หน้าเว็บ

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

"เดินหน้าประชาธิปไตย"

"เดินหน้าประชาธิปไตย"



 
เดินหน้าประชาธิปไตย 05 1 57
https://www.youtube.com/watch?v=mQRh_xs79Wc

เดินหน้าประชาธิปไตย 4 1 57
http://www.youtube.com/watch?v=k2kBsf7J7xI 


ณ วันนี้ เส้นแบ่งทางการเมืองว่า จะชอบธรรมหรือไม่ชอบธรรม จะสันติหรือสงครามกลางเมือง คือ จะเอาเลือกตั้งหรือไม่

คนไทยส่วนข้างมากต้องการเลือกต้อง มีแต่ม็อบเทือก พวกพันธมิตรเสื้อเหลืองที่วันนี้กลายพันธุ์มาเป็นม็อบนกหวีด+ธงชาติ และพรรคประชาธิปัตย์อีแอบ ที่ไม่เอาเลือกตั้ง และจะสถาปนาระบอบสภาประชาชนฟัสซิสต์ขึ้นมาแทน


วันนี้ ไม่ใช่เรื่องของเสื้อแดงอย่างเดียวแล้ว แต่เป็นเรื่องของประชาชนส่วนข้างมากที่ถึงจะไม่ใช่เสื้อแดง แต่เขาต้องการให้แก้ปัญหาด้วยการเลือกตั้ง และไม่เอาม็อบเทือก

เราต้องเข้าใจพี่น้องประชาชนเหล่านี้ คนกลุ่มนี้เขามีจำนวนมากมายและหลาก หลาย เขาอาจจะไม่ชอบทักษิณ เฉย ๆ กับยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย บางคนอาจจะหวาด ๆ เสื้อแดง หลายคนชอบปชป. อยากเลือกตั้ง แต่ผิดหวังที่ปชป.บอยคอต คนพวกนี้มีจุดร่วมคือ อยากเลือกตั้ง ไม่เอาระบอบสภาแต่งตั้ง ฉะนั้น คนพวกนี้คือ เพื่อนของประชาธิปไตย 

เราต้องสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่ เชียร์พวกเขาให้แสดงออกว่า ต้องการเลือกตั้ง ช่วยพวกเขาตอบโต้กระแสพวกนกหวีด นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการสวนกระแสม็อบเทือกและป้องกันรัฐประหาร 

สิทธิ(ที่จะมีชีวิตใน)เมือง ท่ามกลางสงครามการผลิตพื้นที่

สิทธิ(ที่จะมีชีวิตใน)เมือง ท่ามกลางสงครามการผลิตพื้นที่




โดย อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

ในห้วงเวลาของการนับถอยหลังไปสู่การ "ปิดกรุงเทพฯ" ในวันที่ 13 มกราคม ที่จะมาถึงนี้ ผมก็อยากจะมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์เรื่องราวของการปิดกรุงเทพฯในหลายมิติ สักหน่อยที่แตกต่างไปจาก "คำอธิบายที่เป็นทางการ" ของฝ่ายผู้รณรงค์การปิดกรุงเทพฯเอง

ในมิติแรก การปิดกรุงเทพฯนั้นก็เป็นเรื่องของ "สงครามของความภักดี" ว่าตกลงจะภักดีกับ "รัฐบาล" หรือ ระบอบทักษิณ ในด้านหนึ่ง หรือจะภักดีกับ "ระบอบสุเทพ" หรือคำอื่นๆ เช่น มวลมหาประชาชน และ การปฏิวัตินกหวีด

การรณรงค์ใน เรื่องนี้ในทางหนึ่งอ้างว่าเป็นเรื่องที่กระทำได้ หากเป็นเรื่องของการอ้างสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และจะต้องเข้าสู่การตีความจากองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยังมีการอ้างว่าได้รับการรับรองคุณภาพของความเป็นสันติวิธีจากบรรดา นักสันติวิธีบางท่าน ไม่ว่าที่ผ่านมาจะตายกันไปกี่ศพ บาดเจ็บไปแล้วกี่ราย หรือจะมีความรุนแรงที่กระทบจิตใจไปแล้วเท่าไหร่ก็ตาม

