ชนชั้น
ชนชั้นกรรมาชีพมีพลังซ่อนเร้นมหาศาล
เพราะเป็นผู้ทำงานในใจกลางระบบทุนนิยม
การนัดหยุดงานหรือการยึดสถานที่ทำงานโดยชนชั้นกรรมาชีพโดยประสานกันทั้ง
ประเทศ อาจนำไปสู่การล้มอำนาจนายทุนและการสร้างสังคมใหม่ได้
โดย ลั่นทมขาว
นักมาร์คซิสต์จำแนกชนชั้นตามความสำพันธ์กับระบบการผลิตเพราะระบบการผลิตเป็น
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตในโลกได้
และความสัมพันธ์กับระบบนี้ที่แตกต่างกัน
นำไปสู่อำนาจที่แตกต่างกันของมนุษย์ในสังคมเสมอ ไม่ว่าจะยุคใดก็ตาม
อำนาจของชนชั้นปกครอง(หรือชนชั้นนายทุน)ในสมัยนี้มาจากอำนาจที่จะควบคุม ทรัพยากรและมูลค่าต่างๆที่คนธรรมดาผลิตในวันทำงาน มันเป็นอำนาจในการคุมระบบการผลิตกับชีวิตงาน และมันเลยไปถึงอำนาจในการคุมกองทัพและสื่อ และที่สำคัญคือนำไปสู่การควบคุมอำนาจรัฐอีกด้วย ส่วนคนทำงานธรรมดา ไม่ว่าจะในภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรมและการบริการ ได้แต่เป็นลูกจ้างของผู้มีอำนาจ หรือเป็นผู้ประกอบการรายย่อย
ความสัมพันธ์กับระบบการผลิตที่ต่างกันนี้ นำไปสู่ผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นนายจ้างต้องการกำไรมากที่สุด แต่ลูกจ้างต้องการเพิ่มค่าจ้างเพื่อชีวิตที่ดีเป็นต้น
ระบบทุนนิยมมีกลุ่มชนชั้นหลักสามกลุ่มดังนี้คือ
1.นายทุน ผู้ควบคุมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เช่นโรงงาน บริษัท หรือรัฐวิสาหกิจ ในโลกสมัยใหม่อำนาจในการควบคุมปัจจัยการผลิตเป็นเรื่องหลัก เพราะนายทุนไม่จำเป็นต้องเป็น “เจ้าของ” ของทั้งบริษัทก็ได้ แค่ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็พอ หรือในกรณีรัฐวิสาหกิจ “นายทุน” คือข้าราชการชั้นสูงและทหาร ที่ถือตำแหน่งในกรรมการบริหารของรัฐวิสาหกิจ โดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเลย
นายทุนทั้งชนชั้นมีอำนาจมาก เพราะควบคุมเศรษฐกิจ และทุกอย่างที่ทำให้เราดำรงชีพได้ โดยไม่มีประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งแต่อย่างใด เขาสามารถตัดสินใจเรื่องการลงทุน การถอนทุน การจ้างงาน หรือการเลิกจ้างได้เสมอ นอกจากนี้ชนชั้นนายทุนคุมอำนาจรัฐในส่วนที่ไม่มีการเลือกตั้งอีกด้วย เช่นกองทัพ ตำรวจ สื่อ หรือศาล และใช้สถาบันเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของตนตลอด แต่ชนชั้นนายทุนเป็นคนส่วนน้อยของสังคมและไม่ใช่คนที่ทำงาน และทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่อาจเลือกรัฐบาลได้ในวันเลือกตั้ง แต่การตั้งรัฐบาลไม่ใช่เรื่องเดียวกับการควบคุม “รัฐ” แต่อย่างใด
