หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"ผอ.ไอเอ็มเอฟ"เตือนศก.โลกเติบโต"ชะลอตัว" ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

"ผอ.ไอเอ็มเอฟ"เตือนศก.โลกเติบโต"ชะลอตัว" ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

 

 

นางคริสทีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ กล่าวเตือนเศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ขณะที่การคาดการณ์การเติบโตต่ำกว่าที่เคยคาดไว้
      
นางลาการ์ด กล่าวระหว่างการประชุมด้านเศรษฐกิจที่กรุงโตเกียวว่า เศรษฐกิจมีความโน้มเอียงไปในทางขาลง และต่ำกว่าที่รายงานคาดการณ์ที่เผยแพร่ไปเมื่อ 3 เดือนก่อนอย่างแน่นอน
      
เมื่อ เดือนเมษายน ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้น 3.5%  และเพิ่มขึ้นเป็น 4.1% ในปี 2013 จากการคาดการณ์ในเดือนมกราคม ที่ 3.3% และ 4.0% ตามลำดับ
      
นาง ลาการด์ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการประเมินสภาพเศรษฐกิจล่า สุด ที่จะเปิดเผยภายหลังในเดือนนี้ แต่ระบุว่าแนวโน้มที่เคย"น่าเศร้าใจ" จากการคาดการณ์ครั้งก่อน กลับกลายเป็นสิ่งที่"น่าวิตกกังวลยิ่งกว่าเดิม"
      
ไอ เอ็มเอฟชี้ว่า การคาดการณ์ว่าสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกกระเตื้องขึ้นเมื่อเดือนเมษายนนั้น ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากสภาพการเงินทั่วโลกที่เริ่มดีขึ้น และการคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ในยูโรโซน

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯลง พร้อมเตือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯอาจกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะการขาดดุลเร็วเกินไป สำหรับประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอ ไอเอ็มเอฟประเมินว่า ปี 2012 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตขึ้น 2.0% ลดลงจาก 2.1% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนเมษายน
 
 

(ที่มา)http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341574685&grpid=&catid=06&subcatid=0600

อัพเดทสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจและการเมืองในสหภาพยุโรป (1)

อัพเดทสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจและการเมืองในสหภาพยุโรป (1)

 

มาร์คซ์ อธิบายว่าระบบการแข่งขันในระบบทุนนิยมจะนำไปสู่การลงทุนและผลิตล้นเกินและ ก่อให้เกิดแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไรซึ่งเป็นสาเหตุของวิกฤติ นายทุนเลือกแนวทางที่จะรักษาอัตรากำไรไว้ โดยการส่งเสริมให้บริษัทใหญ่กินบริษัทที่อ่อนแอกว่าแล้วตัดระดับการผลิตและ การจ้างงาน และอีกหนทางหนึ่งคือการตัดค่าแรงอย่างโหด

โดย นุ่มนวล  ยัพราช


เบื้องหลังวิกฤติเศรษฐกิจ

วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในยุโรปปัจจุบันเป็นผลพวงโดยตรงจากวิกฤตทางการ เงินโลกในปี 2007 ที่มีจุดกำเนิดมาจากวิกฤติบ้านและอสังหาริมทรัพย์ (subprime mortgages) ในสหรัฐอเมริกา ที่มีการปั่นหุ้น สร้างฟองสบู่ และ ค้ากำไรทางการเงินของพวกกลุ่มทุนธนาคาร สำหรับตัวอย่างคล้ายๆ กันที่พอนึกภาพได้ง่ายๆ ในไทยก็คือ วิกฤติต้มยำกุ้งในช่วงปี พ.ศ.2540


สหภาพยุโรป (European Union = EU) เป็นการวมตัวกันขึ้นมาของกลุ่มประเทศในยุโรปเพื่อเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทั้ง ทางการค้า และทางการเมืองในเวทีระดับโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเพิ่มอำนาจการแข่งกับมหาอำนาจอื่นๆ เช่น สหรัฐ จีน รัสเซีย หรือ ต่อมากลุ่มประเทศ BRIC (Brazil, Russia, India and china) ที่เป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีอัตตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมาก อย่างไรก็ตามกลุ่มประเทศ บริค (BRIC) ตลาดส่งออกโดยส่วนใหญ่จะอยู่ สหรัฐอเมริกาและสหาภาพยุโรปเป็นหลัก


ฉะนั้นวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วจะมีผลกระทบต่อประเทศเหล่านี้ ซึ่งตอนนี้อัตราเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัวลงจากตัวเลขสองหลักเหลือแค่หลักเดียว และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อยๆ จุดเด่นของประเทศบริคคือต้นทุนการผลิตต่ำและมีการกดค่าแรงอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งทำให้ตลาดภายในมีปัญหาเพราะคนไม่มีกำลังซื้อ หรือคนที่มีกำลังซื้อก็จะเป็นคนส่วนน้อย


วกกลับเข้ามาที่วิกฤติของสหภาพยุโรป


จุดเด่นที่สุดของสหภาพยุโรปคือ เป็นการสร้างสหภาพบนพื้นฐานผลประโยชน์นายทุนเป็นหลัก มีการเคลื่อนไหวของทุนอย่างเสรี ลดพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิกสำหรับการค้าขายและธุรกิจ เพื่อสร้างตลาดเดียว  และใช้สกุลเงินเดียวกัน เพื่อความสะดวกสำหรับกลุ่มทุนต่างๆ มากไปกว่านั้น สหภาพยุโรปต้องการสถาปนาสกุลเงินยูโร(€) ขึ้นมาเป็นสกุลเงินระหว่างประเทศเหมือนดอลล่าสหรัฐ สหภาพยุโรปได้ใช้แนวทางเสรีนิยมอย่างสุดขั้ว เพราะในธรรมนูญของสหภาพเขียนไว้เพื่อให้ผลประโยชน์กับกลุ่มทุนทางการเงินและ กลุ่มทุนขนาดใหญ่โดยเฉพาะ


มีการกดดันให้ประเทศต่างๆ มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ อย่างเป็นระบบ ลดการควบคุมโดยรัฐ โดยการอ้างว่ามันเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน และมีกฎบังคับไม่ให้รัฐกู้เงินจนขาดดุลเกิน 3% ของผลิตผลมวลรวม (GDP) พูดง่ายๆ สหภาพยุโรปจะหันไปใช้รูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบอเมริกา คือรัฐเข้ามาปกป้องผลประโยชน์ของคนธรรมดาน้อยที่สุด ยุโรปเคยมีชื่อเสียงว่า รัฐจะมีบทบาทสูงมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยคุณภาพชีวิตของคนจนที่อยู่ในยุโรปจะดีกว่าคนอเมริกัน

