หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Wake up Thailand 20 สิงหาคม 2555

Wake up Thailand  20 สิงหาคม 2555
 







นำเสนอประเด็น
 
 
- บรรหารอายุครบ 80 ปี
- ทักษิณพบผู้นำธุรกิจเกาหลีใต้
- ปชป. เผย รัฐบาลปิดช่องตรวจสอบ
- ศปช.เปรียบ สลายการชุมนุมเม.ย.-พ.ค.53เป็นอาชญากรรมที่รัฐทำต่อปชช.
- ถนนทรุด!กลางสี่แยกอโศกจราจรติดหนัก 
- สุขุมพันธ์ลงผู้ว่าฯอีกสมัยเเน่ 
- คนกรุงเทพฯใช้ Facebook มากกว่าเมืองอื่นในโลก 
- Assange เเถลงให้สหรัฐฯหยุดล่า Whistleblower
- ญี่ปุ่นปักธงบนเกาะพิพาทเซนกากุ
 
(คลิกฟัง)  
http://shows.voicetv.co.th/wakeup-thailand

The Daily Dose 20 สิงหาคม 2555

The Daily Dose  20 สิงหาคม 2555


 

ส.ว.เเต่งตั้งก็เกี่ยวกับการเมืองอยู่ดี


ส.ว. ที่มาจากการสรรหาไม่ได้ดีไปกว่า กับ ส.ว ที่มาจากการเลือกตั้ง  แต่อย่างน้อย ส.ว. ที่มาจากการเลือกตั้งก็เป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้นผู้ที่เข้ามาเป็น ส.ว.สรรหา ความมีจริยะธรรมคุณธรรมที่สูง  และควรทบทวนกระบวนการสรรหาในปัจจุบันโดยการเพิ่มกระบวนการมีส่วนร่วมของ ประชาชนเข้าไปหรือเปิดให้ผู้ที่ถูกเสนอชื่อได้แสดงวิสัยทัศน์  
 
(คลิกฟัง)  
http://shows.voicetv.co.th/the-daily-dose

เหยื่อสลายการชุมนุม เผยไม่มั่นใจกระบวนการยุติธรรมไทย

เหยื่อสลายการชุมนุม เผยไม่มั่นใจกระบวนการยุติธรรมไทย

 


Posted Image

 

ในงานเสวนาเปิดรายงานความจริงเพื่อ ความยุติธรรมของ ศปช. มารดาของนางสาวกมลเกด ระบุ สาเหตุที่ต้องนำคดียื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เนื่องจากไม่มั่นใจกระบวนการยุติธรรมของไทย
 
นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดานางสาวกมลเกต อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ร่วมงานเสวนาเปิดรายงานความจริงเพื่อความยุติธรรมของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2553 หรือ ศปช. เปิดเผยในฐานะผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมว่า ที่ผ่านมา 2 ปี
 
กระบวนการยุติธรรมไทย ยังไม่ดำเนินการเกี่ยวกับเหตุการณ์ความสูญเสียช่วงเดือนเมษายนถึง พฤษภาคม2553 จนทำให้ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมต้องเข้าขอความเป็นธรรม ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ไอซีซี และต้องการประกาศให้ประชาคมโลกได้รับรู้ถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม ในการยุติการชุมนุมของประชาชนในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
 
ด้านนายปิยะบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวถึงกรณีที่ประเทศไทยไม่ได้ทำสนธิสัญญากับศาลอาญา ระหว่างประเทศว่าประเทศไทยมี 2 ช่องทางที่จะสามารถนำคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2553 ในการยื่นสำนวนคดีให้ศาลอาญาระหว่างประเทศพิจารณาคดีคือ การลงนามสัตยาบรรณ ยอมรับเขตอำนาจศาล หรือใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 12 วรรค 3 เพื่อยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศให้พิจารณาเฉพาะเรื่อง
 
รายงานความจริงเพื่อความยุติธรรมเกี่ยวกับ เหตุการณ์และผลกระทบจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2553 จะรวบรวบรายงานเพื่อเปิดเผยต่อสาธารณะชน โดยประชาชนที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ flickpeople.com

(อ่านต่อ)

บทนำรายงาน ศปช. เสียงจากเหยื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม”

บทนำรายงาน ศปช. เสียงจากเหยื่อ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม”



    
โดย ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ 

 
ความเป็นมาของ ศปช. 