2.กรรมาชีพ ผู้ที่เป็นลูกจ้าง ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรในโรงงาน พนักงานในออฟฟิศ ข้าราชการชั้นผู้น้อย แรงงานรับจ้างในภาคเกษตร พยาบาล ครู อาจารย์ และรวมทั้งทนายหรือหมอที่เป็นลูกจ้างอีกด้วย กรรมาชีพคือลูกจ้าง ไม่ว่าจะหน้าดำหน้าขาวหรือแต่งตัวอย่างไร และไม่ว่าจะมีระดับการศึกษาใดหรือรสนิยมแบบไหนชนชั้นกรรมาชีพอาจไม่มีอำนาจ ในการคุมปัจจัยการผลิต บริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ แต่มีพลังต่อรองสูงถ้ารวมตัวกันตั้งสหภาพแรงงาน คือสามารถทวงคืนมูลค่าที่ตนเองผลิตจากนายทุนได้ในระดับต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองและการจัดตั้งเราจึงเห็นการนัดหยุดงานเพื่อเพิ่ม ค่าจ้าง
ชนชั้นกรรมาชีพมีพลังซ่อนเร้นมหาศาล เพราะเป็นผู้ทำงานในใจกลางระบบทุนนิยม การนัดหยุดงานหรือการยึดสถานที่ทำงานโดยชนชั้นกรรมาชีพโดยประสานกันทั้ง ประเทศ อาจนำไปสู่การล้มอำนาจนายทุนและการสร้างสังคมใหม่ได้ แต่กรรมาชีพต้องพัฒนาจิตสำนึกทางการเมืองและมีพรรคเป็นองค์กรจัดตั้งของตน เอง ถึงจะล้มนายทุนได้ ที่สำคัญคือในสังคมไทยทุกวันนี้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม
3. ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางในสังคมสมัยใหม่ เป็น “กลุ่มชนชั้น” มีความหลากหลายและกระจัดกระจาย เป็นคนที่ไม่ใช่นายทุน และไม่ใช่ลูกจ้างระดับธรรมดา เช่นเกษตรกรผู้ผลิตเองรายย่อย พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการเองที่มีลูกจ้างสองสามคน หรืออาจเป็นหัวหน้างานและผู้บริหารที่เป็นทั้งลูกจ้างของนายทุนแต่มีอำนาจ ให้คุณให้โทษแทนนายทุน ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มชนชั้นที่ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ บางส่วนขยายจำนวน บางส่วนเริ่มมีน้อยลงเพราะล้มละลาย และชนชั้นนี้มีปัญหาในการรวมตัวกันเสมอ เพราะไม่เป็นปึกเป็นแผ่น มีผลประโยชน์ต่างกัน และอาจเป็นคู่แข่งกันด้วย
ดังนั้นบ่อยครั้งชนชั้นกลางต้องไปเกาะติดกับชนชั้นที่มีอำนาจมากกว่า เช่นชนชั้นนายทุน หรือบางครั้งอาจเกาะติดกับชนชั้นกรรมาชีพเมื่อมีการต่อสู้ จุดยืนทางการเมืองของชนชั้นกลางจึงไม่คงที่ ชนชั้นกลางมีจำนวนน้อยกว่ากรรมาชีพในสังคมไทยปัจจุบัน เพราะเกษตรกรรายย่อยกำลังล้มละลาย และคนส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง
นักมาร์คซิสต์ให้ความสำคัญกับกรรมาชีพเป็นพิเศษเนื่องจากมีอำนาจซ่อนเร้นทาง เศรษฐกิจ และการต่อสู้ของกรรมาชีพจะเน้นการรวมตัวกันเพื่อประโยชน์ของคนจำนวนมาก เพราะกรรมาชีพในสถานที่ทำงานถูกบังคับโดยสถานการณ์ให้ต่อสู้แบบรวมหมู่เพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าสู้แบบปัจเจกจะต่อรองกับนายจ้างไม่ได้ แต่กรรมาชีพไทยในเมืองยังต้องจับมือสร้างแนวร่วมกับคนจนในชนบทอีกด้วย เช่นลูกจ้างภาคเกษตรและเกษตรกรรายย่อย เพราะคนเหล่านี้มีจำนวนมากพอสมควร
คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นกรรมาชีพหรือเป็นเกษตรกรรายย่อยถึงระดับกลาง ประเด็นที่น่าสนใจคือคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ชื่นชมนายทุนอย่างทักษิณและพรรค เพื่อไทยซึ่งทำให้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์คนส่วนใหญ่ในลักษณะอิสระไม่ได้ จึงต้องจำยอมเดินตามก้นรัฐบาลเพื่อไทยที่จับมือกับทหาร นี่คือสาเหตุที่นักมาร์คซิสต์พยายามจัดตั้งพรรคของคนทำงาน ที่พยายามเสนอแนวคิดที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่อย่างอิสระ
อำนาจของชนชั้นปกครอง(หรือชนชั้นนายทุน)ในสมัยนี้มาจากอำนาจที่จะควบคุม ทรัพยากรและมูลค่าต่างๆที่คนธรรมดาผลิตในวันทำงาน มันเป็นอำนาจในการคุมระบบการผลิตกับชีวิตงาน และมันเลยไปถึงอำนาจในการคุมกองทัพและสื่อ และที่สำคัญคือนำไปสู่การควบคุมอำนาจรัฐอีกด้วย ส่วนคนทำงานธรรมดา ไม่ว่าจะในภาคเกษตรหรือภาคอุตสาหกรรมและการบริการ ได้แต่เป็นลูกจ้างของผู้มีอำนาจ หรือเป็นผู้ประกอบการรายย่อย
ความสัมพันธ์กับระบบการผลิตที่ต่างกันนี้ นำไปสู่ผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่นนายจ้างต้องการกำไรมากที่สุด แต่ลูกจ้างต้องการเพิ่มค่าจ้างเพื่อชีวิตที่ดีเป็นต้น
ระบบทุนนิยมมีกลุ่มชนชั้นหลักสามกลุ่มดังนี้คือ
1.นายทุน ผู้ควบคุมหรือเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เช่นโรงงาน บริษัท หรือรัฐวิสาหกิจ ในโลกสมัยใหม่อำนาจในการควบคุมปัจจัยการผลิตเป็นเรื่องหลัก เพราะนายทุนไม่จำเป็นต้องเป็น “เจ้าของ” ของทั้งบริษัทก็ได้ แค่ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็พอ หรือในกรณีรัฐวิสาหกิจ “นายทุน” คือข้าราชการชั้นสูงและทหาร ที่ถือตำแหน่งในกรรมการบริหารของรัฐวิสาหกิจ โดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเลย
นายทุนทั้งชนชั้นมีอำนาจมาก เพราะควบคุมเศรษฐกิจ และทุกอย่างที่ทำให้เราดำรงชีพได้ โดยไม่มีประชาธิปไตยหรือการเลือกตั้งแต่อย่างใด เขาสามารถตัดสินใจเรื่องการลงทุน การถอนทุน การจ้างงาน หรือการเลิกจ้างได้เสมอ นอกจากนี้ชนชั้นนายทุนคุมอำนาจรัฐในส่วนที่ไม่มีการเลือกตั้งอีกด้วย เช่นกองทัพ ตำรวจ สื่อ หรือศาล และใช้สถาบันเหล่านี้เพื่อประโยชน์ของตนตลอด แต่ชนชั้นนายทุนเป็นคนส่วนน้อยของสังคมและไม่ใช่คนที่ทำงาน และทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่อาจเลือกรัฐบาลได้ในวันเลือกตั้ง แต่การตั้งรัฐบาลไม่ใช่เรื่องเดียวกับการควบคุม “รัฐ” แต่อย่างใด
2.กรรมาชีพ ผู้ที่เป็นลูกจ้าง ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรในโรงงาน พนักงานในออฟฟิศ ข้าราชการชั้นผู้น้อย แรงงานรับจ้างในภาคเกษตร พยาบาล ครู อาจารย์ และรวมทั้งทนายหรือหมอที่เป็นลูกจ้างอีกด้วย กรรมาชีพคือลูกจ้าง ไม่ว่าจะหน้าดำหน้าขาวหรือแต่งตัวอย่างไร และไม่ว่าจะมีระดับการศึกษาใดหรือรสนิยมแบบไหนชนชั้นกรรมาชีพอาจไม่มีอำนาจ ในการคุมปัจจัยการผลิต บริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ แต่มีพลังต่อรองสูงถ้ารวมตัวกันตั้งสหภาพแรงงาน คือสามารถทวงคืนมูลค่าที่ตนเองผลิตจากนายทุนได้ในระดับต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับอำนาจต่อรองและการจัดตั้งเราจึงเห็นการนัดหยุดงานเพื่อเพิ่ม ค่าจ้าง