สมาชิกของ EU มีอยู่ทั้งสิ้น 27 ประเทศ แต่กลางปี 2013 จะเพิ่มเป็น 28 ประเทศ สมาชิกใหม่รายที่ 28 คือ โครเอเชีย ซึ่งลักษณะสมาชิกสามารถแบ่งได้เป็นสองชนิด คือ พวกที่กำลังพัฒนา(ซึ่งสามารถเรียกได้หลายชื่อ เช่น พวกทางใต้, periphery counties = ค่อนข้างยากจน ) สมาชิกใหม่ๆ จะมาจากยุโรปตะวันออกอดีตประเทศเผด็จการคอมมิวนิสต์แนวสตาลิน และ พวกที่พัฒนาแล้ว (ประเทศร่ำรวย พวกทางเหนือ , core counties) 

ปัจจุบัน EU ถูกควบคุมโดย “troika” (แปลว่า 3 องค์กร) ซึ่งประกอบไปด้วย คณะบริหาร European Union, ธนาคารกลาง European Central Bank (ECB) และ ไอเอ็มเอฟ International Monetary Fund (IMF) พวกข้าราชการและนายธนาคารเหล่านี้จะมีบทบาทในการกดดันให้ประเทศที่กำลัง พัฒนาใน EU ตัดสวัสดิการและแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบหรือที่เรียกว่า “โปรแกรมปฏิรูปจาก troika” เพื่อหาเงินไปใช้หนี้ที่ธนาคารต่างๆ ก่อขึ้นแต่แรกในวิกฤติทางการเงิน ประเทศที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของ “troika”  คือ ธนาคารของประเทศใหญ่ๆ อย่างเยอรมัน ฝรั่งเศษ เบลเยี่ยม หรือ ของกลุ่มประเทศ core

สื่อกระแสหลักตั้งต้นอธิบายว่าวิกฤติครั้งนี้เกิดขึ้นจากประเทศกรีซ คำอธิบายที่ปฏิกิริยาที่สุดคือ
“ชาวกรีกเป็นคนขี้เกียจ ทำงานหนักไม่พอและใช้ชีวิตแบบฟุ่ยเฟือย ไม่จ่ายภาษี” เป็นต้น คำอธิบายของฝ่ายขวาดังกล่าวได้เพิ่มความเกลียดชังระหว่างเชื้อชาติ และหลีกเลี่ยงที่จะแตะตัวปัญหาแท้คือปัญหาทางโครงสร้างของระบบทุนนิยม

แล้วคำอธิบายสำหรับชาวมาร์คซิสต์คืออะไร


ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่มีปัญหาในตัวของมันเองคือเศรษฐกิจมันจะไม่ขยายตัว ตลอดเวลา มันจะมีวิกฤติอยู่เป็นระยะ เช่น หลังสงครามโลกครั้งที่สอง จะมีช่วงที่เศรษฐกิจบูมเต็มที่ในยุค 1960 แต่พอเข้าสู่ยุค 1970 (พ.ศ.2513) เศรษฐกิจเริ่มมีวิกฤติ จากนั้นเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่สภาวะที่เกิดฟองสบู่แล้วก็แตกเป็นวงจรอุบาทว์


มาร์คซ์ อธิบายว่าระบบการแข่งขันในระบบทุนนิยมจะนำไปสู่การลงทุนและผลิตล้นเกินและ ก่อให้เกิดแนวโน้มการลดลงของอัตรากำไรซึ่งเป็นสาเหตุของวิกฤติ นายทุนเลือกแนวทางที่จะรักษาอัตรากำไรไว้ โดยการส่งเสริมให้บริษัทใหญ่กินบริษัทที่อ่อนแอกว่าแล้วตัดระดับการผลิตและ การจ้างงาน และอีกหนทางหนึ่งคือการตัดค่าแรงอย่างโหด ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา  (รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถอ่านได้ในเลี้ยวซ้ายฉบับอื่นๆ ซึ่งมีการอธิบายไว้อย่างเป็นระบบ) 


ทีนี้ถ้าค่าแรงน้อยพลังการบริโภคก็จะอ่อนแอ แล้วจะทำอย่างไร? เพราะจะทำให้วิกฤติหนักขึ้นและคนตกงานมากขึ้น แนวเสรีนิยมเลือกที่จะไม่เพิ่มค่าแรงให้สอดคล้องกับความต้องการของคนส่วน ใหญ่ และไม่เห็นด้วยกับการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการเพิ่มกำลังซื้อ แต่บ่อยครั้งจะเลือกส่งเสริมให้คนบริโภคผ่านการเป็นหนี้แทน


สหรัฐอเมริกา คือ ตัวอย่างอันยอดเยี่ยมในกรณีนี้ รัฐบาลสหรัฐในอดีตไม่เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำมากว่า 30 ปี และเลือกที่จะปล่อยเงินกู้ราคาถูกเข้าสู่ระบบแทนที่จะเพิ่มค่าแรงเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของกำลังจ่าย เช่น การเปิดโอกาสให้คนจนอเมริกามีสิทธิกู้เงินราคาถูกเพื่อมาซื้อบ้าน จากนั้นเกิดการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ เกิดฟองสบู่ และจากนั้นฟองสบู่ก็แตกเพราะคนจนใช้หนี้ไม่ได้  เรื่องมันไปกันใหญ่เมื่อนายทุนธนาคารพยายามสร้างกำไรในการเก็งกำไรจากหนี้ เสีย จนทุนธนาคารขนาดใหญ่ของอเมริกาล้มในปี 2008 (Lehman Brothers)[1] 


ธนาคารขนาดใหญ่ของยุโรปโดยเฉพาะจากเยอรมันและฝรั่งเศษได้รับผลกระทบ อย่างมหาศาลเพราะไปซื้อหนี้เน่าจากอเมริกา โดยมีความหวังว่าจะสร้างกำไรได้ ธนาคารเหล่านั้นเกือบจะล้มซึ่งทำให้รัฐบาลต่างๆ ในยุโรปต้องเข้าไปอุ้มและเอาใจเพื่อนนายทุนด้วยกันโดยปัดหนี้เสียเหล่านั้น ให้กลายเป็นหนี้สาธารณะ