รายงานของศูนย์ข้อมูลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.-พ.ค.53 (ศปช.) ที่ท่านถืออยู่ในมือนี้ มีจุดเริ่มต้นจากคนหนุ่มสาวกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่สามารถทำใจนิ่งเฉยกับเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนใน เหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้ เป็นการปราบปรามการชุมนุมที่ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชน มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงได้แปรเปลี่ยนความเจ็บปวดต่อความอยุติธรรมให้เป็นความ พยายามที่จะรวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ให้ได้มากที่สุด ความพยายามนี้เกิดขึ้นในสภาวการณ์ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามเบี่ยงเบนความรับผิด (accountability) ของตนเอง ด้วยการประกาศว่ารัฐบาลของเขายึดหลักนิติรัฐ “พร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนพร้อม ๆ ไปกับการค้นหาความจริงผ่านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายบนความเสมอภาคที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียว กัน”[1] ด้วยการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ขึ้นมา  โดยมีนายคณิต ณ นคร ดำรงตำแหน่งประธาน คอป.[2]


แต่ตลอดช่วงเวลาที่ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล  กระบวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกลับไม่มีความก้าวหน้าอย่างที่ ควรจะเป็น แม้อธิบดีดีเอสไอจะแถลงตั้งแต่ปลายปี 2553 ว่ามีคดีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งที่มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเข้าข่ายน่า เชื่อว่ามีความตายเกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าพนักงาน แต่การส่งมอบคดีไปให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายก็ เป็นไปอย่างล่าช้า[3] ไม่มีการตั้งข้อหาใด ๆ กับผู้สั่งการ ไม่มีแม้กระทั่งการดำเนินการให้ศาลสืบสวนการตายในกรณีที่เชื่อว่าเป็นผลจาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายผู้ชุมนุมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างกว้าง ขวาง ถูกดำเนินคดีและพิพากษาคดีด้วยข้อหาร้ายแรง  จำนวนมากถูกปฏิเสธสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะได้รับการประกันตน 


ในขณะที่ คอป. ก็ตกอยู่ในภาวะคลุมเครือ อิหลักอิเหลื่อ ขัดแย้งในตัวเองระหว่างหน้าที่ของการแสวงหาความจริงกับจุดมุ่งหมายที่ไม่ ต้องการชี้ว่า ใครคือผู้กระทำความผิด[4] 

นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) อันเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนจากการ ใช้อำนาจที่เกินขอบเขตของรัฐ ก็ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยสิ้นเชิง  ในระหว่างการล้มตายบาดเจ็บของประชาชนในเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. 2553 กสม.ไม่เคยมีความกล้าหาญที่จะออกมาประณามการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของรัฐบาล แม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำร้าย เมื่อเดือนกรกฎาคม 2554  ร่างรายงานของ กสม. ที่ว่าด้วยการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่ “หลุด” ออกมาหนึ่งวันก่อน กสม.จะแถลงรายงานดังกล่าวชี้ชัดว่า กสม. เลือกที่จะปกป้องอำนาจรัฐ มากกว่าปกป้องประชาชนธรรมดา เพราะสาระของรายงานดังกล่าวมุ่งพิจารณาว่า “การกระทำของผู้ชุมนุมได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่” แทนที่จะตั้งคำถามว่า “การกระทำของรัฐได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนหรือไม่” ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงปรากฏให้เห็นว่าระดับของการใช้กำลังอาวุธและทหารเข้าจัดการ กับประชาชนนั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับอาวุธที่ผู้ชุมนุมบางส่วนมี  และจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตของฝ่ายประชาชนสูงกว่าฝ่ายเจ้า หน้าที่อย่างเทียบกันไม่ได้[5]  
  
