สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ถึง ‘พี่เสกที่นับถือ’: “ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา”
หมายเหตุ: ชื่อบทความเดิม ’ “ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา”: ตอบจดหมายกรณี นิติราษฎร์-ครก.112 ของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล
เรียน พี่เสก ที่นับถือ
ผมอ่านจดหมายชี้แจงกรณี “นิติราษฎร์-ครก.112” ของพี่เสกด้วยความรู้สึกเศร้าใจมากกว่าอย่างอื่น ความจริง ผมว่า พี่เสก คง “ชรา” แล้วอย่างที่พี่เสกพูดถึงตัวเองในจดหมายจริงๆ จึงตัดสินทำอะไรที่ไม่ควรทำเช่นนี้ ที่ในระยะยาวมีแต่จะเป็นการลดทอนชื่อเสียงเกียรติภูมิและฐานะทางประวัติ ศาสตร์ของพี่เสกลงไปอีก
ก่อนอื่น ใครที่ได้อ่านจดหมายของพี่เสกฉบับนี้ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงอดคิดไม่ได้ว่า ที่พี่เสกเพิ่งมาออกจดหมายฉบับนี้ – สองสัปดาห์หลังจากมีการประกาศชื่อผู้ร่วมลงนามสนับสนุนร่างแก้ไข 112 ของ นิติราษฎร์ (ซึ่งรวมชื่อพี่เสกอยู่ด้วย) ก็เพราะหลายวันที่ผ่านมา มีกระแสโจมตี “นิติราษฎร์” อย่างหนัก ซึ่งนับเป็นเรื่องน่าเสียใจว่า “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ผู้เคยนำมวลชนลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญไม่ถอย เมื่อ 40 ปีก่อน (ในท่ามกลางเพื่อนรุ่นเดียวกันหลายคนที่หวั่นไหวกับการขู่ของอำนาจทหารฟัส ซิสต์) กลายมาเป็นคน “ใจเสาะ” อ่อนไหวง่ายกับกระแสโจมตี ที่ทั้งหมด มีแต่เสียงคำรามแบบป่าเถื่อน ไม่มีร่องรอยของภูมิปัญญาอยู่เลยนี้ ไปได้เสียแล้ว
ความจริง กระแสโจมตีในขณะนี้ พุ่งเป้าไปที่นิติราษฎร์เท่านั้น เรียกว่าไม่มีการกล่าวถึงคนอื่นๆที่ร่วมลงนามเลย อย่าว่าแต่พี่เสกเลย แม้แต่คนที่ใกล้ชิดหรือมีท่าทีสนับสนุนนิติราษฏร์มากกว่าพี่เสกหลายเท่า เช่น อาจารย์ชาญวิทย์ หรือ อาจารย์นิธิ (ที่พูดในงานเปิดตัวด้วย) ก็ยังเรียกว่าไปไม่ถึง ก็แล้วทำไมพี่เสกจะต้อง “ร้อนตัว” ออกจดหมายมาชี้แจงแบบนี้เล่า?
ผมเชื่อว่า ทุกคนตระหนักดีว่า ในการรณรงค์ที่ใช้รูปแบบร่วมลงชื่อกันมากๆ เป็นร้อยคนขึ้นไปเช่นนี้ แต่ละคนย่อมอาจจะมีเหตุผลเฉพาะของตัวเอง และไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกับคนที่เป็นผู้ริเริ่มทั้งหมด แต่อย่างน้อย ในฐานะที่แต่ละคนเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะและวิจารณญาณกันแล้ว (อย่าว่า “ชรา” แล้ว อย่างพี่เสก) การลงชื่อ หรือยอมให้ชื่อของตัวเองรวมเข้าไปด้วย ย่อมมาจากการต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอเช่นนั้น ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือมุมมองเฉพาะของตัวเองอย่างไร ดังนั้น จะว่าไปแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่แต่ละคนจะต้องออกมาชี้แจงเลย ยิ่งในเมื่อกระแสโจมตีในกรณีนี้ หาได้พุ่งเป้าไปที่ใครโดยเฉพาะ (นอกจากนิติราษฎร์) ที่แน่ๆ ผมก็ไม่เห็นกระแสโจมตีนี้ ไปแตะถึงตัวพี่เสกเลย