หลังจากนั้นอ้างว่าต้องตัดบริการสาธารณะชนิดต่างๆ ลงอย่างเป็นระบบ รวมถึงเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย เพื่อเอาเงินไปจ่ายหนี้ให้กับนายธนาคาร เพื่อดึงยอดหนี้ลงมา ในวิกฤติทางการเงินปัจจุบัน คนใช้หนี้กลายเป็นคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้สร้างปัญหาแต่อย่างใด ในขณะที่ตัวปัญหาแท้คือพวกนายธนาคาร หรือ พวกนักเก็งกำไร (hedge funds) ซึ่งสื่อกระแสหลักที่ยุโรปจะเรียกตลาดหุ้นของนายทุนว่า
“เดอะ มาเก็ท” เหมือน กับว่ามีตัวตนอิสระจากมนุษย์และผลประโยชน์ชนชั้น พวกนักเก็งกำไร ไม่เคยถูกลงโทษ และพวกนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อนักการเมืองกระแสหลักในยุโรป

หนี้สาธารณะมหาศาลของกลุ่มประเทศในสหาภาพยุโรป ทางใต้ เช่น กรีส สเปน อิตาลี่ ไอร์แลนด์ หรือโปรตุเกส มาจากการที่หลายฝ่ายต้องการหาเงินมาพัฒนาประเทศเพราะถูกกดดันให้เร่งพัฒนา เศรษฐกิจให้ได้มาตรฐานของกลุ่ม EU ทั้งรัฐและเอกชนกู้เงินจากธนาคารในเยอรมันและฝรั่งเศส

แต่พอระบบธนาคารพังและรัฐต่างๆ เข้าไปอุ้มจนเกิดหนี้สาธารณะ พวกปล่อยกู้เอกชนที่คุมตลาด จะมองว่ารัฐขาดประสิทธิภาพที่จะจ่ายหนี้ เลยมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลพวงคือหนี้สาธารณะยิ่งเพิ่มขึ้นอีก ในอดีตลักษณะการขยายตัวของเศรษฐในกลุ่มประเทศเหล่านี้เป็นการขยายตัวที่ สร้างฟองสบู่โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์

การที่ประเทศยากจนใน EU ใช้เงินสกุลยูโร ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับกลุ่มประเทศเหนือ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศษ เพราะไม่สามารถลดค่าเงินเพื่อลดราคาสินค้าและเพิ่มการส่งออกได้ ฉะนั้นความสัมพันธ์ของกลุ่มประเทศใน EU จะมีลักษณะความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคกัน ประเทศที่ยากจนมีการพึ่งพาประเทศที่ร่ำรวยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของเงินทุน


ยิ่งประเทศยากจนขาดดุลและเป็นหนี้มากเท่าไหร่ ประเทศเยอรมันและฝรั่งเศษก็กังวลเรื่องความมั่นคงของธนาคารของตนเองและ เศรษฐกิจของตนเองด้วย เลยมีการพยายามสร้างอำนาจเหนือรัฐบาลและนโยบายเศรษฐกิจของประเทศยากจนมาก ขึ้นเรื่อยๆ แต่คนธรรมดาในกรีซหรือสเปนไม่ได้ได้รับประโยชน์แต่อย่างใด ตรงกันข้ามมีการทำลายชีวิตคนธรรมดาด้วยการตัดเงินเดือน สวัสดิการ และระดับการทำงาน  


นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมที่กรีซ โปรตุเกส และ สเปน มีการต่อสู้กับการตัดงบประมาณอย่างดุเดือด ข้อถกเถียงที่ตามมาในขณะนี้คือ กลุ่มประเทศยากจนถ้าใช้หนี้ไม่ได้จะทำอย่างไร?


ข้อเสนอจาก troika คือ ให้ลบหนี้ทิ้งส่วนหนึ่งและให้คงจำนวนหนี้ที่ดูเหมือนว่ากรีซจะใช้คืนได้ แต่ในความเป็นจริง มันกลายเป็นเรื่องที่ไร้ความหมายเพราะการปั่นราคาหุ้นและการซื้อขายบอนด์ ล่วงหน้าทำให้ปริมาณหนี้เพิ่มขึ้นอย่างเดียว ยิ่งกว่านั้นทุกเม็ดเงินที่กรีซกู้มาใหม่ จะเข้ากระเป๋าธนาคารเยอรมันและฝรั่งเศสทันที โดยที่ประชาชนไม่ได้รับอะไรเลยเพื่อเพิ่มสภาพชีวิตประจำวัน 


เนื่องด้วยความอยุติธรรมที่ทวีขึ้นเรื่อยๆ มันก็มาสู่คำถามว่าอยู่ไปก็ฉิบหาย ออกไปจากสกุลเงินยูโรจะไม่ดีกว่าหรือ? ถ้าจะออกจะออกอย่างไร? แนวที่หนึ่งของกระแสหลักและนายทุน เสนอให้รับใบสั่งจาก Troika แล้ว
“อดทน” แต่แนวที่สองของฝ่ายซ้ายเสนอให้ออกไปโดยอาศัยกระแสกดดันจากมวลชนข้างล่างงด จ่ายหนี้ ชักดาบและใช้เงินที่มีอยู่เพื่อจ่ายค่าจ้างและบริการประชาชน แทนที่จะยกให้ธนาคาร เราเรียกว่า “การล้มละลายจากข้างล่าง” (กรณีใกล้เคียงที่ประสบความสำเร็จ คือ กรณีของประเทศอาเจนตินาในปี 2001 ชักดาบต่อ IMF) 

กลุ่มประเทศ EU กาลครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย แต่ในภาวะวิกฤติที่กลุ่มนายธนาคารมีอิทธิพลเหนือนักการเมือง เราเห็นการทำลายประชาธิปไตยชนิดที่ยอมรับไม่ได้ คือ การถอดถอนนายกที่มาจากการเลือกตั้งในประเทศ กรีซ กับ อิตาลี และการแต่งตั้งนักเทคโนแครตนายธนาคารขึ้นมาบริหารประเทศแทน ซึ่งนักเทคโนแครตเหล่านั้นต้องการทำลายมาตราฐานการจ้างงานและตัดสวัสดิการ ทุกชนิดเพื่อหาเงินใช้หนี้ให้ธนาคาร