ที่สำคัญก็คือ เมื่อสังคมไทยอยู่ในตรรกะที่ว่าผู้ชนะคือผู้กำหนดเกมส์ การกระทำใดๆ ที่จะนำไปสู่ชัยชนะก็จะทำให้มีแรงผลักดันในส่วนลึกว่าจงมุ่งมั่นที่จะกระทำ ให้สำเร็จเถิด (วาทกรรมแบบทุบหม้อข้าว หรือ สู้ไม่ถอย ก็น่าจะมาจากเรื่องแบบนี้นี่แหละครับ)

คำถามเรื่องของสงครามความ ภักดีนี้เป็นเรื่องที่ "ยิ่งใหญ่" จริงๆ ตามการกล่าวอ้างหรือไม่? หรือว่าคำถามนี้ถูกทำให้ใหญ่ขึ้นทั้งที่ฐานคิดในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาจ ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น?

กล่าวคือเรื่องการปิดกรุงเทพฯนั้นเป็นเรื่องของ ความยิ่งใหญ่ของการปิดกั้นหรือเชิญชวนด้วยเสียงนกหวีดและ(เสาธง) ให้เลิกให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ทั้งที่เป็นอยู่คือสถานการณ์ของการเลือกตั้งที่รัฐบาลเป็นเพียงผู้ รักษาการณ์? ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากอยู่ว่าการเชิญชวนให้เลิกภักดีต่อรัฐบาล และหันมาภักดีกับการปฏิวัตินกหวีดนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะในขณะนี้สิ่งที่เผชิญหน้ากับระบอบการปฏิวัตินกหวีดหรือระบอบสุเทพนั้น คือการเลือกตั้งที่อยู่ในมือขององค์กรอิสระและระบอบรัฐธรรมนูญ?(หรือนี่คือ เหตุผลจริงของการพยายามจูงใจให้องค์กรตามรัฐธรรมนูญตัดสินไปในแนวทางที่พวก เขาต้องการไม่ว่าการตีความและตัดสินนั้นจะละเมิดเขตอำนาจขององค์กรตัวเองมาก ขึ้นทุกวันๆ?)


พูดง่ายๆก็คือเรากำลังเผชิญหน้ากันระหว่าง "มวลมหาประชาชน" ที่เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามแนวทางที่ตนต้องการที่ถูกต้องหนึ่ง เดียว กับ "ประชาชน" ที่เข้าสู่การเลือกตั้งเพื่อกำหนดชีวิตของพวกเขาท่ามกลางความหลากหลายทาง ความคิดที่สามารถสะท้อนออกมาในระดับหนึ่งจากสัดส่วนและกระบวนการเข้าสู่ อำนาจตามรัฐธรรมนูญ?
จริงหรือที่การปิดกรุงเทพฯ นั้นจะสามารถส่งสารว่าจะเกิดปรากฏการณ์"รัฐล้มเหลว" ในความหมายของ "รัฐบาลล้มเหลว" ทั้งที่สิ่งที่อาจจะเปิดขึ้นก็คือกระบวนการ "รัฐธรรมนูญและระบอบรัฐธรรมนูญล้มเหลว" หรือเปล่า? และถ้าใช่ก็หมายถึง "ระบอบองค์กรอิสระล้มเหลว" มิใช่หรือ?

ประการต่อมา การปิดกรุงเทพฯแล้วถามว่าประชาจะภักดีต่อระบอบสุเทพ หรือรัฐบาล นั้นอาจเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยาก หากนึกถึงพื้นที่เล็กๆ สักแห่งในระดับตำบล ทั้งในแง่ตำบลชนบท หรือ ตำบลในเมือง ที่มีผู้มีอิทธิพลส่งลูกสมุนลงไปถามหาค่าคุ้มครองจากประชาชนและผู้ประกอบการ ที่ใช้ชีวิตตามปกติ ที่ฝ่ายผู้มีอิทธิพลมองว่าเป็นการภักดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และไม่ภักดีต่อฝ่ายของตน ดังนั้น การแสดงออกถึงความภักดีที่มีต่อฝ่ายของตนนั้นย่อมจะต้องถูกกระทำขึ้นง่ายๆ เช่นไปทำให้ชีวิตปกตินั้นเกิดขึ้นไม่ได้

ทางออกจากวิกฤต

ทางออกจากวิกฤต


 
 
