ทำไมกฎหมายหมิ่นฯเป็นสิ่งที่แย่และเลวทราม(ก.พ. ๒๕๕๒)
โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
การที่ไทยมีกฎหมายหมิ่น
พระบรมเดชานุภาพ ถือว่ามีไว้เพื่อเป็นการเล่นงานข่มขู่สิทธิเสรีภาพในการพูด
และสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางวิชาการอย่างโหดร้าย ผลกระทบคือเรา
ไม่มีประชาธิปไตยที่เต็มใบและไม่มีมาตราฐานทางวิชาการในมหาวิทยาลัยของเรา
แบบที่นานาประเทศมีอยู่ บรรยากาศ
ที่น่ากลัวแบบนี้จะทำให้คุณภาพทางวิชาการเลวลงเพราะทุกคนเลี่ยงเมื่อพูดถึง
เรื่องจริง เสี่ยงที่จะวิเคราะห์และการโต้แย้งอย่างมีเหตุมีผล
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับแวดวงวิชาการ
คุณภาพการศึกษาในประเทศเราจึงด้อยพัฒนา และสอนให้เด็กกลัวที่จะคิดเองเป็น
คุณภาพ
การศึกษาแย่ๆแบบนี้เริ่มต้นมาจากชั้นประถมและเรื่อยมาจนถึงระบบการศึกษาขั้น
สูง
นักเรียนถูกสอนให้เรียนด้วยการท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองและให้เขียนเรียงความ
ประเภทบรรยาย ที่มีแต่ความเห็นด้านเดียว นักวิชาการปฎิเสธที่จะถกเถียง
และไม่อ่านงานเขียนของคนที่มีความเห็นแตกต่างจากตัวเองจนการโต้แย้งจากนัก
วิชาการด้วยกันมาถือเป็นการทะเลาะส่วนตัว
ราชวงศ์
ไทยถูกกล่าวว่าเป็นสุดที่รักของชาวไทยทั้งปวง
ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
แต่เราต้องเข้าใจว่าในสังคมไทยมีบรรยากาศแห่งความกลัวอันเนื่องมาจากกฎหมาย
หมิ่นฯ พร้อมกันกับการโปรโมทราชวงศ์อย่างบ้าคลั่ง จน
กษัตริย์ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะในทุกด้าน
แถลงการณ์ทุกฉบับที่ออกมาจากกษัตริย์จะถูกแถลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับว่าเป็น
คำสั่งสอนอันสูงสุดและกษัตริย์ได้ถูกอ้างว่าเป็น“บิดาของเรา” และ
เมื่อไม่นานมานี้ลูกจ้างทั้งของเอกชนและของรัฐถูกสั่งให้ใส่เสื้อเหลืองทุก
วันจันทร์หรือใส่ดำทั้งปีเพื่อไว้ทุกข์
หลายๆคนมองว่าเปรียบเหมือนกับประเทศเกาหลีเหนือ
รัฐแทรกแซงในชีวิตคนถึงขนาดที่กำหนดว่าเราต้องใส่เสื้อสีอะไร
อีกหนึ่งตัวอย่างคือนโยบายเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อ
กษัตริย์กล่าวถึงเศรษฐกิจพอเพียง
เราทั้งหมดจะต้องยอมรับและชื่นชมโดยไม่มีคำถามใดๆ
แต่เศรษฐกิจพอเพียงเป็นลัทธิทางการเมืองซึ่งสอนให้คนพึงพอใจกับสถานะความยาก
จนของตัวเองและให้เลิกนึกถึงความเสมอภาค
โชคดีที่ว่ามุมมองแบบล้างสมองเช่นนี้ไม่ได้ผลนักในสังคมไทย
เพราะสังคมซึ่งไม่มีการโต้แย้งทั้งด้านนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองอย่างเปิด
เผยด้วยเหตุผล จะเป็นสังคมแห่งคนปัญญาอ่อนที่ด้อยพัฒนา
แต่ในไทยแค่การวิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงนิดหน่อยถึงกับต้องโดนข้อกล่าวหาจาก
กฎหมายหมิ่นฯ
อะไรคือเป้าหมายของความพยายามทั้งหมดในการบังคับเรื่องโง่ๆกับประชาชน? มัน
เป็นการพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะควบคุมคนไทยส่วนใหญ่ไม่ให้แตกแถวคิดเองและ
เป็นมนุษย์ เราถูกชักชวนให้เชื่อว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นฟ้า
ในความเป็นจริงแล้วตามรัฐธรรมนูญ กษัตริย์ไทยเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
แต่คนไทยถูกสอนให้เชื่อว่าเราอาศัยอยู่ภายใต้“ระบบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบสมัยก่อน” เป็น
