คนจริง สมบัติ บุญงามอนงค์
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2554
"ยึดวอลล์สตรีท" กบฏต่อต้านความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจ หรือ การลุกฮือของพวกชายขอบไร้การศึกษา???
"รัฐอุ้มแบงค์ ส่วนพวกเราหมดตัว" (We got sold out, bank got bail out)"ประชาชนต้องมาก่อนผลกำไร" (People before Profit)"เราขอสู้กับความโลภของพวกบริษัทยักษ์ใหญ่" (Fight Corporate Greed!)"ใหญ่เกินกว่าจะล้มอย่างนั้นหรือ? :เราขอประท้วง!" (Protest: To BIG To FAIL)
เว็บไซต์ของขบวนการเคลื่อนไหว "ยึดวอลล์สตรีท" ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวดังกล่าวไว้ว่า ขบวนการ "ยึดวอลล์สตรีท" เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ที่ด้านหน้าอาคารที่ทำการตลาดหุ้นนิวยอร์กในย่านแมนฮัตตัน และจนถึงตอนนี้ ขบวนการดังกล่าวได้แพร่ขยายไปยังเมืองใหญ่อื่นๆอีก 100 เมืองแห่งในอเมริกา รวมไปถึงเมืองต่างๆอีกกว่า 1,500 เมืองใน 80 ประเทศทั่วโลก
เว็บไซต์ "ยึดวอลล์สตรีท" ยังได้เขียนถึงการเคลื่อนไหวของพวกตนว่า เป็นการโต้กลับอำนาจคุกคามของธนาคารรายยักษ์และบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นตัวการทำให้เศรษฐกิจในอเมริกาตกต่ำอย่างรุนแรง ทั้งนี้ ด้วยการใช้กระบวนการทางประชาธิปไตย (ยกเว้นในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ที่มีการจุดไฟเผารถยนต์และบุกทำลายธนาคารเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา)
"ยึดวอลล์สตรีท" กล่าวว่า ขบวนการของพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากการปฏิวัติในอียิปต์ ตูนีเซีย สเปน กรีซ อิตาลี และสหราชอาณาจักร โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการที่รวยเพียง 1 % เป็นผู้ที่เขียนกฏเกณฑ์ทางเศรษฐกิจโลก อันวางอยู่บนรากฐานความเชื่อของลัทธิเสรีนิยมใหม่ (neoliberalism) ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ
เบนจามิน ดังโก้ จากสำนักข่าวอัลจาซีรากล่าวว่า ขณะที่การประท้วงได้ดำเนินต่อไป อัตราการว่างงานและภาวะความยากจนในสหรัฐฯได้พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ความไม่เสมอภาคในอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเช่นนี้เองที่เป็นเหตุผลที่ทำ ให้ผู้คนออกมาประท้วงในประเทศแถบตะวันออกกลาง กรีซ สเปน และลอนดอน ดังโก้กล่าวว่า ขบวนการ "ยึดวอลล์สตรีท" ในครั้งนี้เป็นหนึ่งในการลุกขึ้นมา "กบฏ" ต่อระบบเศรษฐกิจและการเมืองที่มีผู้คนจากอีกหลายประเทศร่วมด้วย
"′1 เปอร์เซ็นต์′ ที่ว่านั้นหมายถึง ผู้มีอันจะกิน (the haves) ซึ่งก็ได้แก่พวกนักการธนาคาร ผู้ที่อยู่ในธุรกิจสินเชื่อบ้านและธุรกิจประกันภัย ขณะที่ ′99 เปอร์เซ็นต์′ หมายถึง พวกคนยากคนจน (the have-nots) ซึ่งเป็นคนที่เหลือ "หรือพูดง่ายๆก็คือ คนจำนวน 1 เปอร์เซ็นต์เป็นเจ้าของเงิน 99 เปอร์เซ็นต์ของเงินทั้งหมด" หนึ่งในสมาชิกขบวนการยึดวอลล์สตรีทกล่าว (จากบทความที่ชื่อ "Occupy Wall Street" ในนิวยอร์กไทมส์)