ประเด็นดังกลาวนำมาสู่ข้อถกเถียงเรื่องการขาดดุลทางประชาธิปไตย สื่อกระแสหลักยักษ์ใหญ่เช่น Financial Times เรียก ประเทศกรีซว่าเป็นอาณานิคมแรกของสหภาพยุโรป ซึ่งมีแนวโน้มว่าประเทศอื่นๆ ที่กำลังมีปัญหา เช่น สเปน ไอร์แลนด์ โปรตุเกส จะมีชะตากรรมเหมือนกรีซ วิกฤตทางเศรษฐกิจก็จะนำมาสู่วิกฤติทางเมืองในที่สุด (ฉบับหน้าจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับวิกฤติทางเมืองในยุโรป) บทความชิ้นนี้ อาศัย 3 บทความหลักคือ


Kotz, D.M. 2009. The Financial and Economic Crisis of 2008: A Systemic Crisis of Neoliberal Capitalism. Review of Radical Political Economics

C. Lapavistas, A Kaltenbrunner, D. Lindo, J. Michell, J.P. Painceira, E. Pires, J. Powell, A. Stenfors, N. Teles,(2010) Eurozone Crisis: Beggar Thyself and Thy Neighbour, RME occasional report March 2010, Research on Money and Finance


C. Lapavistas and team, 2011, Breaking up? A route out of the Eurozone crisis, Occasional Report 3, Research on Money and Finance


เชิงอรรถ
[1]มันมีประเด็นถกเถียงต่อเนื่องในเรื่องนี้คือ ประเด็น การเติบโตทางธุรกรรมทางการเงิน (Financialisation) ที่กลายเป็นแหล่งของการสร้างกำไรระยะสั้น ในขณะที่ภาคการผลิตจริงสร้างกำไรได้น้อยและช้า ฉะนั้นทุนใหญ่จะหันมาลงทุนค้าทางด้านการเงิน เพื่อหากำไรระยะสั้น ทำให้เกิดระบบเศรษฐกิจเทียมที่ไร้ฐานการผลิตรองรับ ขาดความสมดุล ในช่วงวิกฤติ 1930 มีการค้าทางการเงินในลักษณะที่คล้ายๆ กัน จนเกิดวิกฤติทำให้คุณค่าของเงินมีปัญหา จนต้องหาทองคำมาเป็นหลักประกัน ....ผู้เขียนจะไม่ลงรายละเอียดมาก เพราะจะทำให้บทความยาวและซับซ้อนจนเกินความจำเป็น

 
(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2012/06/1.html

The Daily Dose

The Daily Dose


 

The Daily Dose 06กค55

http://www.youtube.com/watch?v=trRLXgLz55Q


Wake Up Thailand

Wake Up Thailand




Wake Up Thailand 06กค55

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=VctBd9Eoy5M

จตุพร Hot Topic 06กค55

จตุพร Hot Topic 06กค55

 

 

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=qlxO3Kh9ySo&feature=share

"นปช." ลั่นถ้าตุลาการไม่ลาออก คนเสื้อแดงจะปรากฎตัว 3-4 แสนคน

"นปช." ลั่นถ้าตุลาการไม่ลาออก คนเสื้อแดงจะปรากฎตัว 3-4 แสนคน

 

6 7 55 ข่าวค่ำDNN ธิดา ชี้ตุลาการศาล รธน ต้องลาออก

http://www.youtube.com/watch?v=zVbgtHMjKoU&feature=player_embedded



เมื่อวันที่  6 ก.ค. 2555 นางธิดา โตจิราการ ประธาน นปช. แถลงข่าวที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว โดยระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันนี้ เหมือนโรงเรียนการเมือง ที่เปิดทั่วประเทศ โดยเครือข่ายระบอบอำมาตย์ เปิดตัว เปิดหน้ามาแสดงหมดแล้ว ปรากฎการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีเนื้อแท้ว่า ใครคือ เครือข่ายระบอบอำมาตย์ ปรากฎตัวออกมา แม้กระทั่งคอมมิวนิสต์ ก็ยังมีอำมาตย์ นอกจากนั้น นายสุรพล นิติไกรพจน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้เปลือยกายอย่างล่อนจ้อน แสดงจุดยืนว่าตัวเองคือใคร ประกอบกับ เรื่องราวที่ศาลรัฐรรมนูญ ใครฟ้องร้อง ใครสนับสนุนการฟ้อง และตุลาการแต่ละท่านเป็นอย่างไร

สำหรับการถอนตัวจากองคณะ ของนายจรัญ ภักดีธนากุล เป็นเรื่องดี แต่ทางที่ดี ควรลาออกจากตุลาการรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่ถอนตัว ส่วนนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เคยให้ความเห็นว่าควรแก้รัฐธรรมนูญ 2550 โดยวิธีแก้ไขมาตรา 291 และมี ส.ส.ร. แต่ทำไมขณะนี้ ยังนั่งเป็นตุลาการ เช่นเดียวกับอีก 2 คน ที่มีส่วนในการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ประกอบด้วยนายนุรักษ์ มาประณีต และนายสุพจน์ ไข่มุก ทั้ง 3 คน ควรลาออกไปจากตุลาการ


นางธิดา กล่าวต่อไปว่า ถ้าตุลาการไม่ลาออก คนเสื้อแดงจะมาปรากฎตัว 3-4 แสนคน ไม่ว่าผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไร เราจะมาปรากฎตัว เพื่อบอกว่าเราไม่ยอมรับตุลาการคณะนี้ ขอให้พี่น้องทางบ้าน โหลดแบบฟอร์ม ส่งแฟกซ์ ถ่าย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ไม่ต้องใช้ทะเบียนบ้าน มาเข้าชื่อถอดถอนตามแบบฉบับคนเสื้อแดง พร้อมการปรากฎตัว ไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน 


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341561227&grpid=00&catid=&subcatid= 

สานเสวนาว่าด้วยศรัทธาต่อสถาบันตุลาการ / ตำนานฐานรากและการเลิกเชื่อ

สานเสวนาว่าด้วยศรัทธาต่อสถาบันตุลาการ / ตำนานฐานรากและการเลิกเชื่อ

 




 

 

 

 