ชนชั้นกรรมาชีพมีพลังซ่อนเร้นมหาศาล เพราะเป็นผู้ทำงานในใจกลางระบบทุนนิยม การนัดหยุดงานหรือการยึดสถานที่ทำงานโดยชนชั้นกรรมาชีพโดยประสานกันทั้ง ประเทศ อาจนำไปสู่การล้มอำนาจนายทุนและการสร้างสังคมใหม่ได้ แต่กรรมาชีพต้องพัฒนาจิตสำนึกทางการเมืองและมีพรรคเป็นองค์กรจัดตั้งของตน เอง ถึงจะล้มนายทุนได้ ที่สำคัญคือในสังคมไทยทุกวันนี้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม
3. ชนชั้นกลาง ชนชั้นกลางในสังคมสมัยใหม่ เป็น “กลุ่มชนชั้น” มีความหลากหลายและกระจัดกระจาย เป็นคนที่ไม่ใช่นายทุน และไม่ใช่ลูกจ้างระดับธรรมดา เช่นเกษตรกรผู้ผลิตเองรายย่อย พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ผู้ประกอบการเองที่มีลูกจ้างสองสามคน หรืออาจเป็นหัวหน้างานและผู้บริหารที่เป็นทั้งลูกจ้างของนายทุนแต่มีอำนาจ ให้คุณให้โทษแทนนายทุน ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มชนชั้นที่ไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ บางส่วนขยายจำนวน บางส่วนเริ่มมีน้อยลงเพราะล้มละลาย และชนชั้นนี้มีปัญหาในการรวมตัวกันเสมอ เพราะไม่เป็นปึกเป็นแผ่น มีผลประโยชน์ต่างกัน และอาจเป็นคู่แข่งกันด้วย
ดังนั้นบ่อยครั้งชนชั้นกลางต้องไปเกาะติดกับชนชั้นที่มีอำนาจมากกว่า เช่นชนชั้นนายทุน หรือบางครั้งอาจเกาะติดกับชนชั้นกรรมาชีพเมื่อมีการต่อสู้ จุดยืนทางการเมืองของชนชั้นกลางจึงไม่คงที่ ชนชั้นกลางมีจำนวนน้อยกว่ากรรมาชีพในสังคมไทยปัจจุบัน เพราะเกษตรกรรายย่อยกำลังล้มละลาย และคนส่วนใหญ่เป็นลูกจ้าง
นักมาร์คซิสต์ให้ความสำคัญกับกรรมาชีพเป็นพิเศษเนื่องจากมีอำนาจซ่อนเร้นทาง เศรษฐกิจ และการต่อสู้ของกรรมาชีพจะเน้นการรวมตัวกันเพื่อประโยชน์ของคนจำนวนมาก เพราะกรรมาชีพในสถานที่ทำงานถูกบังคับโดยสถานการณ์ให้ต่อสู้แบบรวมหมู่เพื่อ ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าสู้แบบปัจเจกจะต่อรองกับนายจ้างไม่ได้ แต่กรรมาชีพไทยในเมืองยังต้องจับมือสร้างแนวร่วมกับคนจนในชนบทอีกด้วย เช่นลูกจ้างภาคเกษตรและเกษตรกรรายย่อย เพราะคนเหล่านี้มีจำนวนมากพอสมควร
คนเสื้อแดงส่วนใหญ่เป็นกรรมาชีพหรือเป็นเกษตรกรรายย่อยถึงระดับกลาง ประเด็นที่น่าสนใจคือคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ชื่นชมนายทุนอย่างทักษิณและพรรค เพื่อไทยซึ่งทำให้ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์คนส่วนใหญ่ในลักษณะอิสระไม่ได้ จึงต้องจำยอมเดินตามก้นรัฐบาลเพื่อไทยที่จับมือกับทหาร นี่คือสาเหตุที่นักมาร์คซิสต์พยายามจัดตั้งพรรคของคนทำงาน ที่พยายามเสนอแนวคิดที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่อย่างอิสระ
(ที่มา)