบบสังคมโดยรวม

การปฏิวัติเป็นความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยครั้งนัก เพราะจะต้องโค่นล้มลงทั้งระบบ ซึ่งหากสภาพสังคมไม่สุกงอมเต็มที่ หรือสภาพสังคมยังไม่พร้อมแล้ว การปฏิวัติจะเป็นไปได้ยากมาก ตัวอย่างของการปฏิวัติที่ผ่านมา ก็คือการปฏิวัติฝรั่งเศส การปฏิวัติรัสเซีย การปฏิวัติจีน และการปฏิวัติเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ของไทยเราที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหา กษัตริย์มีพระราชอำนาจเต็มในการปกครองประเทศ มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นต้น

สาเหตุของการปฏิวัติ

1.สังคมอยู่ในสภาวะที่ขาดสมดุล การปฏิวัติจะไม่เกิดในสภาพที่สังคมที่มั่นคง เรียบง่าย เป็นปกติ แต่มักเกิดในสังคมที่ได้รับความกดดันรอบด้านหรือสังคมที่กำลังเผชิญหน้ากับ การเปลี่ยนแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้กระทบต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง จนเกินกว่าที่อำนาจรัฐสามารถบังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ในภาวะหลังสงครามของฝรั่งเศสและอำนาจรัฐที่อ่อนแอลงของพระมหากษัตริย์ในขณะ นั้น


2.ผู้นำต้องเสียอำนาจและความชอบธรรม ผู้นำมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ผู้นำไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ทำให้ผู้นำไม่สามารถระดมความจงรักภักดีจากผู้ใต้บังคับบัญชาและประชาชนได้ อีกต่อไป

3.การแพร่หลายของอุดมการณ์ปฏิวัติ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ สำคัญที่สุดของการปฏิวัติ เพราะถือว่าเป็นตัวเร่ง (catalyze) ของกระบวนการปฏิวัติ โดยกลุ่มคนที่ไม่พอใจรวมตัวกัน มีอุดมการณ์เป็นตัวชี้นำ และทำให้ประชาชนเห็นว่า หากโค่นล้มระบอบเก่าไป จะสามารถสถาปนาระบอบใหม่ซึ่งให้ความยุติธรรมในสังคม หากได้ผู้นำในลักษณะนี้แล้ว จะทำให้อุดมการณ์ปฏิวัติได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่และทำให้การปฏิวัติ ประสบความสำเร็จ

ซึ่งทั้ง 3 เหตุข้างต้นนี้ องค์กรพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่แรก จนต้องลดเป้าหมายจากการปฏิวัติเพื่อแช่แข็งประเทศไปสู่เพียงการรัฐประหาร เพื่อแช่แข็งนักการการเมืองด้วยการล้มรัฐบาลนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผู้ประท้วงชาวอิหร่านหันซ้ายหันขวา เจอแต่ศัตรูกับปัญหา

ผู้ประท้วงชาวอิหร่านหันซ้ายหันขวา เจอแต่ศัตรูกับปัญหา

 

 

การออกมาประท้วงของชาวอิหร่าน เมื่อตอนต้นเดือนตุลานี้ เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจน ถึงความไม่พอใจของชาวอิหร่าน แม้เวลาจะผ่านมา ๓ ปีแล้ว นับจากการลุกขึ้นประท้วงของประชาชนหลายแสนคน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปประชาธิปไตย

แปลโดย  ครรชิต พัฒนโภคะ 
ที่มา http://socialistworker.co.uk/art.php?id=29736


ปัญหาวิกฤตเงินเฟ้อในอิหร่าน เติมเชื้อไฟให้กับการประท้วง
 
นีมา สุลต่านซาเดซ (NimaSoltanzadeh) กล่าวโทษทั้งทางรัฐบาลอิหร่าน และการแทรกแซงจากชาติตะวันตก ประชาชนหลายพัน ถูกตำรวจปราบจลาจล เข้าสลายการชุมนุม เมื่อวันพุธต้นเดือนตุลาที่ผ่านมา หลังจากที่พวกเขาตะโกนคำขวัญในการประท้วง คัดค้านรัฐบาล รอบๆ ตลาดเก่าในกรุงเตหะราน

การประท้วงครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นจาก การที่ร้านค้าต่างๆ ได้พากันปิดตัวลง จากผลกระทบมูลค่าสกุลเงินของอิหร่าน เพราะภายในเวลาเพียงสองวัน ค่าของเงินรีลได้ตกลงถึงหนึ่งในสี่ ขณะที่เมื่อปี 2009 อัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง เงินอิหร่านรีล กับหนึ่งดอลล่าร์ เท่ากับ 9,000 แต่เมื่อปลายเดือนกันยา ค่าเงินรีลอ่อนค่าลงอีกถึง 35,000 ต่อดอลล่าร์


จากเหตุนี้ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคถีบตัวสูงขึ้น ประชาชนคนธรรมดาในอิหร่านที่ตามปกติก็หางานทำไม่ค่อยมีหรือได้ค่าแรงต่ำอยู่ แล้ว ยังต้องมาพบกับปัญหาเศรษฐกิจซ้ำเติมอีก เช่น ราคาเนื้อไก่ขยับเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัว ในช่วงครี่งปีแรกของปีนี้


ขณะที่นโยบายของรัฐบาลอิหร่านสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจในระดับหนึ่ง การแทรกแซงโดยรัฐบาลชาติตะวันตก เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ประชาชนธรรมดาๆ ต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนถูกบีบ ระหว่างสองปัญหาใหญ่ นั่นคือชาติตะวันตกปิดกั้นการส่งออกน้ำมัน ซึ่งมีผลทำให้กองทุนดอลล่าร์สำรองของรัฐลดลง ส่งผลให้การนำเข้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นลดลงตามไปด้วย


