การขึ้นมาของฮิตเลอร์ ในเยอรมันเมื่อ 80 ปีก่อน
ถ้าเราจะเข้าใจการขึ้นมามีอำนาจของฮิตเลอร์
เราจะต้องดูประวัติศาสตร์เยอรมันตั้งแต่ปี 1918
ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 และหนึ่งปีหลังจากการปฏิวัติรัสเซีย
ในช่วงนั้นกรรมาชีพเยอรมันเกือบจะยึดอำนาจได้สำเร็จ
แต่ล้มเหลวเพราะขาดพรรคปฏิวัติที่มีประสบการณ์ ต่อมาในปี 1923
มีความพยายามที่จะปฏิวัติอีกครั้งแต่ถูกพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยหักหลังและ
ปราบปราม
80 ปีก่อนในวันที่ 30 มกราคม 1933 ฮิตเลอร์ ขึ้นมามีอำนาจในเยอรมัน วันนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นเที่ยงคืนแห่งศตวรรษ มันเปิดประตูไปสู่การใช้ความป่าเถื่อนและความกลัว มันนำไปสู่สงครามและการฆาตกรรมในระดับอุตสาหกรรมของมนุษย์เกิน 10 ล้านคน
พวกสื่อกระแสหลักและตำราในโรงเรียนมักเน้นความพิเศษของ อะดอลฟ ฮิตเลอร์ จะมีการพูดถึงบารมีของผู้นำคนนี้และการที่เขาสะกดจิตมวลชนด้วยคำปราศรัยและ สายตาได้ นักเขียนคนอื่นก็จะกล่าวหาประชาชนชาวเยอรมันทุกคนว่าพร้อมใจกันร่วมมือกับ พวกนาซี
อย่างไรก็ตามคำอธิบายง่ายๆ แบบนี้หลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ที่ทำให้เราเข้าใจว่าการขึ้นมามีอำนาจของ ฟาสซิสต์เกิดได้ในทุกที่ และเป็นภัยในปัจจุบันอีกด้วย ทุกวันนี้องค์กรฟาสซิสต์ทั่วยุโรปกำลังพยายามขยายอิทธิพลท่ามกลางวิกฤติ เศรษฐกิจ
นิยายที่ 1 “ฮิตเลอร์ สะกดจิตมวลชน”
คำโกหกและคำป้ายร้ายป้ายสีของพวกนาซีที่เสนอว่าพวกคอมมิวนิสต์ คนต่างชาติและยิวเป็นต้นเหตุของปัญหาทุกอย่าง ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ปี 1920 แต่ในปี 1928 พรรคนาซีได้คะแนนเสียงแค่ 2.6% ในการเลือกตั้ง ซึ่งน้อยกว่าพรรคอื่นๆ อีก 6 พรรค อย่างไรก็ตามสองปีหลังจากนั้นเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก พรรคนาซีกลายเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 2 ในเยอรมัน
เมื่อเราวิเคราะห์การลงคะแนนเสียงให้พรรคนาซี เราจะพบว่าเสียงส่วนใหญ่ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วมาจากชนบทซึ่งเป็นแหล่งที่นา ซีไม่ได้จัดการประชุมหรือการปราศรัยมากนัก มันแสดงให้เห็นว่าคะแนนเสียงที่พรรคนาซีได้เพิ่มขึ้น ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจมาจากชนชั้นระดับกลางในชนบท ที่แสวงหาพรรคสุดขั้วเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง
ส่วนที่แย่ที่สุดของชนชั้นกลางเป็นพวกที่ไม่ร่ำรวยเหมือนนายทุนแต่ขาดความ สมานฉันท์ของชนชั้นกรรมาชีพ คำโกหกของฮิตเลอร์ให้กำลังใจกับพวกนี้
นิยายที่ 2 “คนเยอรมันทุกคนสนับสนุนฮิตเลอร์”