  ภาพจำลองอุปมานิทัศน์เรื่องถ้ำ (Allegory of the Cave) ของเพลโต

ในบทสนทนาปรัชญาเรื่อง The Republic

ภาพจำลองอุปมานิทัศน์เรื่องถ้ำ (Allegory of the Cave) ของเพลโต

ในบทสนทนาปรัชญาเรื่อง The Republi

โดย เกษียร เตชะพีระ


ความขัดแย้งเรื่องอำนาจบัญญัติรัฐธรรมนูญระหว่างรัฐสภากับ ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็น ประเด็นสานเสวนาในหมู่เพื่อนเฟซบุ๊กของผม มีประเด็นเกี่ยวข้องแตกแขนงออกไปน่าสนใจ ผมขออนุญาตนำมาเรียบเรียงเล่าต่อดังนี้:

1) ตำนานฐานรากและการเลิกเชื่อ

คุณ CL อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญภาษาญี่ปุ่นที่ไปสอนอยู่ที่ออสเตรเลีย:

เรื่อง ศรัทธานั้นจะว่าไปก็จริงอยู่เพราะการที่คนเราศรัทธาอะไรสักอย่างหนึ่งบางที มันก็ไม่มีเหตุผลว่าทำไมหรือเพราะอะไร จะไปตัดสินว่าถูกหรือผิดก็ไม่มีใครรู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ล้วนๆ เช่น ความเชื่อในเรื่องศาสนา หรือปูชนียบุคคลรูปเคารพต่างๆ (เหมือนที่อาจารย์เกษียรเคยเขียนว่าควร handle with care หรือจัดการอย่างระมัดระวัง)

แต่ในเรื่องของสถาบันตุลาการนั้น มันเกี่ยวข้องยึดโยงกับคนมากมายหลายกลุ่มในสังคม ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งกลุ่มคนที่ศรัทธาทั้งตัวและหัวใจและกลุ่มคนที่ยอมเชื่อ ในกรอบเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะศรัทธาแต่เพราะเชื่อว่ามีหลักการและเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อ การใช้เรื่องของศรัทธาเข้ามาอธิบายว่าควรเชื่อในคำตัดสินของศาลแม้ว่าจะขาด หลักการและเหตุผลที่เป็นที่ยอมรับเลยฟังดูไม่ค่อย make sense (สมเหตุสมผล) เท่าไหร่

ผมแสดงความเห็นกลับไปว่า:

คำว่าสังคมดำรงอยู่ด้วย ศรัทธามีเค้าความจริงอยู่ ในทางปรัชญาการเมืองผมเรียกมันว่า foundational myth/foundational fiction หรือตำนาน/นิยายฐานรากของรัฐ เป็นฐานความเชื่อร่วมกัน และสังคมหวงแหนระแวดระวังมาก ห้ามท้า ห้ามถาม แต่ละรัฐก็จะยึดถือตำนานฐานรากต่างกันไป มันสำคัญขนาดทำให้ความต่างในหมู่ประชากรไม่ว่าชนชั้น ชนชาติ เพศ ศาสนา ฯลฯ จางเจือลดความหมาย และก็สำคัญขนาดทำให้ความเหมือนทุกอย่างไม่มีน้ำหนัก ถ้าแตกต่างไม่ยอมรับกัน เรื่องนี้ตำนานฐานรากสำคัญเพราะมันช่วยระดมพลังคนในรัฐมาร่วมกันทำภารกิจรวม หมู่ยากๆ ได้ สละหยาดเหงื่อแรงงานทรัพย์สินกระทั่งชีวิตเลือดเนื้อได้ แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้คนในรัฐลุกขึ้นมาฆ่ากันได้ด้วย


(อ่านต่อ) 
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341557524&grpid=&catid=02&subcatid=0200

ต้องการรัฐบาลเด็กดี

ต้องการรัฐบาลเด็กดี

 

โดย สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

 

ข้อกล่าวหาที่มีผู้ยื่นร้องต่อศาลรัฐ ธรรมนูญให้วินิจฉัย กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 นั้น มีถ้อยความกล่าวหา รัฐบาล ส.ส. ส.ว. ประธานสภา เอาไว้อย่างดุเดือด ซึ่งผู้คนทั่วบ้านทั่วเมืองกล่าวขวัญกันอย่างมาก

เช่นที่ระบุว่า เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในมาตรา 68

ด้านหนึ่ง การวินิจฉัยตามตัวบทกฎหมาย คงต้องรอฟังมติของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันต่อไป หลังจากเพิ่งไต่สวนพยานเสร็จไปหมาดๆ

แต่ อีกด้าน มองผ่านสายตาประชาชนเอง เขาก็งงกันทั่วว่า ในเมื่อรัฐบาลขณะนี้ ได้อำนาจทางการเมืองมาอยู่ในมือแล้ว นั่งบริหารประเทศมาเกือบปีแล้ว

แถมเป็นอำนาจจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเป๊ะๆ

แล้วเขาจะกระทำการเพื่อให้ได้อำนาจมาโดยมิชอบอีกอย่างไรกัน

รวม ทั้งมองเห็นอย่างชัดเจนได้ว่า เนื่องจากรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่รัฐบาลและพรรคร่วมลงมือแก้ไข จนเป็นเหตุให้ถูกยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว

เป็นรัฐธรรมนูญจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549


(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341563923&grpid=&catid=02&subcatid=0200

ลุงธง แจ่มศรี อดีตเลขาธิการ พคท.ประกาศชัดว่า พวก ทปท.รอ.หน้าศาล ฯ คือพวกลวงโลกทั้งสิ้น

ลุงธง แจ่มศรี อดีตเลขาธิการ พคท.ประกาศชัดว่า พวก ทปท.รอ.หน้าศาล ฯ คือพวกลวงโลกทั้งสิ้น

 

 

ปฏิกิริยา จากอดีตเลขาธิการพคท.ธง แจ่มศรี ซึ่งอายุ 90 กว่าปีแล้ว ที่ออกเอกสารว่าเป็นการกระทำที่อัปยศของคนบางส่วน ที่ร่วมมือกันให้ได้มีการแสดงนี้ออกมา แต่ไม่ใช่มติชาวพรรค และอดีต ทปท.แต่ประการใด

ผมเคยมีโอกาสพบผู้เฒ่าท่านนี้ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว พร้อมกับมิตรสหายอีกหลายคน (โปรด ทราบว่า ผมไม่เคยเป็นสมาชิกสันนิบาตเยาวชน หรือ ย. ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค หรือ ส. แต่ประการใด แค่ตามเพื่อน ๆ ที่เคยร่วมต่อสู้กันมาบ้างไปสนทนากับท่านด้วยเท่านั้น)