ความไม่เชื่อมั่นในความเป็นกลางของ กสม.และ คอป.ว่าจะทำหน้าที่คืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อได้อย่างแท้จริง  ทำให้คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้นำความตั้งใจดังกล่าวมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อขอความ ร่วมมือกับนักวิชาการกลุ่มสันติประชาธรรม  ผลของการพูดคุยนี้ได้นำไปสู่การจัดตั้ง ศปช. เพื่อทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลหลักฐานในเหตุการณ์ความรุนแรงให้ได้มากที่ สุด ด้วยความหวังว่าในอนาคต เมื่อสังคมไทยมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์ต่อการคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ และนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาลงโทษในที่สุด ฉะนั้น ภารกิจของ ศปช. จึงเสมือนการทำงานคู่ขนานไปกับ คอป. ในการเก็บรวบรวมข้อเท็จจริงกรณีการสลายการชุมนุมเม.ย.-พ.ค. 2553 โดยได้มีการเปิดตัว ศปช. ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2553
                
เมื่อได้จุดมุ่งหมายร่วมกัน พวกเราได้ช่วยกันหาเงินบริจาคเพื่อเป็นเงินเดือนสำหรับเจ้าหน้าที่ของ ศปช. และสำหรับการเดินทางเก็บข้อมูลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด บางช่วงเวลาเจ้าหน้าที่ของ ศปช. มี 5-6 คน บางช่วงมีเพียง 2-3 คน บางคนทำเต็มเวลา บางคนทำครึ่งเวลา ขึ้นกับภาระงานและสภาพการเงินของ ศปช.ในแต่ละช่วงเวลา บางคนแม้จะไม่ได้รับค่าจ้างจาก ศปช. แล้ว แต่ก็ยังทำงานให้ศปช.ต่อไป ส่วนนักวิชาการที่มาช่วยงานของ ศปช.นั้น ไม่มีใครได้รับเงินเดือนค่าจ้างแต่ประการใด
 
เสียงจากเหยื่อ

(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/08/42164

แม่น้องเกด ระบุศาลอาญาระหว่างประเทศแม้จะริบหรี่แต่ดีกว่าไม่มีหวัง ปิยบุตรเรียกร้องรัฐบาลจริงใจ

แม่น้องเกด ระบุศาลอาญาระหว่างประเทศแม้จะริบหรี่แต่ดีกว่าไม่มีหวัง ปิยบุตรเรียกร้องรัฐบาลจริงใจ

 

 

“การอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ต่างประเทศเขาก็ถามว่าประเทศคุณพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญหรือ ก็เรียนไปยังส่วนราชการต่างๆ อย่าอ้างเหตุผลมาตรา 8 เลยเพราะไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์”

 

 

 

 

 




แม่น้องเกดเปิดใจ รู้ศาลอาญาระหว่างประเทศริบหรี่ แต่ดีกว่าไม่มีหวัง ปิยบุตร แสงกนกกุลเรียกร้องรัฐบาลจริงใจจะให้สัตยาบันหรือจะประกาศฝ่ายเดียวให้ศาลา อาญาระหว่างประเทศมีอำนาจเข้ามาพิจารณาย้องหลังหรือไม่ ก็ควรพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่เลี้ยงกระแสให้ความหวังกับคนเสื้อแดง

19 ส.ค. การเสวนาที่จัดขึ้นโดยศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการ ชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 2553 ในช่วงบ่าย นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของอาสาพยาบาลกมนเกด อัคฮาดที่เสียชีวิตในการสลายการชุมนุม 19 พ.ค. 2553 ที่วัดปทุมวนารามกล่าวถึงเหตุที่เธอต้องการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ ว่าแม้จะได้คำแนะนำจากนายโรเบิร์ต

อัมสเตอร์ดัม ทนายความว่า เป็นช่องทางที่เหมือนไฟริบหรี่ แต่ก็เพียงพอแล้วต่อความหวังที่จะไม่ให้คดีที่ลูกสาวเสียชีวิตจากการสลายการ ชุมนุมจะจบลงด้วยการนิรโทษกรรมเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นกับการสังหารหมู่ ประชาชนที่ผ่านมาในอดีต และพร้อมจะโหมไฟที่ริบหรี่ให้ลุกโชนขึ้น ความกังวลของเธอขณะนี้คือ รัฐบาลจะใช้คำว่าปรองดองมาครอบหัวให้ยอมรับการนิรโทษกรรม

