หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

คลิปเสวนา ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง กับกระบวนการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย’

คลิปเสวนา ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง กับกระบวนการเปลี่ยนผ่านของสังคมไทย’


 

TCIJ เสวนา 'ก้าวข้ามความขัดแย้ง' 1 of 2
http://www.youtube.com/watch?v=cFClNxCfxYw#t=17 
TCIJ เสวนา 'ก้าวข้ามความขัดแย้ง' 2 of 2
http://www.youtube.com/watch?v=wFr0G4B5jsQ 

อียิปต์ เปิดประเด็นที่กระแสหลักไม่พูดถึง // นสพ.เลี้ยวซ้าย ปีที่ 9 ฉบับที่ 4 กันยายน 56

อียิปต์ เปิดประเด็นที่กระแสหลักไม่พูดถึง // นสพ.เลี้ยวซ้าย ปีที่ 9 ฉบับที่ 4 กันยายน 56

 

 
คลิกดาวน์โหลด(อ่าน)

ญ. “หญิง”

ญ. “หญิง”


 
ภายใต้ระบบการปกครองทางชนชั้น ทรัพย์สินทั้งหมดของชุมชนที่เคยเป็นของส่วนรวม ถูกแบ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่ตกในมือของผู้ปกครอง ผู้หญิงถูกบังคับให้อยู่ในระบบครอบครัวที่ชัดเจน เพื่อให้ชายผู้เป็นเจ้าสามารถให้มรดกกับลูกตนเองเท่านั้น 

โดย ลั่นทมขาว 

เราไม่สามารถสร้างสังคมใหม่แห่งสังคมนิยมได้ ถ้ากรรมาชีพชายและหญิงไม่สามัคคีกัน และถ้าจะเกิดความสามัคคีดังกล่าว ทั้งชายและหญิง แต่โดยเฉพาะผู้ชาย ต้องสลัดความคิดกดขี่หรือดูถูกผู้หญิงออกจากหัว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความดีความชั่วของปัจเจก แต่เป็นเรื่องโครงสร้างสังคม และการต่อสู้ทางชนชั้น

มันไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติ” ที่มนุษย์จะมากดขี่กัน แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์บางคนสร้างขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขสังคมชนชั้นในอดีต เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง

นักมาร์คซิสต์คนสำคัญ ชื่อ เฟรดเดอริค เองเกิลส์ เป็นคนที่ริเริ่มการศึกษาปัญหาการกดขี่ทางเพศอย่างเป็นระบบ ในหนังสือ “กำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินเอกชน และรัฐ”  เองเกิลส์ อธิบายว่าแรกเริ่มมนุษย์บุพกาลไม่มีชนชั้น ไม่มีรัฐ และไม่มีครอบครัว คือหญิงชายมีความสัมพันธ์อย่างเสรีตามรสนิยมของแต่ละคน ไม่มีคู่ถาวร ตอนนั้นมนุษย์ไม่มีครอบครัวแต่มีเผ่า และลูกที่เกิดมาจะทราบว่าใครเป็นแม่ แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่สำคัญเพราะเด็กๆ ทุกคนถือว่าเป็นลูกของชุมชน และทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของส่วนรวม แบ่งกันอย่างเสมอภาคเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

ในยุคบุพกาลจะมีการเก็บของป่าและล่าสัตว์ สังคมไม่มีส่วนเกินหรือคลังอาหาร วันไหนได้อะไรก็มาแบ่งกันกิน แต่เมื่อมนุษย์รู้จักการเกษตรและเริ่มมีส่วนเกิน จะมีผู้ชายคนหนึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่หรือตั้งตัวเป็น “พระ” และจ้างอันธพาลติดอาวุธมาเป็นลูกน้องของตน ประชาชนที่เหลือจะตกเป็นทาสและถูกบังคับให้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งส่วย ให้ผู้ปกครอง แต่ในขณะเดียวกัน การจัดระเบียบสังคมใหม่แบบนี้ ให้ประโยชน์กับคนธรรมดาบ้าง เพราะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากในสมัยบุพกาลเดิม
   