แต่ตอนนี้ พี่เสกกลับรู้สึกว่าจำเป็นต้อง “ชี้แจงจุดยืนของตัวเองให้กระจ่าง” โดยอ้างว่า ที่ลงชื่อไปนั้น “เนื่องจากถูกขอร้องโดยผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ และผมเองก็ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่อยู่ในกรอบของการปฏิรูป กฎหมาย มีเนื้อหากลางๆ ออกไปในแนวมนุษยธรรม และที่สำคัญคือยังคงไว้ซึ่งจุดหมายในการพิทักษ์รักษาสถาบันสำคัญของชาติ”
ก่อนอื่น ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า หลังๆ ดูๆ พี่เสกจะชอบ “ออกตัว” เวลาทำอะไรที่มีลักษณะเป็นประเด็นถกเถียง (controversial) ในลักษณะนี้คือ “ถูกผู้ใหญ่ขอร้อง” คราวที่พี่เสกไปรับตำแหน่งในคณะกรรมการปฏิรูป ก็บอกว่า “หนึ่ง-ผมเกรงใจท่านอดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน ที่อุตส่าห์เชิญผมไปร่วมงาน” (ใน คำสัมภาษณ์นิตยสาร “ค คน”) พี่เสกก็แก่มากแล้ว ทำไมจะต้องคอย “ออกตัว” (แก้ตัว) ในลักษณะนี้ให้เด็กๆ อายุคราวหลานหลายคนที่เขาร่วมลงชื่อครั้งนี้รู้สึกสมเพชด้วยเล่า? พวกเขาเด็กปานนั้น ยังไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าที่ทำไปเพราะคนเป็นผู้ใหญ่กว่าขอให้ทำเลย
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/01/38965
"จิตภัสร์" ปลุกคนต้านข้อเสนอแก้112 "เสกสรรค์" ปัดไม่เกี่ยว "นิติราษฎร์" และจม.จาก "สมศักดิ์ เจียมฯ"
น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในวันเสาร์ที่ 28 มกราคมนี้ เวลา 12.00 น. ขอเชิญชวนคนรุ่นใหม่ และผู้มีใจรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มารวมตัวกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เพื่ออ่านแถลงการณ์แสดงความจงรักภักดีต่อสถาบัน และรณรงค์ต่อต้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ถือว่าเป็นเรื่องที่กระทบต่อสถาบัน โดยในการรวมตัวกันครั้งนี้ได้เชิญชวนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วย และได้รับเสียงตอบรับในการเข้าร่วมจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา กลุ่มเฟซบุ๊กเรารักในหลวง รวมทั้งยังมี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี เข้าร่วมด้วย ซึ่งตนและกลุ่มคนรุ่นใหม่จะร่วมลงชื่อกับกลุ่มเสื้อหลากสีในการคัดค้านการ แก้ไขมาตรา 112 ด้วย โดยการดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์
"เสกสรรค์" รับหนุนข้อเสนอปฏิรูปกม.หมิ่น แต่ไม่ใช่แกนนำครก.112-ไม่เกี่ยวข้องนิติราษฎร์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล นักวิชาการและนักเขียนอาวุโส หนึ่งในปัญญาชน 112 คนแรก ผู้ร่วมลงนามสนับสนุนร่างแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ของคณะนิติราษฎร์ ที่รณรงค์โดยคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ได้เขียนจดหมายชี้แจงจุดยืนของตนเอง ซึ่งมีเนื้อหาว่า
(อ่านต่อ)http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327646365&grpid=01&catid=&subcatid=
ทำอย่างไรต่อการปรองดองของเพื่อไทย กับอำมาตย์
โดย ลั่นทมขาว
