ปฏิรูป การเมือง ปฏิรูป รัฐธรรมนูญ แนวทาง รัฐสภา
ต้องยอมรับว่าการตัดสินใจนำเอาร่าง พ.ร.บ.รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตราว่าด้วยส่วนที่ 3 วุฒิสภามาพิจารณาเป็นการตัดสินใจที่แหลมคม
เมื่อเปรียบเทียบกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 190
เมื่อเปรียบเทียบกับร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 68 และมาตรา 237
เนื้อหา
สำคัญคือการแก้ไขมาตรา 111 จากที่กำหนดให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนรวม
150 คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน
และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้นหักด้วยจำนวนวุฒิสภาที่มาจากการ
เลือกตั้ง
ให้เหลือแต่เพียงมาจาก "การเลือกตั้ง" ในแต่ละจังหวัด
นั่นก็คือ การถ่ายโอนจากอำนาจของ "คณะกรรมการสรรหา" ตามมาตรา 113 เดิมให้ไปอยู่ในอำนาจของ "ประชาชน"
คือจากคน 7 คน มาเป็นจากคนทั่วประเทศ
เท่า
กับนำเอา "เนื้อหา" ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
ได้ย้อนกลับมาอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตยอีกครั้งหนึ่ง
เท่ากับทำให้เจตนารมณ์ "ร่วม" ของประชาชนได้ปรากฏเป็นจริงผ่าน "รัฐธรรมนูญ"
อีกครั้งหนึ่ง
"หัวใจ" ของ "รัฐธรรมนูญ" อยู่ตรงนี้
ที่ว่าการตัดสินใจของพรรคร่วมรัฐบาลในการนำเอาร่าง พ.ร.บ.รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่ 3 ว่าด้วยวุฒิสภามีความแหลมคม
1 เพราะอิงอยู่กับจิตวิญญาณ "ประชาธิปไตย"
หลักการสำคัญของ "ประชาธิปไตย" หากสรุปอย่างเถรตรงตามรูปศัพท์ก็คือ "ประชาชนเป็นใหญ่"
อย่างที่ว่า "ของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน"
ความบกพร่องอย่างมีนัยสำคัญของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ในส่วนว่าด้วยวุฒิสภาอยู่ตรงที่บั่นทอนอำนาจของประชาชน
เห็นคน 7 คนเป็น "เทวดา"
เป็น
แนวความคิดอันแทบไม่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 ของ
รสช.ซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่อยู่กับ รสช.กระทั่ง พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์
กล้ากล่าวว่า
"ถ้าสุไม่เอาก็ให้เต้"
แม้ว่าคน 7 คน
ซึ่งได้รับการสถาปนาให้มีอำนาจดั่ง "เทวดา"
แต่หากเทียบกับประชาชนทั้งประเทศย่อมมีความแตกต่าง
การเรียกคืนอำนาจจากเทวดาทั้ง 7
ให้มาอยู่ในมือของประชาชนอีกครั้งหนึ่งจึงเป็นการตัดสินใจอันชอบ