เจน แม็คอินไทร์ หนึ่งในผู้ประท้วงให้สัมภาษณ์นักข่าวรอยเตอร์ว่า "พวก เรากำลังบอกว่า พอกันที! เราต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่วางอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของพวกธุรกิจและธนาคาร รายใหญ่" เธอกล่าว
เทียร์ซา คอสตีอาโนสผู้ประท้วงอีกรายกล่าว "ฉันต้องการให้ธนาคารใหญ่ๆพวกนี้คืนเงินภาษีที่พวกเขาใช้ไปกับการให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินเหล่านี้ของเรามา"
เนลสัน ดี ชวาตซ์ และอีริค แดชกล่าวไว้ในบทความที่ชื่อ "In Private, Wall St. Bankers Dismiss Protesters as Unsophisticated" ของพวกเขาว่า ในการออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ผู้ประท้วงหลายคนมีทัศนคติว่า วอลล์สตรีทเป็นสัญลักษณ์แห่งความไม่เท่าเทียมทางรายได้ และเป็นสัญลักษณ์ของ "ความอยุติธรรมในทางเศรษฐกิจ" ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขากำลังต่อต้าน ความโกรธเคืองของผู้คนทวีเพิ่มมากขึ้นเมื่อธนาคารรวมทั้งสถาบันการเงินได้ รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ในขณะที่ลูกค้าของธนาคารอย่างพวกเขาต้องถูกยึดบ้านและทรัพย์สิน
ธนาคารขนาดใหญ่มีปัญหาจ่ายเงินก้อนงามให้กับผู้บริหารระดับสูงเมื่อ ออกจากตำแหน่ง โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แบงก์ ออฟ อเมริกา ธนาคารรายใหญ่สุดของสหรัฐได้ออกมาเปิดเผยถึงจำนวนเงินชดเชยทั้งหมด 11 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่จ่ายแก่ผู้บริหารสองคนซึ่งก็คือ แซลลี่ ครอว์เช็คและโจ ไพรซ์ แม้ว่าธนาคารดังกล่าวจะเคยออกมาแถลงว่า "บริษัทจะเริ่มปลดพนักงานจำนวนกว่า 3 หมื่นคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า"
ทั้งนี้ ในวันเสาร์ (15 ต.ค.) ที่ผ่านมา ได้มีการประท้วงของขบวนการ "Occupy ที่ต่างๆ" ในหลายๆเมืองตามประเทศต่างๆทั่วโลก
โดยในเบอร์ลิน คนกว่า 4,000 คนเดินขบวนกลางถนนพร้อมชูป้ายเรียกร้องต่อต้านระบบทุนนิยม
ในกรุงซาราเจโว ประเทศบอสเนีย คนหลายร้อยคนเดินขบวนบนถนนพร้อมแสดงรูป เช กูวารา รวมทั้งถือธงคอมมิวนิสต์ที่มีข้อความเขียนไว้ว่า "ขอเสรีภาพจงมีแด่ประชาชน และทุุนนิยมจงไปตายซะ"
นอกจากนี้ ผู้คนกว่าหลายพันคนในโปรตุเกส ซึ่งไม่พอใจวิธีการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ออกมาเดินประท้วงกลาง ถนนในกรุงลิสบอน รวมถึงการประท้วงที่เกิดขึ้นยังเมืองต่างๆ อาทิ เจนีวา อัมสเตอร์ดัม เอเธนส์ บรัสเซลส์ ซูริค เมลเบิร์น รวมทั้งในเอเชีย อย่างเช่นที่ฮ่องกง โตเกียว กรุงไทเป และกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
โดยในตอนนี้ ได้มีคนจำนวนมากกว่า 7 แสนคนแล้วที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนการประท้วงดังกล่าว (จากการอ้างอิงข้อมูลจากสำนักข่าวอัลจาซีร่า)
แต่ขณะที่การชุมนุมประท้วงยังคงดำเนินต่อไป และกำลังลุกลามไปยังเมืองต่างๆทั่วโลก คำถามที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ "แล้วพวกนักการธนาคารในวอลล์สตรีทเหล่านั้นได้รับสารที่ว่านี้รึเปล่า?"