ฮิตเลอร์พยายามหาฐานสนับสนุนจากทั้งซ้ายและขวาชื่อพรรคนาซีย่อมาจาก “พรรคสังคมนิยมกรรมกรแห่งชาติเยอรมัน” คำว่า “แห่งชาติ” และคำว่า “เยอรมัน” ออกแบบเพื่อให้พวกชนชั้นกลางและชนชั้นสูงฝ่ายขวาชื่นชม และฮิตเลอร์ ก็สามารถดึงคะแนนเสียงจากชนชั้นกลางเป็นหลัก ส่วนคำว่า “สังคมนิยม” และ คำว่า “กรรมกร” ถูกใช้เพื่อพยายามดึงการสนับสนุนมาจากชนชั้นกรรมาชีพแต่ปรากฎว่าชนชั้น กรรมาชีพส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนพวกนาซี ฐานเสียงส่วนใหญ่ของพรรคนาซีมาจากพวกอภิสิทธิชนและชนชั้นกลาง ผู้หญิงเยอรมันส่วนใหญ่ก็หันหลังให้พรรคนาซีด้วย มีแค่ 5% ที่สนับสนุนและใน “สหภาพแรงงาน” ของนาซี มีสมาชิกแค่ 170,000 คน ขณะที่ในสหภาพแรงงานของฝ่ายสังคมนิยมมีสมาชิก 4,000,000 คน
นิยายที่ 3 “ฮิตเลอร์ ได้รับการเลือกตั้ง”
ตำรากระแสหลักมักจะอ้างว่า ฮิตเลอร์ ได้รับการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตย แต่ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจพรรคนาซีได้เสียงสูงสุด 37% ซึ่งน้อยกว่าคะแนนเสียงของพรรคสังคมนิยมและพรรคคอมมิวนิสต์รวมกัน
ในปี 1932 ฮิตเลอร์ เรียกร้องให้ประธานาธิบดี ฮินเดนเบอร์ก ของเยอรมัน แต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ฮินเดนเบอร์ก ปฏิเสธ และบอกว่าอย่างมากที่สุดจะแต่งตั้ง ฮิตเลอร์ เป็นหัวหน้าไปรษณีย์ ฮินเดนเบอร์ก ซึ่งมาจากตระกูลขุนนางมองว่า ฮิตเลอร์ เป็นไอ้โง่ชนชั้นต่ำ อย่างไรก็ตามพอถึงต้นปี 1933 ทั้งๆที่พรรคนาซีกำลังอ่อนแอลง ฮินเดนเบอร์ก ตัดสินใจแต่งตั้ง ฮิตเลอร์ เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อยับยั้งการขยายตัวของอิทธิพลสังคมนิยม ก่อนหน้านั้น 3 ปี ฮินเดนเบอร์กออกกฎหมายฉุกเฉินเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจสูงสุดโดยไม่ต้องปรึกษา รัฐสภา
ถ้าเราจะเข้าใจการขึ้นมามีอำนาจของฮิตเลอร์ เราจะต้องดูประวัติศาสตร์เยอรมันตั้งแต่ปี 1918 ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 และหนึ่งปีหลังจากการปฏิวัติรัสเซีย ในช่วงนั้นกรรมาชีพเยอรมันเกือบจะยึดอำนาจได้สำเร็จ แต่ล้มเหลวเพราะขาดพรรคปฏิวัติที่มีประสบการณ์ ต่อมาในปี 1923 มีความพยายามที่จะปฏิวัติอีกครั้งแต่ถูกพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยหักหลังและ ปราบปราม นี่คือสถานการณ์ของเยอรมันก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤตินี้ตั้งคำถามท้าทายกับสังคมเยอรมันอย่างยิ่งคือ จะเดินหน้าสู่สังคมนิยมตามความหวังของกรรมาชีพ หรือจะถอยหลังเข้าสู่ความป่าเถื่อนของนาซี เพื่อปกป้องระบบทุนนิยม เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ความแตกแยกระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับพรรค สังคมนิยมประชาธิปไตยเปิดทางให้เผด็จการของนาซี
(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2013/02/80.html