ครั้งนั้นได้รับรู้ว่าลุงธง แจ่มศรีนั้น ต่อต้านพวกเหลือง สลิ่ม รวมทั้ง อดีต พคท.ที่ไปร่วมกับพวกไอ้ลิ้มอย่างชัดเจน เพราะมีข่าวฝ่ายยุทธศาสตร์ของไอ้ลิ้มหลายคนที่เป็นอดีตฝ่ายนำในเขตงานบางเขต ของ พคท. เข้าไปร่วมงานกับแก๊งค์พันธมิตรอยู่ ลุงธงไม่พอใจมากกับการอ้างตัวว่าเคยเป็นนักรบประชาชนแบบ ทปท.แล้วไปรับใช้เผด็จการศักดินาอำมาตย์ รวมทั้งคนกลุ่มนั้นยังแอบไปหลอกลวงจัดตั้งอดีต ทปท.จำนวนหนึ่งให้กับศัตรูประชาชนอีกด้วย

แถลงการณ์จากลุงธงกระจายไปยังอดีตชาวพรรค ฯ เรียกร้องให้วิเคราะห์สถานการณ์และแยกมิตรแยกศัตรูให้ชัดเจน หนึ่งในความเห็นของลุงธงก็คือ รัฐบาลทักษิณ แม้จะไม่ใช่ฝ่ายกรรมาชีพ แต่ก็มีลักษณะเป็นฝ่ายก้าวหน้า ไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมเผด็จการโบราณ ขอบอกว่า ความเห็นของลุงธงนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่อดีตชาวพรรค ฯ ที่เคยเป็น ย.และ ส.จำนวนมาก มองออกมาก่อนแล้ว แต่ก็สร้างความยินดีให้พวกเขาอย่างมาก เนื่องจากหลายคนกำลัง "เง็ง" กับพฤติกรรมของพวกที่ไปร่วมกับฝ่ายนั้นว่า ตกลงอุดมการณ์เพื่อพี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ของเขามันไปอยู่ที่ไหน

คนพวกนั้นอ้างอุดมการณ์มาหลอกลวงสหายเก่าว่า การเข้าร่วมกับฝ่ายล้าหลังของพวกเขานั้น เพียงเพื่อใช้เป็นแนวทางนำไปสู่สังคมอุดมคติเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เห็นด้วยกับกลุ่มล้าหลังแต่ประการใด บางคนถึงขนาดบอกว่า เมื่อพวกเขาที่แทรกซึมอยู่ในพันธมิตรทำการยึดอำนาจรัฐได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาที่จะจัดการกับพวกที่เขาร่วมมือด้วยเพื่อบรรลุเป้าหมาย และยืนยันจะเอาสังคมอุดมคติมาสู่ประเทศชาติให้ได้

แต่ความจริงก็ปิดไม่อยู่ เพราะกลุ่มคนพวกนี้วันนี้ร่ำรวยรับทรัพย์และอำนาจกันเป็นแถว ๆ บางคนเคยเป็น สนช. ที่ปรึกษารัฐมนตรี ฯลฯ แต่ก็ยังคงลวงโลกและเพื่อนมิตรร่วมรบร่วมเป็นร่วมตายแบบหน้าตาเฉย อ้างว่ายังคงมั่นคงในอุดมการณ์ และต่้อสู้เพื่อสังคมเป็นธรรม แต่ไม่มีใครเชื่อหรือคบหาสมาคมกับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว นอกจากแก๊งค์เดียวกันเท่านั้น

อย่าแปลกใจที่พรรคการเมืองใหม่ เน้นเรื่องเลือกตั้ง 30% และสรรหา 70% นี่เป็นแนวที่มาจากอิทธิพลทางความคิดของพวกนั้น อ้างว่าการเลือกตั้งแบบปัจจุบันนั้น ฝ่ายอื่นไม่มีทางเข้าสภาได้เลย ซึ่งก็จริง เพราะพรรคการเมืองใหม่นั้นบางตัวได้คะแนนไม่ถึง 10 เสียงก็มี (คือได้เฉพาะจากญาติพี่น้องของพวกตัวเองเท่านั้น)

วุฒิสมาชิกสรรหาในวุฒิสภาตามรัดทำมะนวยหัวคูนฉบับนี้ เป็นแบบจำลองความพยายามของพวกเขาที่พอจะได้ผลบ้าง

ลุงธงต่อ ต้านมาตั้งแต่ครั้งนั้น ดังนั้น การออกมาแถลงของลุงธงครั้งนี้จึงตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า พคท.รอ. ที่อยู่หน้าศาลรัฐธรรมนูญกลุ่มนี้ ไม่ใช่ ทปท.ที่แท้จริงแต่ประการใด มีเพียงสองสามคน ที่เป็นอดีตสหายนำตามเขตงาน ที่ไปรับเงินมา แล้วหาเด็ก ๆ รับจ้างมาแต่งตัว ทปท.เท่านั้น เห็นไหมว่าบางคนอายุยังไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ มันจะเคยเป็น ทปท.เข้าไปได้ยังไง เรื่องมันจบมากว่าสามสิบปีแล้ว
 

(ที่มา)http://www.internetofreedom.com/index.php?/topic/11591

(ที่มา)http://thaienews.blogspot.dk/2012/07/blog-post_07.html 

"ศาลรธน."นัดแถลงปิดคดีแล้ว 11 ก.ค.!!! ฟังคำวินิจฉัยล้มล้างปกครอง 13 ก.ค.

"ศาลรธน."นัดแถลงปิดคดีแล้ว 11 ก.ค.!!! ฟังคำวินิจฉัยล้มล้างปกครอง 13 ก.ค.