เนลสัน ดี ชวาตซ์ และอีริค แดช แห่งนิวยอร์กไทมส์เขียนประเด็นดังกล่าวไว้ในบทความที่ชื่อ "In Private, Wall St. Bankers Dismiss Protesters as Unsophisticated" ว่าจากการสัมภาษณ์คนที่ทำงานในวอลล์สตรีทเอง
"หลายคนมองว่าการประท้วงเหล่านั้นเป็นการกระทำของพวกติดยา พวกร๊อคแอนด์โรล" ผู้จัดการกองทุนระยะสั้นรายหนึ่งกล่าว หรือว่า "นี่ไม่ใช่การลุกฮือของชนชั้นกลางแต่อย่างใด แต่มันเป็นการกระทำของพวกชายขอบในสังคม" ดังที่ผู้บริหารธนาคารรายหนึ่งกล่าว
ชวาตซ์และแดชแสดงความเห็นว่า ลึกๆแล้ว เหล่านักการธนาคารที่วอลล์สตรีทได้ไม่ใส่ใจต่อการออกมาประท้วงเหล่านั้น ทั้งนี้เนื่องมาจากทัศนคติที่ว่า กลุ่มผู้ประท้วงเหล่านั้นเป็นพวก "ไร้การศึกษา" หรือ "unsophisitcated"
กำจัด ′จุดอ่อน′ การจำนำข้าว ตัดตอน ′ขบวนการโกง′
ผ่านไปแล้วกว่า 10 วัน สำหรับนโยบายรับจำนำข้าวขาว 15,000 บาท ข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท ที่ความชื้น 15% ของพรรคเพื่อไทย
นโยบาย ที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ทำได้ ไม่มีปัญหา (ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม 2554)
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าจะเกิดการ "โกง" กันอย่างมโหฬาร
ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริงคือโรงสี ข้าราชการทั้งประจำและนักการเมือง
ตรง นี้ ทำให้เกิดคำถามว่า รัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก จะเอาเงินมจากไหน หรือจะกู้ และราคาข้าวที่สูงขึ้นจะเป็นภาระกับผู้บริโภคหรือไม่
นี่คือปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้และมีคำตอบให้ประชาชน
(อ่านต่อ)http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318911054&grpid=&catid=02&subcatid=0202
สถานการณ์น้ำรอบ กทม. (18 ต.ค.54 : 14.00 น.)
http://www.youtube.com/watch?v=U-62cQfRZM4&feature=player_embedded
http://www.youtube.com/watch?v=U-62cQfRZM4&feature=player_embedded
#OWS และความฝัน
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ |
ภาพที่ตัดกันสองภาพนี้ เตือนให้เรารู้ว่า ไม่มีหรือยังไม่มีทางเลือกอื่นในการเมืองไทย
จะ ว่าไป "ทางเลือกอื่น" (alternatives) คือเป้าหมายหลักของการเคลื่อนไหวที่ระบาดไปแพร่หลายตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐกว่า 70 เมือง และข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกกับแปซิฟิกไปสู่เมืองใหญ่ๆ อื่นๆ อีกหลายสิบเมือง ความเคลื่อนไหวนี้รู้จักกันในนาม "ยึดวอลล์สตรีท" (Occupy Wall Street หรือ #ows ในภาษาเน็ต)
(อ่านต่อ)
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318844517&grpid=&catid=02&subcatid=0207
ดูน้ำท่วม ดูงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม 2554
จรรยา ยิ้มประเสริฐแม้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม หรือนักเศรษฐศาสตร์ แต่เมื่อดูแผนงบประมาณรัฐบาลไทย ก็เห็นได้คร่าวๆ ถึงความใส่ใจน้อยมากด้านสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติของรัฐบาลไทย อาจจะเป็นเพราะประเทศไทยไม่มีพรรคการเมืองสีเขียวด้านสิ่งแวดล้อมคอยดัน ประเด็นเรื่องนี้ในรัฐสภาก็เป็นได้
กระนั้นก็ตาม ด้วยภัยธรรมชาติดติดต่อกันมาทุกปี ทั้งภัยน้ำแล้ง หมอกควัน และน้ำท่วม สร้างความเสียหายปีละหลายหมื่นหรือหลายแสนล้านบาท งบประมาณศึกษาวิจัยเพียง 100 ล้านบาท ดูน้อยนิดเหลือเกินกับมูลค่าความเสียหายต่างๆ เหล่านี้