"อาชญากรรมของสำนึก

"อาชญากรรมของสำนึก


ทำไมสังคมไทยดิ้นพล่าน

ทำไมสังคมไทยดิ้นพล่าน



 
อั้ม เนโกะ ชุดนักศึกษา และSex
 
โดย ยุกติ มุกดาวิจิตร
 
ทำไมปรากฏการณ์แฟรงค์ เนติวิทย์ และอั้ม เนโกะจึงทำให้สังคมไทยดิ้นพล่าน

ข้อแรกเลย เพราะเขาและเธอถูกมองว่าเป็น "เด็ก" แต่กลับมาพูดจาแสดงความเห็นต่อต้านสังคมของผู้ใหญ่ วิจารณ์ผู้ใหญ่อย่างตรงไปตรงมา พวกเขาไม่ได้ใช้จริตตามวัย เช่นการใช้สรรพนามของทั้งสอง ใช้คำว่า "ดิฉัน" "ผม" "คุณ" พวกเขาแสดงความเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนที่สมบูรณ์ ไม่ได้แตกต่างจากพวกผู้ใหญ่ และท้าทายผู้ใหญ่โดยไม่เกรงกลัวอำนาจของผู้ใหญ่ หรือวิธีที่พวกเขาแสดงออก เขาใช้หลักเหตุผล ไม่ได้หน่อมแน้มง๊องแง๊งเหมือนเด็กๆ ที่สังคมไทยมองแล้วเอ็นดู

ข้อที่ต่อเนื่องกันคือ เขาและเธอท้าทายสังคมอำนาจนิยม สังคมที่เน้นอาวุโส สังคมที่ให้ความสำคัญกับการมีสัมมาคารวะเหนือเหตุผล เหนือความกล้าแสดงออก เหนือความเท่าเทียมกัน ในอดีต "เด็กๆ" ก็เคยแสงดบทบาทเช่นเดียวกันนี้ และผู้ใหญ่ทุกวันนี้ก็เคยเป็นแบบพวกเขาและเธอมาก่อน แต่กลับลืมไปแล้วว่าตนก็เคยต่อต้านผู้ใหญ่ ต่อต้านสังคมในภาวะที่ตนเป็นเด็กมากก่อนเช่นกัน และกลับใช้ความเป็นผู้ใหญ่ข่มพวกเขาเพราะตอนนี้ขึ้นมามีอำนาจแล้ว และอำนาจพวกตนกำลังถูกท้าทาย

ข้อสาม เขาและเธอไม่ได้เป็นอีลีท ไม่ได้ใช้ความเป็น "ชนชั้นสูง" ที่อาศัยหน้ากากความหมดจด ผิวพรรณผ่องใส ตีหน้าซื่อบ้องแบ๊ว พูดจาอ่อนหวาน แสดงความเห็นแบบนุ่มนวล เขาและเธอไม่ได้ใช้จริต "เรียบร้อย" "สุภาพ" ในการแสดงออก หากแต่พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา กระทั่งคร่อมเส้นศีลธรรม ใช้หลักการเหนือวาทศิลป์ ใช้การกระชากอารมณ์เหนือความแยบยล เขาและเธอจึงถูกปฏิกิริยาต้านกลับจากสังคมไทยอย่างแรง

ข้อสี่ สังคม "โซเชียลมีเดีย" ได้สร้าง "พื้นที่สาธารณะ" อย่างใหม่ขึ้นมา ปัจจุบันสังคมโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลสูง กระจายข่าวสารได้รวดเร็ว ทำให้กิจกรรมของพวกเขาเป็นที่รับรู้กว้างขวาง ในอดีต ไม่ใช่ว่าไม่มีกิจกรรมในลักษณะนี้ แต่ไม่เป็นกระแส เพราะคนรับรู้น้อย แต่ทุกวันนี้ แม้แต่ใครฉี่ราด ใครโกนขนจักแร้ ก็เป็นที่ล่วงรู้กระจายกันอย่างกว้างขวางรวดเร็ว และมีพลังทั้งในด้านการครอบงำและการต่อต้าน

ข้อสุดท้าย สังคมไทยปัจจุบันนี้ไม่ได้มีด้านเดียว ไม่ได้เป็นสังคมปิด ไม่ได้เป็นสังคมที่คิดอะไรตามๆ กัน ไม่ได้มีแต่เฉพาะสังคมที่นิยมอำนาจนิยมเท่านั้นอีกต่อไป บรรยากาศของสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นนี้ จึงมีคนที่เห็นด้วยกับที่เขาและเธอเสนออยู่ไม่น้อย และจึงมีคนร่วมขยายประเด็นที่พวกเขานำเสนอไปต่อเนื่อง ซึ่งก็ยิ่งเป็นการเติมเชื้อความชิงชังต่อเขาและเธอมากยิ่งขึ้น