 

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 21.00 น. ภายหลังไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องเสร็จสิ้น 7 ปาก เป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมง นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ในฐานะผู้ร้องแจ้งต่อประสงค์จะยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี  ทั้งนี้นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า "คดีนี้หากทอดเวลาการพิจารณาไปนานจะเป็นเรื่องไม่มงคลทั้งสิ้น ถ้าตัดสินเร็วเกินไปก็หาลุกลี้ลุกลนมีธงตัดสินช้าไปก็ดึงเกม ทำอะไรก็ผิดหมด ถ้าท่านจะแถลงปิดคดี ศาลก็อนุญาตให้วันพุธหน้า(วันที่ 11 กรกฎาคม) ส่วนวันศุกร์ (วันที่13 กรกฎาคม)ศาลจะตัดสิน"

จากนั้น นายวสันต์ได้อ่านรายงานกระบวนการวิธีพิจารณาว่าคดีเป็นอันเสร็จการพิจารณา หากคู่กรณีรายใดจะประสงค์ยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรให้ยื่น ภายในวันที่ 11 กรกฎาคม หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจ พร้อมนัดฟังคำวินิจฉัยในเวลา 14.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคมนี้


(ที่มา)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341583993&grpid=00&catid=&subcatid=

"โภคิน"ซัดใช้จินตนาการตัดสินข้อเท็จจริง"วสันต์"ลั่นไม่ต้องบอกตุลาการที่เคารพ ออกไปก็ด่า

"โภคิน"ซัดใช้จินตนาการตัดสินข้อเท็จจริง"วสันต์"ลั่นไม่ต้องบอกตุลาการที่เคารพ ออกไปก็ด่า

 

 

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 กรกฎาคม ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ถนนแจ้งวัฒนะ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนำโดยนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์นัดไต่สวนพยานฝ่ายผู้ถูกร้องในคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 กรณีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งผลทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 อันเป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่

นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา ในฐานะพยานฝ่ายผู้ถูกร้อง เข้าเบิกความต่อศาลเป็นปากแรก ว่า การยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 นั้น ขั้นตอนไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะสามารถยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 เป็นเรื่องของการใช้สิทธิเสรีภาพ หากดูตามข้อเท็จจริงแล้ว ข้อยุติในขณะนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเพียงแค่ร่างที่ผ่านการพิจารณาใน วาระที่ 2 เท่านั้น ยังไม่ได้มีการแก้ไขคำแม้แต่คำเดียว ดังนั้น ถ้าข้อยุติหยุดเพียงแค่นี้ คือยังไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับมีการจินตนาการว่าจะไปแก้ไขเช่นนั้นเช่นนี้ และมีความผิด จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเรากำลังเอาจินตภาพไปตัดสินข้อเท็จจริงในปัจจุบันอยู่
  

(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1341550846&grpid=00&catid=&subcatid=

เป้าหมายครั้งนี้คือ บดขยี้คนเสื้อแดง!

 

รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์
จาก “โลกวันนี้วันสุข”
วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม 2555

 
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 ว่าด้วยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นขั้นตอนสำคัญที่แสดงว่า การรุกทางยุทธศาสตร์ครั้งล่าสุดของฝ่ายเผด็จการจารีตนิยมได้เริ่มขึ้นแล้ว
 
พวกเขาได้หันมาใช้ตุลาการเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตยซ้ำ แล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย จนถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย พวกเขายิ่งทำ ก็ยิ่งโจ่งแจ้ง ไร้ยางอาย เป็นที่ประจักษ์สายตาแก่ประชาชนทั่วไป
 
พวกจารีตนิยมพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับฝ่ายประชาธิปไตยมาแล้วห้าครั้ง ตั้งแต่พรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2544 จนถึงพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ที่พวกเขาเชื่อว่า จะสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง แต่กลับประสบความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน จึงเป็นที่ชัดเจนว่า สนามเลือกตั้งได้กลายเป็นสนามหลักของฝ่ายประชาธิปไตยไปแล้ว พวกเขาไม่มีทางที่จะเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งได้ในอนาคตอัน ใกล้
 
พวกจารีตนิยมจึงยังคงใช้วิธีการเดิมที่ทำสำเร็จมาแล้วทุกครั้งตลอดหลาย สิบปีมานี้ คือการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างเป็นขั้นตอน ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี โจมตีผ่านสื่อกระแสหลัก สนับสนุนอันธพาลการเมืองออกมาก่อจลาจลบนท้องถนน ให้นักวิชาการและเนติบริกรออกมาทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ให้พรรคประชาธิปัตย์ก่อความวุ่นวายทั้งในและนอกสภา ทั้งหมดเพื่อให้รัฐบาลอ่อนเปลี้ยเสียขวัญ ไม่สามารถควบคุมสั่งการระบบราชการ ไม่อาจทำงานบริหารต่อไปไม่ได้ กลายเป็น “รัฐบาลเป็ดง่อย” แล้วท้ายสุดคือ ให้ทหารก่อรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลในที่สุด
 
นับแต่ต้นปี 2549 เป็นต้นมา ฝ่ายเผด็จการก็ได้มีนวัติกรรมใหม่เข้ามาเป็นองค์ประกอบสำคัญคือ การใช้ตุลาการและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเริ่มมีขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2540 ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมึอทางการเมืองทำร้ายฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ จงใจสร้างวิกฤตทางกฎหมายที่ไม่มีทางออก ก่อเป็นสถานการณ์สุกงอมที่นำไปสู่การแทรกแซงโดยกองทัพ
 
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเบื้องต้นอาจเพียงแต่นำไปสู่การยุบพรรค เพื่อไทย (และพรรคร่วมรัฐบาล) แต่ยังไม่อาจโค่นล้มรัฐบาลได้ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ฉะนั้น ขั้นตอนต่อไปคือ การใช้องค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่มากมาย ทำลายนายกรัฐนมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอาจไปถึงสส.และสมาชิกวุฒิสภาที่ลงมติสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมด อีกด้วย เป็นการทำลายทั้งรัฐบาลและรัฐสภาไปพร้อมกัน ซึ่งก็คือ ใช้อำนาจตุลาการก่อ “รัฐประหารเงียบ” ทำลายอำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติอย่างเป็นกระบวนการ
 
คำถามคือ ในการรุกใหญ่ครั้งนี้ ฝ่ายจารีตนิยมหมายมุ่งเพียงการเปลี่ยนรัฐบาล อุ้มสมให้พรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาลอีกครั้ง ดังเช่นที่ทำมาแล้วกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชนเมื่อเดือนธันวาคม 2551  หรือพวกเขามีเป้าหมาย “สูงไปกว่านั้น”?
 
คำตอบขึ้นอยู่กับว่า ในการรุกคราวนี้ เป้าหมายของฝ่ายเผด็จการอยู่ที่ไหน?
 