การผสมระหว่างระบบศักดินาสมบูรณาญาสิทธิราชย์และกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญเอง ประชาชนต้องคลานกับพื้นเมื่ออยู่ต่อหน้ากษัตริย์
แต่ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้คือกองทัพ ข้าราชการหัวเก่า
และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่กษัตริย์ อย่างไรก็ตามกษัตริย์ก็ไม่ออกมาพูดอะไร
กองทัพได้ประกาศเสมอว่ากองทัพคือ“ผู้พิทักษ์กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ”แต่
กองทัพไทยมีประวัติอันยาวนานในการก่อรัฐประหารและทำลายระบบประชาธิปไตยอันมี
กษัตริย์เป็นประมุข ตัวอย่างที่เห็นได้ดีคือการทำรัฐประหาร 19
กันยายน
กองทัพได้หาวิธีที่จะให้การทำรัฐประหารมีความชอบธรรมด้วยการนำกษัตริย์มา
อ้าง พันธมิตรฯ ก็เช่นกัน ใช้กษัตริย์อ้างความชอบธรรมในการก่ออาชญากรรม
ศาลก็อ้างกษัตริย์ในการปิดปากประชาชนเพื่อทำอะไรโดยไม่มีความโปร่งใส
กฎหมาย
หมิ่นฯถูกใช้เป็นเครื่องมือของกองทัพและพวกอื่นๆ เช่นข้าราชการชั้นสูง ศาล
และพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่ไม่เคยชนะเสียงข้างมาก
เพื่อจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองแทนที่จะปกป้องกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ขณะนี้กฎหมายหมิ่นฯได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำหรับปราบคนที่วิจารณ์รัฐ
ประหารและอำมาตย์
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นฝ่ายนิยมระบบกษัตริย์หรือฝ่ายนิยมสาธารณรัฐ
สรุปแล้วกฎหมายหมิ่นฯ ทำให้เราไม่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่มีคุณภาพทางปัญญาในสถานที่ศึกษา ไม่มีความยุติธรรมในศาล
แต่
การรณรงค์ล้างสมองแบบนี้เริ่มล้มเหลว ประชาชนหูตาสว่างขึ้น
และกระบวนการนี้เกิดในช่วงที่กษัตริย์ชรา และอีกไม่นานก็จะสิ้นชีวิต
คงไม่มีใครสามารถอ้างว่าพระราชโอรสได้รับความเคารพรัก นี่คือสิ่งที่พวกทหาร
พันธมารและประชาธิปัตย์กลัว
คือเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมของเขากำลังอ่อนตัวลง
การวิจารณ์กษัตริย์ได้หนาหูขี้นมาก ความชอบธรรมของสถาบันเข้าสู่วิกฤติแล้ว
เนื่องจากการกระทำของกองทัพและฝ่ายอื่นที่ร่วมกัน
แต่เขายังมีความพยายามต่อไป
เช่นการรณรงค์แบบรัฐตำรวจให้ไทยกลายเป็นชาติของเด็กขี้ฟ้อง
กษัตริย์
ภายใต้รัฐธรรมนูญในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยอย่างยุโรปตะวันตก
ส่วนมากจะมีเสถียรภาพและถูกตรวจสอบได้จากสาธารณะ
ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่ากฎหมายหมิ่นฯของไทยไม่ใช่เป็นการนำเสถียรภาพมาสู่
สถาบัน แต่เป็นการนำมาใช้เพื่อจุดประสงค์อย่างอื่น
น่า
เสียดายที่บรรยากาศแห่งความกลัวที่เกิดขึ้น และการเลือกข้างผิด
เลือกข้างเผด็จการ ทำให้ภาคประชาชนเก่า เอ็นจีโอ และนักวิชาการส่วนใหญ่
หมดสภาพในการเป็นส่วนหนึ่งของประชาสังคมที่ขยายพื้นที่ประชาธิปไตย
นักวิชาการหลายๆฝ่ายพิสูจน์ว่าหมดสภาพในการวิเคราะห์ความจริงอีกด้วย
นี่คือยุคแห่งความโง่เขลาป่าเถื่อนของระเบียบใหม่อำมาตย์
แต่พลเมืองเสื้อแดงและผู้รักประชาธิปไตยจะเดินหน้าสร้างสังคมใหม่ที่มี
เสรีภาพ
(ที่มา) http://redthaisocialist.com/2011-01-20-12-41-04/107-2011-02-27-15-41-32.html