โดย อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์


เรากำลังเผชิญกับวิกฤตทางการเมืองครั้งใหญ่สุด และเราจะออกจากวิกฤตนี้ได้อย่างไร

สิ่งที่ต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนก็คือ วิกฤตครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งกันทางการเมือง เพราะความขัดแย้งนี้ดำเนินมาในสังคมไทยกว่า 7 ปีแล้ว แม้ทำให้การเมืองไทยลุ่มๆ ดอนๆ แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ รวมแม้แต่การริเริ่มนโยบายใหม่เช่นปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ครอบคลุมคนทั้งประเทศ อันอาจส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่

วิกฤตครั้งนี้เกิดจากการล้มล้างระเบียบกฎเกณฑ์ทั้งมวล ที่ช่วยกำกับความขัดแย้งไม่ให้เหลือแต่ใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกัน จะดีจะชั่ว สังคมไทยก็มีระเบียบกฎเกณฑ์หรือกฎหมาย ที่ทำให้เราต่างจากซ่องโจรที่คนกำปั้นใหญ่รวบอำนาจทั้งหมดไว้ในมือ หนักข้อกว่าการรัฐประหารของกองทัพเสียอีก

เมื่อกองทัพทำรัฐประหาร กฎหมายที่คณะรัฐประหารทุกคณะล้มล้างทันทีคือรัฐธรรมนูญ แต่ยังรักษากฎหมายอื่นๆ ไว้ทั้งหมด ในครั้งนี้ นอกจากม็อบสุเทพจะล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังละเมิดกฎหมายอื่นๆ อีกหลายมาตรา ขัดขวางการทำงานโดยปกติของรัฐ เช่นยึดที่ทำการของรัฐ ปิดล้อมมิให้โรงพักรับแจ้งความ ใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ขัดขวาง กกต.มิให้จัดการเลือกตั้งโดยสงบ ก่อวินาศกรรมกับรถตำรวจ ทำโจรกรรมในสถานที่ราชการที่ปิดล้อมไว้ ฯลฯ

ความขัดแย้งของกลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งดำเนินมาหลายปี ได้แปรเปลี่ยนเป็นความขัดแย้งระหว่างอาชญากรกับรัฐ

ผมคิดว่าผิดถนัดที่หลายองค์กรมองวิกฤตครั้งนี้ เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มการเมืองต่างกลุ่มเหมือนที่ผ่านมา การเสนอตัวเป็น "คนกลาง" เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างอาชญากรและรัฐ เป็นการเสนอตัวที่หลงประเด็น เพราะรัฐหรือผู้ถืออำนาจรัฐแทนปวงชนชาวไทย ไม่มีอำนาจที่จะรอมชอมกับอาชญากรให้ละเมิดกฎหมายได้ตามใจชอบเช่นนี้ ทั้งกฎหมายและรัฐไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี ที่จะเอาไปยื่นให้แก่ใครเพื่อยุติความขัดแย้งได้ เช่นหาก ครม.ทั้งคณะยอมลาออก นอกจากละเมิดรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดให้ต้องทำหน้าที่จนกว่าจะมี ครม.ชุดใหม่แล้ว ยังเท่ากับยกประเทศไทยให้แก่อันธพาลการเมือง หักหลังประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้ให้อำนาจนั้นแก่นายกรัฐมนตรี

ผิดถนัดอีกเช่นกัน ที่ไปคิดว่าสภาพจลาจลซึ่งกลุ่มอันธพาลการเมืองก่อขึ้นในการบุกรุกเข้าไปใน สถานที่รับเลือกตั้ง จนทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตา เป็นความน่าอับอายและทำให้ภาพพจน์ของประเทศเสื่อมเสียในสายตาของต่างชาติ ตรงกันข้ามหากปล่อยให้อันธพาลเข้าไปยึดสถานที่ จนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ต่างหาก ที่น่าอับอายและทำลายภาพพจน์ของสมรรถภาพของรัฐในการอำนวยความมั่นคงและ ปลอดภัยแก่สังคม ใครอยากมาเที่ยวในประเทศนี้ ใครอยากทำสัญญากับคนไทยซึ่งไม่มีรัฐให้หลักประกันใดๆ