จะโต้จะต้านเขาและเธอย่างไรก็ตาม ตราบใดที่การถกเถียงยังอยู่ในกรอบของการใช้เหตุผล การใช้วาทกรรม ไม่ว่าจะล้อเลียน เสียดสี ถากถาง หรือแม้แต่จะมีการด่าทอกันอย่างรุนแรงบ้าง ก็ยังดีเสียกว่าสังคมไทยในอดีต ที่เงื่อนไขของสังคมปิดกั้น ทำให้ความเห็นของ "เด็กๆ" กลายเป็นอาชญากรรม และพวกเขาจึงต้องสังเวยชีวิตตนเองให้กับศีลธรรมดีงามของพวกผู้ใหญ่"

(ที่มา)  
ยุกติ มุกดาวิจิตร: ทำไมสังคมไทยดิ้นพล่าน

ประเด็นศาสนาเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ไม่แตะก็เป็นเรื่องยิ่งแตะยิ่งเป็นเรื่อง

ประเด็นศาสนาเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ไม่แตะก็เป็นเรื่องยิ่งแตะยิ่งเป็นเรื่อง





ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการด้านศาสนวิทยา กล่าวว่า ประเด็นศาสนาจะเป็นระเบิดเวลาลูกที่สอง ต่อจากเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะแรงยิ่งกว่าระเบิดเวลาลูกแรก ธรรมชาติของศาสนาแม้ไม่ไปแตะก็เป็นเรื่องอยู่แล้ว ยิ่งแตะก็ยิ่งเป็นเรื่องหนักเข้าไปอีก การตั้งโจทย์ว่าจะสื่อสารเรื่องศาสนาให้ปราศจากความขัดแย้ง เป็นโจทย์ที่ทำไม่ได้

เรื่องชาติพันธุ์และศาสนา เป็นปัญหาสากล ขึ้นอยู่กับว่าประเทศแต่ละประเทศที่เป็นเจ้าของสื่อสาธารณะมีทิศทางไปอย่างไร หากตั้งใจจะเป็นรัฐศาสนา สื่อก็ต้องออกแบบการนำเสนอให้สอดคล้องกับบุคลิกของประเทศ แต่หากตั้งใจจะเป็นรัฐที่แยกศาสนาออกจากการปกครองทางการเมืองอย่างชัดเจน สื่อก็ต้องออกแบบการนำเสนอไปตามนั้น คือ ไม่มีผิดมีถูกในเรื่องศาสนา วิจารณ์ได้ ล้อเลียนได้

อ่านความเห็นต่อประเด็นการกำกับดูแลเนื้อหาในสื่อโทรทัศน์และวิทยุต่อที่  

http://ilaw.or.th/node/2925

พวกที่เห่าหอนเรื่อง "หมิ่นเจ้า" จงรู้เถิดว่า

พวกที่เห่าหอนเรื่อง "หมิ่นเจ้า" จงรู้เถิดว่า



"ฟ้า พรทิพา" เจ้าของรายการทีวีดาวเทียม แจ้งจับ "อั้ม เนโกะ" นศ.ธรรมศาสตร์ หมิ่นสถาบัน 
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNM09UTXhOelV5Tmc9PQ%3D%3D&subcatid

"พวกที่เห่าหอนเรื่อง "หมิ่นเจ้า" มันไม่เข้าใจว่าการหมิ่นเจ้ามันยากแค่ไหน เพราะนายภูมิพล นางสิริกิติ์ และลูกชายเพี้ยน มันไม่เคยทำอะไรดีในชีวิต ในความจริงการชมพวกนี้น่าจะเป็นการกล่าวเท็จ 

นายภูมิพลปล่อยให้คนบริสุทธิ์ถูกประหารชีวิตทั้งๆ ที่ทราบว่าตนเองเกี่ยวข้องกับการตายของพี่ชาย นายภูมิพลกอบโกยทรัพย์สินมหาศาลในขณะที่ประชาชนยากจน และนายภูมิพลสนับสนุนเผด็จการทหารที่เข่นฆ่าประชาชนและทำลายประชาธิปไตยเสมอ 

่วนนางสิริกิติ์ก็คลั่งชาติ สนับสนุนการทำความรุนแรงกับ "คนต่าง" ที่รักเสรีภาพ และใช้เงินประชาชนเพื่อความสุขของตนเองโดยไร้จิตสำนึก 

ลูกชายเพี้ยนก็ไม่ต่าง กดขี่เพศสตรี เสพสุขบนสันหลังเรา และเห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ในหมู่สามเกลอนี้คนที่พอมีสมองคือนายภูมิพล อีกสองคนโง่เขลาเต็มทน แต่นายภูมิพลไม่เคยใช้สมองเพื่อประโยชน์กับประชาชน"