โดยเธอกล่าวว่า เธอยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ศาลอาญาระหว่างประเทศว่า แม้ครั้งนี้คนตายอาจจะไม่มาก แต่ถ้าย้อนพิจารณาประวัติศาสต์ของไทยจะพบว่าคนไทยตายไปหลายพันศพแล้วจากการ กระทำของรัฐ

วิธีการไปศาลาอาญาระหว่างประเทศริบหรี่แค่ไหน เพียงใด มีโอกาสไหม
ปิยบุตร แสงกนกกุล อธิบายว่า วิธีการที่ไทยจะเข้าสู่กระบวนการศาลอาญาระหว่างประเทศมี 2ทาง ที่จะให้ไทยอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลฯ ได้ 1) คือ ไปลงนามให้สัตยาบัน ซึ่งจะมีผลต้องบวก 60 วัน บวกวันที่ 1 ของวันถัดไปจากนั้น คือมีผลไปข้างหน้าไม่มีผลถอยไปข้างหลัง 2) อย่างไรก็ตาม ประเทศที่ไม่ได้ลงสัตยาบันสามารถประกาศให้ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจย้อน หลังได้

กรณีที่สอง คือ (โกตดิวัวร์)ไอวอรี่โคสต์ ลงนามประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลเมื่อ 18 เม.ย. 2003 เขียนยอมรับว่า ตามมาตรา 12 วรรค 3 ของธรรมนูญศาลอาญาระหว่างประเทศ รัฐบาลไอวอรี่โคสต์ยอมรับให้เข้ามามีอำนาจตั้งแต่ 19 กันยายน 2002 จากนั้นมีการให้สัตยาบัน แล้วเมื่อปี 2010 เมื่อเปลี่ยนประธานาธิบดีคนใหม่ก็ประกาศซ้ำอีกรอบหนึ่ง สุดท้ายวันที่ 10 ก.พ. 2012 ให้ย้อนกลับไปสอบสวนตั้งแต่ 19 กันยายน 2002

อย่างไรก็ตาม การยอมรับเขตอำนาจศาลนั้นถอยไปไม่เกิน 1 ก.ค. 2545 ซึ่งเป็นวันที่ธรรมนูญกรุงโรมประกาศใช้ นายปิยบุตรกล่าวว่า หากถามเขาว่าจะให้เลือกทางไหน ถ้าพูดแบบฝันก็เอาทั้งสองทาง คือ หนึ่งประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลก่อน จากนั้นให้สัตยาบัณซ้ำอีกที แต่กรณีของไทย แค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ยังไม่ได้ ถ้าให้หวังว่ารัฐบาลไทยจะทำทั้งสองอย่างยิ่งเป็นไปไม่ได้

นายปิยบุตรอธิบายต่อไปว่า เมื่อประกาศรับเขตอำนาจศาลแล้ว ศาลจะรับพิจารณาคดีของเราหรือไม่เป็นอีกเรื่อง ซึ่งศาลมี
ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ, สงคราม และการรุกราน

สัมนาวิชาการ ICC คณะสังคมศาสตร์ มช. 18-8-2012 Part1

สัมนาวิชาการ ICC คณะสังคมศาสตร์ มช. 18-8-2012 Part1






(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=bVp3_ao1kLo&feature=player_embedded#!

 
การประกาศยอมรับเขตอำนาจศาล ICC

 
อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล โครงการสัมนาเชิงวิชาการเรื่อง "ประเทศไทยกับศาลอาญาระหว่างประเทศ" จัดโดยคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษา เรื่อง บทบาทและอำนาจหน้าที่ของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ใน คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันอังคารที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ ห้องกรรมาธิกา หมายเลข ๒๑๓-๒๑๖ ชั้น ๒ อาคารรัฐสภา


(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=4gXqt4KABsA&feature=related