หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ชำแหละพรบ.ปรองดอง ใครได้-ใครเสีย"

"ชำแหละพรบ.ปรองดอง ใครได้-ใครเสีย"





งานเสวนาหัวข้อ "ชำแหละพรบ.ปรองดอง ใครได้-ใครเสีย" เพื่อนำเสนอต่อสังคมว่า พรบ.ปรองดองฉบับนี้เป็นอย่างไร มีเนื้อหาอย่างไร และพรบ.การปรองดองที่ดีควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับการปรองดองในสังคมไทย

กำหนดการณ์ เริ่มตั้งแต่เวลา 13.00-16.00 น.
วิทยากร
นายศราวุธ ประทุมราช นักสิทธิมนุษยชน
นายปณิธาน พฤกษาเกษมสุข นักศึกษาม.ธรรมศาสตร์ (ลูกของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ต้องขังคดี 112(หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ))
นางสาวจิตรา คชเดช นักเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อความเป็นธรรมและประชาธิปไตย
นายกรชนก แสนประเสริฐ นักวิชาการอิสระ กลุ่มสามัญชน
ดำเนินรายการโดย นายพรชัย ยวนยี เลขาธิการ สนนท.

จัดที่ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา(ตึกหลัง)

หมายเหตุ ภายในงานอยากให้ทุกท่านที่เข้าร่วมเตรียมประเด็นเกี่ยวกับพรบ.ปรองดองร่วมแลกเปลี่ยนได้ โดยจะเน้นไปที่การแลกเปลี่ยนระหว่างวิทยากรกับผู้เข้าร่วมมากกว่า เพือสิทธิเสรีภาพ และเสมอภาคต่อทุกๆท่าน

ละครตลกร้ายเรื่องการนำอาชญากรรัฐมาขึ้นศาล

แดงสังคมนิยม

ละครตลกร้ายเรื่องการนำอาชญากรรัฐมาขึ้นศาล





โดยใจ อึ๊งภากรณ์

 

มี การ “เอดิด” ตัดลบบทบาทชั่วร้ายของทหารออกไป ไม่พูดถึงอาชญากรรมการก่อรัฐประหาร และไม่พูดถึงบทบาทประยุทธ์กับอนุพงษ์ในการเข่นฆ่าเสื้อแดง


แนว ทางของทักษิณและเพื่อไทยในการปรองดอง จริงๆ แล้วเป็นการยอมจำนนบนซากศพวีรชน และสังเวยนักโทษการเมือง เพื่อให้ทักษิณกลับมาและเพื่อให้นักการเมืองพรรคเพื่อไทยดำรงตำแหน่งและกอบ โกยผลประโยชน์ต่อไป และที่ชัดเจนคือฆาตกรสี่คนที่มือเปื้อนเลือดเสื้อแดง คือประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ จะไม่ถูกนำมาขึ้นศาลแต่อย่างใด ตรงนี้เราดูได้จากคำพูดของทักษิณในบทสัมภาษณ์กับ จอม เพชรประดับ ในวันที่ 17 เมษายนปีนี้ที่เขมร ดูได้จากทักษิณโฟนอินในวันที่ 19 พฤษภาคม และดูได้จากร่าง พรบ.ปรองดอง

แต่ ละครตลกร้ายที่กำลังเล่นคู่ขนานกันกับการยอมจำนนนี้ คือการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของวิกฤตหลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา คือมีการ “เอดิด” ตัดลบบทบาทชั่วร้ายของทหารออกไป ไม่พูดถึงอาชญากรรมการก่อรัฐประหาร และไม่พูดถึงบทบาทประยุทธ์กับอนุพงษ์ในการเข่นฆ่าเสื้อแดง นิยายใหม่ที่เข้ามาแทนที่ประวัติศาสตร์จริง คือการเสนอว่าศัตรูหลักของเพื่อไทย เสื้อแดง หรือทักษิณ คือแค่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น โดยเฉพาะอภิสิทธิ์กับสุเทพ อันนี้เราก็เห็นได้จากคำสัมภาษณ์ของทักษิณอีก และการที่เพื่อไทย และ นปช. เลิกวิจารณ์ทหาร ประกอบกับการที่ยิ่งลักษณ์ไปจับมือกับประยุทธ์และไปกราบเปรม เนื้อหาอยู่ที่สิ่งที่ไม่พูด

ในละครตลกร้ายอันนี้ อภิสิทธิ์ กลายเป็นของเล่นของ ทักษิณ เพื่อไทย และ นปช. เพราะประชาธิปัตย์มีอำนาจน้อย ไม่เหมือนทหาร ในอดีตอภิสิทธิ์เป็นนายกหุ่นเชิดของทหารเท่านั้น จึงนำมาแกล้ง เตะ และหยอกล้อได้ เหมือนที่เด็กๆ เล่นกัน และคงไม่เจ็บหรอก คือมีการแกล้งทำเป็นว่าจะมีการสอบสวนบางคดีที่คนตายท่ามกลางการชุมนุม โดยสร้างภาพว่าอาจเกี่ยวกับอภิสิทธ์ แต่การสอบสวนอันนี้ไม่มีวันออกผล เพราะทุกฝ่ายของชนชั้นปกครองคุยกันแล้วว่าทุกคนต้องลอยนวล.... ยกเว้นคนก้าวหน้าที่โดน 112