การ “ปรองดอง” ระหว่างอำมาตย์กับฝ่ายแกนนำขบวนการประชาชน ที่เคยพยายามสู้เพื่อล้มอำมาตย์ไม่ใช่สิ่งใหม่ หลังวิกฤตและสงครามกลางเมืองระหว่างอำมาตย์กับพรรคคอมมิวนิสต์ ความพ่ายแพ้ของพรรคนำไปสู่การปรองดองในเชิงยอมจำนนสำหรับอดีตนักสู้ ปัญญาชน และนักศึกษาของพรรคคอมมิวนิสต์ โดยมีการสร้าง “ข้อตกลง” สู่สันติภาพและความสงบ และมีการอภัยโทษทุกฝ่าย
ต่อจากนั้นอำมาตย์ก็ยอมให้มีการเลือกตั้งในกรอบรัฐสภาทุนนิยม แต่มีเงื่อนไขคือไม่ให้มีพรรคของฝ่ายสังคมนิยมหรือของคนงานกรรมาชีพเลย มีแต่การเลือกตั้งแข่งกันระหว่างพรรคนายทุนที่ไม่แตกต่างกันในเชิงนโยบายเลย มันคือยุคทองของระบบซื้อขายเสียงและอำนาจเงินในการเลือกตั้ง แต่สภาพเช่นนี้มีเสถียรภาพได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น
ในขณะเดียวกันอดีตนักสู้คอมมิวนิสต์ก็เลิกสู้กับรัฐ และในทางความคิดส่วนใหญ่ก็ยอมจำนนต่อสถาบันต่างๆ ในโครงสร้างอำมาตย์โดยสิ้นเชิง ทุกฝ่ายจับมือกันและประกาศว่า “หมดยุคแห่งสังคมนิยมแล้ว” แต่ นั้นไม่ได้หมายความว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือความสำคัญของชนชั้นหายไปจากสังคมไทยแต่อย่างใด มันแค่ถูกกดทับด้วยการลดประเด็นการเมืองไปสู่ยุค “เอ็นจีโอ” และยุคเศรษฐกิจบูมเท่านั้น
(อ่านต่อ)
http://turnleftthai.blogspot.com/2012/01/blog-post_27.html
ความเป็นไทยที่ถูกลืม ชาติที่ไม่ใช่ของผู้มีปืน
โดย เกษียร เตชะพีระ
ผมได้นำเสนอว่านอกจากความเป็นไทยกระแสหลักแบบสังคม ศักดินา-รัฐอาญาสิทธิ์แล้ว ยังมีมรดกความเป็นไทยกระแสอื่นๆ อีก ชั่วแต่ว่าถูกกดกลบบดบังไว้หรือมองข้ามละเลยไปในประวัติศาสตร์ ไม่ว่ามรดกความเป็นไทยที่เน้นความเสมอภาคของศรีปราชญ์, หรือมรดกความเป็นไทยที่ยืนยันเสรีภาพและระบบรัฐสภาของเทียนวรรณ เป็นต้น
นั่น หมายความว่าเมื่อกล่าวถึงกระแสหลากหลายต่างๆ นานาในวัฒนธรรมไทยแล้ว ไม่ว่าต้นธารจะมาจากไหน: ชมพูทวีป ราชอาณาจักรจีน ตะวันออกกลางหรือยุโรป
ไม่ว่าจะไหลแผ่เข้ามาผ่านสื่อภาษาใด: บาลี/สันสกฤต จีน อาหรับหรือโปรตุเกส/วิลันดา/ฝรั่งเศส/อังกฤษ/เยอรมัน/รัสเซีย
และ ไม่ว่าจะนำพาคติลัทธิศรัทธาอะไรเข้ามา: ฮินดู พุทธ อิสลาม สิกข์ คริสต์ ยิว ขงจื๊อ เจ้าแม่กวนอิม ปุนเถ้ากง ยุครู้แจ้ง เสรีนิยม ประชาธิปไตย ราชาธิปไตย สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ อนาธิปไตย โพสต์โมเดอร์นิสต์ ฟาสซิสต์ ฯลฯ
ลงได้ถูกแปล/แปรเป็นภาษาไทย เข้าปะทะประสานปฏิสัมพันธ์กับคติขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรมและฉันทลักษณ์ไทยๆ มีชีวิตโลดเต้นขับเคลื่อนผันแปรอยู่ในครรลองความคิด ความเชื่อของผู้คนในสังคมไทยแล้ว มันก็ย่อมกลายเป็นน้ำเนื้อส่วนหนึ่งของความเป็นไทยอย่างเป็น ธรรมชาติธรรมดาอยู่ดี ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม
เพราะแต่ไหนแต่ไร มา ที่ตั้งทางวัฒนธรรมของสังคมไทยมักมีลักษณะเป็นเมืองท่าเปิด (entrepot แบบอยุธยา, ธนบุรี, บางกอก) ที่ซึ่งสินค้าข้าวของผู้คนหลากชาติหลายภาษาไหลรวมมา บรรจบกัน, ไม่ใช่ค่ายกักกันหรือเรือนจำความคิดที่มีรั้วรอบขอบชิด (แบบเกาหลีเหนือ เป็นต้น)
(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1327664585&grpid&catid=02&subcatid=0207