และแม้ว่าไม่มีพรรคเขียวคอยดันแนวนโยบายด้านส่ิงแวดล้อม และธรรมชาติ มันก็จำเป็นที่รัฐบาลพรรคเสรีนิยมเพื่อไทย หรือพรรคอนุรักษ์นิยมประชาธิปัตย์ รวมทั้งกลไกแห่งข้าราชการขุนนางไทย ต้องจัดวางความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมและการทำผังประเทศอย่างยั่งยืน เปิดให้เกษตรกรและประชาชนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวปกป้องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดการสอดประสานรับกับความต้องการของประชาชนอย่างแท้ จริง
หมดเวลาที่ประเทศไทยจะคิดเรื่องการพัฒนาและการป้องกัน ภัยพิบัติด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับซีเมนต์และคอนกรีต แต่ควรเปิดมุมมองและแสวงหามาตรการที่หลากหลาย ที่มุ่งเรื่องการคืนความสมดุลให้กับสภาพภูมินิเวศน์และธรรมชาติ และจัดทำผังบริหารบริหารจัดการทั้งน้ำท่วมนำแล้งอย่างบูรณาการและยั่งยื่น ทั้งประเทศ
และที่สำคัญรัฐบาลไทยควรนำประเด็นเรื่องนี้มาอยู่ในแผน พัฒนาระดับต้นๆ ไม่ใช่งบประมาณท้ายๆ ที่เหลือจากการจัดสรรจากกองทัพและกระทรวงหลักๆ ของประเทศเสียที!
และที่สำคัญรัฐบาลไทยควรนำประเด็นเรื่องนี้มาอยู่ในแผน พัฒนาระดับต้นๆ ไม่ใช่งบประมาณท้ายๆ ที่เหลือจากการจัดสรรจากกองทัพและกระทรวงหลักๆ ของประเทศเสียที!
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เริ่มคิดเรื่อง มาตรการจัดการเรื่อง 'น้ำท่วมและน้ำแล้ง' อย่างบูรณาการและยั่งยื่นจากผลพวงน้ำท่วมปี 2554 จึงดั่งกระหึ่มมาจากทุกทิศทาง!
(อ่านต่อ)http://www.prachatai.com/journal/2011/10/37466
ศาลยกฟ้องคดีฝ่าฝืน พรก.นายดาบตามหาลูก ทนายเผยแพะอีกเพียบโดนซ้อมให้สารภาพ
ศาลยกฟ้องข้อหาละเมิด พรก.ฉุกเฉินฯ นายดาบตำรวจสันติเวช ภูตรี เหตุมีแค่ภาพนิ่งว่าอยู่ในเหตุการณ์ เจ้าตัวระบุ ไม่ติดใจต้องการปรองดอง ทนายแฉห่วงเหยื่อที่ถูกซ้อมบังคับให้สารภาพมีอีกจำนวนมาก วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องคืนความเป็นธรรมเร่งเยียวยา เผยค่าใช้จ่ายสูงในการสู้คดี
18 ต.ค.54 ศาลแขวงพระนครเหนือ นัดอ่านคำพิพากษา ในคดีหมายเลขดำที่ 1296/2553 ซึ่งอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ดาบตำรวจสันติเวช ภูตรี อายุ 59 ปี ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ.2548 โดยศาลได้ขึ้นนั่งบัลลังค์และอ่านคำพิพากษาว่าให้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยได้ให้เหตุผลว่าหลักฐานที่ทางโจทก์ใช้ปรักปรำจำเลยมีเพียงภาพถ่ายจำเลย ว่าอยู่ในสถานที่ชุมนุมเท่านั้น และไม่มีหลักฐานอื่นที่ระบุว่าจำเลยกระทำผิด โดยการอ่านคำพิพากษาดังกล่าวเริ่มเวลา 09.30 น. และใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ประชาไทถามดาบตำรวจสันติเวช หลังจากที่ได้ฟังคำพิพากษาว่า ค่าใช้จ่ายของจำเลยในการเดินทางลงมาสู้คดีจาก จ.หนองคายถึงกรุงเทพครั้งละเท่าไหร่ ดาบตำรวจสันติเวชบอกว่าระยะเวลาปีกว่า มานี้ ตนได้ใช้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับเที่ยวละ 5,000บาทเป็นอย่างต่ำ และตั้งแต่ที่ตนถูกจับกุมตั้งข้อหาดำเนินคดีตนต้องเดินทางลงมากรุงเทพเพื่อ สู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมมากกว่า 7 ครั้งแล้ว
(อ่านต่อ)
ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........