การออกมาประท้วงของชาวอิหร่าน เมื่อตอนต้นเดือนตุลานี้ เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจน ถึงความไม่พอใจของชาวอิหร่าน แม้เวลาจะผ่านมา ๓ ปีแล้ว นับจากการลุกขึ้นประท้วงของประชาชนหลายแสนคน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิรูปประชาธิปไตย ขณะที่การเคลื่อนไหวถูกปราบปราม ยับยั้ง แต่ความโกรธของประชาชนก็ยังคงดำรงอยู่ การประท้วงประปรายยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และจำนวนครั้งในการประท้วงนัดหยุดงานก็ขยับเพิ่มสูงขึ้น


อย่างไรก็ตาม การแทรกแซงทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก และความเสี่ยงต่อภัยสงคราม กำลังทำร้ายความเป็นอยู่ของชาวอิหร่าน และสร้างอุปสรรคให้กับการลุกขึ้นประท้วงครั้งใหญ่ เพื่อเรียกร้อง ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม  เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ดูได้จากการที่นักการเมือง อเมริกา ยุโรปและอิสราเอล พยายามเบี่ยงเบนประเด็นข้อเท็จจริงในการประท้วงที่เตหะราน ให้กลายเป็นแผนอาณานิคมของพวกเขา


รัฐมนตรีฝ่ายขวาจัดของอิสราเอล อวิดอร์ ไลเบอมาน (Avigdor Lieberman) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เขาบอกว่า
“การลุกขึ้นมาของคนอิหร่าน” เป็นหนึ่งในปรากฏการณ์ “อาหรับสปริง” นั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญอเมริกัน ก็อ้างว่าการแทรกแซงของชาติตะวันตกนั้น ในที่สุดได้ปลุกกระแสการเรียกร้องเสรีภาพให้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง

เมื่อหกปีที่แล้ว เมื่อมหาอำนาจตะวันตกประกาศว่าการแทรกแซงอิหร่านนั้น จะพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลเท่านั้น และจะไม่ให้มีผลกระทบกับประชาชน  แต่ตอนนี้พวกเขายอมรับว่า รัฐบาลตะวันตกกำลังหาประโยชน์จากความทุกข์ยากของประชาชนคนธรรมดา เพื่อผลประโยชน์ที่จะมีมาจากการเปลี่ยนแปลงระบอบ และในความเป็นจริงการแทรกแซงใดๆ ก็ตามของตะวันตก มันก็มักจะทำให้การควบคุมประชาชนจากพวกชนชั้นปกครองอิหร่านยิ่งมากขึ้นด้วย



ภายหลังการประท้วง อยาโตเลาะห์ โคไมนี่ (Ayatollah Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ประกาศว่า “อิหร่านจะไม่ยกเลิกโครงการ นิวเคลียร์”

 การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังใกล้เข้ามา โดยมีกำหนดในเดือนกรกฎาคมปีหน้านี้ พวกชนชั้นนำกลุ่มต่างๆ พยายามจะหาวิธีขโมย ประเด็นการประท้วงจากความไม่พอใจของประชาชนให้เกิดเป็นผลประโยชน์ต่อพวกเขา นักการเมืองอนุรักษ์นิยมเศรษฐีพันล้านอย่าง ฮะบีบนเลาะห์ อัคราวลาดี (Habibollah Asgarowladi) ออกมาพูดปกป้องความจำเป็นต้องปิดร้านค้าของพวกพ่อค้าในตลาดเมื่อต้นเดือน ตุลาเช่นกัน การเกาะเกี่ยวกันของพ่อค้าตลาดเหล่านั้นกับชนชั้นปกครอง และแนวการเมืองที่สนับสนุนกลไกตลาดของพวกเขา มันหมายความว่าพ่อค้าในตลาดไม่อาจจะมาเป็นพันธมิตรกับคนงานกรรมกรได้


นักกิจกรรมเคลื่อนไหวด้านแรงงานเอง ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งองค์กรขึ้นอย่างเปิดเผยในอิหร่าน แต่เมื่อเดือนมิถุนายน พวกเขาได้ยื่นข้อเรียกร้องคัดค้านการขึ้นค่าครองชีพ ขณะที่ค่าจ้างขั้นต่ำไม่พอใช้จ่าย ต่อรัฐมนตรีที่รับผิดชอบสวัสดิการแรงงานและกิจการสังคม ซึ่งมีคนร่วมลงชื่อถึงหนึ่งหมื่นคน และยังได้รายชื่อเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหมื่นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
 

การประท้วงแบบนี้มีโอกาสที่เติบโตเป็นการเคลื่อนไหวของมวลชนขนาดใหญ่ที่มี ฐานมาจากคนระดับล่างได้ การออกมาประท้วงในละแวกตลาดเก่าครั้งนี้ อาจจะมีคนใส่ใจในข่าวเพียงไม่กี่พันคนจากประชากร ๑๒ ล้านของเตหะราน แต่พวกคนงานหลายล้านต่างก็รับรู้ และร่วมแบ่งปันความไม่พอใจในเรื่องนี้ด้วย
 

การเคลื่อนไหวประท้วงที่จะเข้าถึงจิตใจของชนชั้นผู้ใช้แรงงานในอิหร่าน ได้ดี จำเป็นต้องพุ่งเป้าไปที่ รัฐบาลชาติตะวันตก พร้อมๆ กับชนชั้นปกครองของอิหร่านเองด้วย

(ที่มา)  
http://turnleftthai.blogspot.dk/