ถ้าเป้าหมายอยู่เพียงแค่การทำลายพลังทางการเมืองในระบบเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังเช่นที่เคยทำมาแล้วเมื่อปี 2551 พวกเขาก็จะทำลายแต่เพียงนายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย แต่ยังรักษาสภาผู้แทนราษฎรเอาไว้ แล้วบีบให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยบางส่วนและพรรคร่วมรัฐบาล “ย้ายขั้ว” มาร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ให้ได้จำนวนคะแนนเสียงในสภามากพอที่จะไปจัดตั้งรัฐบาลใหม่
 
แต่การรุกใหญ่ของพวกจารีตนิยมในครั้งนี้แตกต่างจากทุกครั้งในอดีต คือไม่ได้มีเป้าหมายอยู่เพียงที่พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เป้าหมายที่แท้จริงในครั้งนี้คือ การทำลายล้างขบวนการคนเสื้อแดง!
 
บทเรียนสำคัญคือ ความล้มเหลวของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ใช้กลไกรัฐและมาตรการต่าง ๆ ทั้งแจกสินบนและข่มขู่ ไปสลายขบวนคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง จนถึงการสังหารหมู่เมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2554 แต่ก็ไม่อาจทำลายขบวนคนเสี้อแดงลงได้ ข้อจำกัดของระบบการเมืองแบบเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญ 2550 คือไม่สามารถใช้กำลังรุนแรงทำลายล้างขบวนประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องและเป็น ระบบได้ เพราะในระบอบรัฐธรรมนูญที่ยังอ้างหลักนิติรัฐอยู่นั้น รัฐบาลถูกจำกัดด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งการมีอยู่ของพรรคฝ่ายค้านในสภา เหล่านี้เป็นปัจจัยขัดขวางที่จำกัดการใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชนให้อยู่ในขอบ เขตที่กฎหมายเปิดช่องไว้ให้เท่านั้น
 
ฉะนั้น ในการรุกใหญ่ครั้งนี้ จะไม่เป็นเพียงการทำลายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แล้วอุ้มรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาแทนที่ภายในระบบเลือกตั้งตามปกติของ รัฐธรรมนูญ 2550 แต่จะเป็นการนำไปสู่ระบอบการปกครองเผด็จการอย่างเปิดเผย เปิดโอกาสให้มีการปราบปรามประชาชนครั้งใหญ่ ทั้งด้วยกำลังทหารและกองกำลังติดอาวุธนอกระบบที่พวกเขาได้จัดตั้งรอไว้แล้ว โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญในยามสันติอีกต่อไป
 
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าแกนนำพรรคเพื่อไทยจะเลือกเส้นทางยอมจำนน ประจบเอาใจ หวังรอ “ความเมตตา” จากพวกจารีตนิยมสักเพียงใดก็ตาม แกนนำพรรคเพื่อไทยแก้ตัวตลอดมาว่า การประนีประนอมก็เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งขั้นรุนแรงและการนองเลือดของ ประชาชน แต่ถึงกระนั้น การปะทะรุนแรงและการนองเลือดก็เกิดขึ้นอยู่ดี ดังเช่นเมื่อเมษายน-พฤษภาคม 2554 และก็กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้งในเบื้องหน้านี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในความสูญเสียของประชาชนได้ เพราะการที่พรรคเพื่อไทยดำเนินแนวทางยอมจำนน ก็คือการปล่อยให้ขบวนประชาชนต้องตกอยู่ในสถานะโดดเดี่ยว และเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่เอื้อให้ฝ่ายเผด็จการสามารถดำเนินแผนตามขั้นตอน ไปสู่การสูญเสียของประชาชนนั่นเอง ในการนี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยก็คือ ผู้ที่ยืนตัวสั่นงันงก มองดูการปราบปรามประชาชนอยู่ต่อหน้า อ้างเรื่อง “ปรองดอง” “หลีกเลี่ยงความรุนแรง” มาปฏิเสธความรับผิดชอบทั้งปวง
 
ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ใหม่ ในเบื้องต้น พวกเขาอาจประสบความสูญเสียที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ขบวนประชาธิปไตยก็คือนักต่อสู้เพื่อเสรีภาพที่ผ่านสมรภูมินองเลือด เมษายน-พฤษภาคม 2554 มาแล้ว พวกเขาจึงมีทั้งขวัญ กำลังใจ และประสบการณ์ ปราศจากความหวั่นเกรงต่อภัยคุกคามที่อยู่เบื้องหน้า พร้อมที่จะต่อสู้และเสียสละอย่างยืดเยื้อยาวนาน เพื่อไปสู่ชัยชนะของประชาธิปไตยในที่สุด

(ที่มา)
http://www.prachatai.com/journal/2012/07/41414

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 06/07/55 เสาค้ำต้นใหม่ล่าสุด....

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 06/07/55 เสาค้ำต้นใหม่ล่าสุด.... 



Posted Image



เล่นจำอวด ต่อหน้า ประชาราษฎร์
เติมอุบาทว์ หม่นมัว ชั่วเห็นๆ
ตลกร้าย โสมม สมกากเดน
แม้ซ่อนเร้น ก็เห็นใส้ จัญไรนัก....
 
ผิดกฎหมาย เสียเอง เก่งตอแหล
ไม่เปลี่ยนแปร ความระยำ ซ้ำเป็นหนัก
อยากจะทำ อยากจะนึก ก็ยึกยัก
จนประจักษ์ สิ่งเลวทราม หยามประชา....
 
ชูใบแดง โห่ใส่ พร้อมไล่ส่ง
เอียงจนงง เกิดมาเอียง เอียงนักหนา
ประชาชน เห็นกันทั่ว ตัวมารยา
จึงต้องมา ให้ใบแดง พร้อมแช่งมัน....
 
ได้เสาค้ำ ต้นใหม่ ช่างไวแท้
ดาวแดงแก่ คอมมิวนิสต์ ช่างคิดสั้น
ไปเที่ยวแซะ เที่ยวขุดหา นับสารพัน
หวังบีีบคั้น ก่อกวน ถึงมวลชน....
 
ตลกเอียง เสี่ยงดับ ลาลับหาย
เฉกนิยาย น้ำเน่า ใครเล่าสน
เรื่องถูกผิด กลับเฉไฉ ให้วกวน
ด้วยเล่ห์กล สามานย์ สันดาน "เอียง"....  

๓ บลา / ๖ ก.ค.๕๕  
http://3blabla.blogspot.com