ขุนเขาบอก :
กดขี่ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........
ให้แสนสับสน จนเหงื่อไหลย้อย
หรือตัวข้าน้อย ด้อยการศึกษา
ตั้งแต่เติบใหญ่ เป็นไทยเรื่อยมา
พึ่งเห็นขี้ข้า ออกหน้าสั่งงาน
ใส่สูทสั่งการ ทหารตำรวจ
เหมือนเล่นจำอวด ประกวดประสาน
เฮ้ย ประเทศนี้ มันมีรัฐบาล
ขี้ข้าเผด็จการ สั่งงานได้เยี่ยงไร
ยิ่งยุ่งยิ่งหยอย เหมือนฝอยขัดหม้อ
นายกกำมะลอ มาขอแก้ไข
เรื่องน้ำเรื่องท่า ข้าไม่เป็นรองใคร
พ่อกูยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ได้รางวัล
น้ำหลากมากมาย วอดวายหลายเมือง
ร้อนรุ่มสุ่มเสี่ยง ถึงเมืองสวรรค์
แดนศิวิไล คงอยู่ได้ไม่กี่วัน
กระสอบที่กั้น น้ำดันทลาย
เทวาเทวี กลัวไม่มีที่อยู่
ขี้ทาสขี้ทู่ กลัวที่อยู่เสียหาย
เร่งกู้พระนคร ก่อนที่นอนจะวอดวาย
ปิดเขื่อนกั้นทราย คนรอบกาย “ตายช่างมัน”
เรื่องราวที่เห็น เป็นเยี่ยงนี้ แลพี่น้อง
ขี้ข้าจึงต้อง มาเรียกร้อง กะทันหัน
กลัวน้ำล้นท่อ ท่วมถึงคอ พ่อของมัน
แต่ยิ่งดึงน้ำยิ่งดัน ไม่กี่วันจมบาดาล...........กดขี่ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........
ขุนเขาบอก :
กดขี่ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........
ให้แสนสับสน จนเหงื่อไหลย้อย
หรือตัวข้าน้อย ด้อยการศึกษา
ตั้งแต่เติบใหญ่ เป็นไทยเรื่อยมา
พึ่งเห็นขี้ข้า ออกหน้าสั่งงาน
ใส่สูทสั่งการ ทหารตำรวจ
เหมือนเล่นจำอวด ประกวดประสาน
เฮ้ย ประเทศนี้ มันมีรัฐบาล
ขี้ข้าเผด็จการ สั่งงานได้เยี่ยงไร
ยิ่งยุ่งยิ่งหยอย เหมือนฝอยขัดหม้อ
นายกกำมะลอ มาขอแก้ไข
เรื่องน้ำเรื่องท่า ข้าไม่เป็นรองใคร
พ่อกูยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ได้รางวัล
น้ำหลากมากมาย วอดวายหลายเมือง
ร้อนรุ่มสุ่มเสี่ยง ถึงเมืองสวรรค์
แดนศิวิไล คงอยู่ได้ไม่กี่วัน
กระสอบที่กั้น น้ำดันทลาย
เทวาเทวี กลัวไม่มีที่อยู่
ขี้ทาสขี้ทู่ กลัวที่อยู่เสียหาย
เร่งกู้พระนคร ก่อนที่นอนจะวอดวาย
ปิดเขื่อนกั้นทราย คนรอบกาย “ตายช่างมัน”
เรื่องราวที่เห็น เป็นเยี่ยงนี้ แลพี่น้อง
ขี้ข้าจึงต้อง มาเรียกร้อง กะทันหัน
กลัวน้ำล้นท่อ ท่วมถึงคอ พ่อของมัน
แต่ยิ่งดึงน้ำยิ่งดัน ไม่กี่วันจมบาดาล...........กดขี่ข่มเหงกันมานาน น้ำบานละมึง........
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)