เช่นเดียวกับสื่อกระแสหลักอีกมาก ที่รายงานข่าวฝ่ายอันธพาลทางการเมืองประหนึ่งวีรบุรุษ มองรัฐและกลุ่มอันธพาลว่ามีความชอบธรรมเท่ากัน หรือแม้แต่เห็นอันธพาลมีความชอบธรรมมากกว่า ทำให้สังคมหลงประเด็นว่า เรากำลังเผชิญทางเลือก 2 ทางที่มีความชอบธรรมเท่ากัน ทั้งๆ ที่ทางเลือกที่ฝ่ายอันธพาลการเมืองเสนอ ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นคำสั่งที่ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติตามอย่างปราศจากเงื่อนไข โดยอาศัยฝูงชนเป็นเครื่องมือ ไม่ต่างจากในซ่องโจร ที่ผู้นำซึ่งรวบรวมกำลังโจรได้มากกว่า ย่อมสามารถประกาศิตความเป็นไปของซ่องโจรได้ตามใจตนเองแต่ผู้เดียวหรือฝ่าย เดียว

กลุ่มอันธพาลการเมืองเหล่านี้ไม่ได้ท้าทายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่ท้าทายกฎหมายและระเบียบแบบแผนทางการเมืองของสังคมไทยทั้งหมด

ที่น่าเศร้าก็คือ ประชาชนจำนวนมากในกรุงเทพฯ (และที่ขนกันมาจากภาคใต้) คิดว่า นี่คือการแสดงความรักชาติ

(อ่านต่อ)

ร่วมกันส่งโปสการ์ดให้ กกต. “เราจะไปเลือกตั้ง!”

ร่วมกันส่งโปสการ์ดให้ กกต. “เราจะไปเลือกตั้ง!”


 

สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย ขอเชิญประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศ ร่วมกันส่งโปสการ์ด ให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อแสดงเจตนารมย์ปกป้องประชาธิปไตย และให้ กกต. ทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งตามอำนาจรัฐธรรมนูญได้มอบหมายไว้โดยสุจริตใจและเที่ยงธรร 

ร่วมกันส่งโปสการ์ดไปที่ :
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
120 ม.3 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ
อาคาร บี ชั้น 3 ถนนแจ้งวัฒนะ
แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
กรุงเทพฯ 10210 



?5 เสือ กกต.สั่ง จนท.ยึดพระราชดำรัสในหลวง ทำบ้านเมืองสงบ?  

กกต. ไม่ใช่ท้าวมาลีวราช
จะห้ามญาติศึกเหนือกับเสือใต้
มีหน้าที่ก็จงจัดเลือกตั้งไ
สองกุมภาฯ ประชาไทย จะตามทวง!

ศาลรธน.วินิจฉัยแก้ ม.190 ขัด ม.68 ทำลายดุลยภาพการตรวจสอบถ่วงดุล

ศาลรธน.วินิจฉัยแก้ ม.190 ขัด ม.68 ทำลายดุลยภาพการตรวจสอบถ่วงดุล



คลิปนิติราษฎร์แถลงการณ์ต่อคำวินิจฉัยศาลรธน. กรณีแก้ไขที่มาส.ว.
http://www.enlightened-jurists.com/page/292

กด like และ share บอกกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวิกฤติครั้งนี้ว่า "เราไม่ลืม" และหากยอมรับให้คำวินิจฉัยนี้มีผลในทางกฎหมาย ย่อมส่งผลกระทบต่อระบอบประชาธิปไตย การแบ่งแยกอำนาจ ทำให้รัฐสภาไม่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามเจตจำนงของประชาชนได้ มีผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นผู้มีอำนาจในการอนุญาตว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะทำได้หรือไม่ เพียงใด ประเทศไทยจะกลายเป็น “รัฐตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ในที่สุด

การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญในคดีนี้ นอกจากจะไม่ช่วยยุติความขัดแย้งแล้ว ยังเป็นชนวนก่อให้เกิดวิกฤติในทางรัฐธรรมนูญ ความปั่นป่วนวุ่นวายต่อระบบกฎหมายและสถาบันทางการเมือง จนยากแก่การเยียวยาให้กลับฟื้นคืนดีได้ในอนาคต

อ่านแถลงการณ์คณะนิติราษฎร์ เรื่อง คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญกรณีรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
ได้ที่:http://www.enlightened-jurists.com/blog/86
 



ศาลรธน.วินิจฉัยแก้ ม.190 ขัด ม.68 ทำลายดุลยภาพการตรวจสอบถ่วงดุล 
http://www.prachatai.com/journal/2014/01/51013

ป.ป.ช.เรียก 308 ส.ส.-ส.ว. ชี้แจงข้อกล่าวหาคดีแก้ รธน. 15-17 ม.ค. นี้