ถ้าพวกนั้นไม่จัดการให้ตนเองลอยนวล ใครจะไปรู้ ทักษิณอาจโดนนำมาขึ้นศาลคดีตากใบก็ได้ และทหารจะหมดอำนาจลงมากเพราะหมด “สิทธิ์” ที่จะใช้ความรุนแรงในอนาคต

อีกส่วนหนึ่งของละครตลกร้าย คือการที่ทักษิณจัดการให้ทนาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม มาค้นหาข้อมูลเรื่องการนองเลือดที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ เพื่อนำ อภิสิทธิ์ มาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ อันนี้เป็นไพ่ใบสุดท้ายในการสร้างภาพของทักษิณ เพื่อเบี่ยงเบนความไม่พอใจของเสื้อแดงในการปรองดอง เพราะทนาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เป็นคนที่จริงใจในการรื้อข้อมูลทั้งหมด และจริงใจเดินหน้าเพื่อพยายามนำ อภิสิทธ์มือเปื้อนเลือด มาขึ้นศาล เราต้องเข้าใจว่าทนายที่เก่งๆ ต้องเชื่อในสิ่งที่ตนเองทำ ไม่ใช่รับเงินค่าจ้างมาแล้วไม่แคร์ การเป็นทนายเก่งนั้นคือลักษณะของ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม แต่เราต้องเข้าใจอีกว่า ทนายกับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือนักสิทธิมนุษยชนไม่เหมือนกัน ทนายต้องทำทุกอย่างในกรอบ และกรอบที่จำกัดสิ่งที่ทนาย อัมสเตอร์ดัม ทำได้ คือการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะไม่ยกมือรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศในไทย ซึ่งแปลว่า ทนาย อัมสเตอร์ดัม จะต้องเล่น อภิสิทธิ์ คนเดียวนอกประเทศ ในฐานะที่ อภิสิทธิ์ มีสัญชาติอังกฤษกับสัญชาติไทย (อังกฤษยอมรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ) อันนี้อำนวยความสะดวกในการ “ลืม” ทหารของทักษิณ กับ เพื่อไทย เป็นอย่างมาก

ทั้งๆ ที่ ทนาย อัมสเตอร์ดัม จะพยายามอย่างถึงที่สุด ผมเชื่อว่าจะไม่ประสบความสำเร็จกับศาลอาญาระหว่างประเทศ เขาเองก็เตือนเราไม่ให้หวังอะไรมากไป และเมื่อประสบความล้มเหลวในอนาคต ทักษิณ เพื่อไทย และ นปช. ก็จะอ้างว่า “เราพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ” ทั้งนี้เพื่อปกปิดการหักหลังวีรชนที่เกิดขึ้นจริง

นอกจากนี้แกนนำ นปช. ก็ออกมาพูด “ภาพใหญ่” เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อให้เราลืมรายละเอียดว่า นปช. ไม่ยอมรณรงค์ให้แก้หรือยกเลิก 112 เลย และไม่สนับสนุนข้อเสนอของนิติราษฎร์อย่างเป็นรูปธรรมทางการ

มีอีกละครหนึ่ง เป็นละครเล็กนอกระบบข้างถนน ละครนี้เสนอว่าคนระดับเบื้องบนเป็นคนสั่งทุกอย่าง สั่งรัฐประหาร และสั่งฆ่า ซึ่งไม่จริง เราเชื่อได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดหูเปิดตาถึงข้อมูลจริงๆ แต่คนที่เสนอแนวแบบนี้มักพาเราไปในทางเดียวกับเพื่อไทย ทักษิณ และ นปช. ทั้งๆ ที่อาจคิดต่างกัน เขาพาเราไปหลงเชื่อว่าทหารไม่ได้สั่งการเอง และหลงเชื่อว่าทหารไม่เคยมีอำนาจเอง แล้วเราก็ต้องยกโทษให้ทหาร เขาพาเราไปหลงเชื่ออีกว่า “เราทำอะไรไม่ได้” เพราะเราเผชิญหน้ากับอำนาจอันยิ่งใหญ่ ซึ่งก็เป็นการเสนอให้หยุดสู้เหมือนกัน ความเชื่อของแนวนี้เป็นความเชื่อที่ทหารใช้หลอกเราด้วย เพื่อให้อำนาจทหารดูยิ่งใหญ่เพราะมีผู้ใหญ่ถือหาง แต่อำนาจทหารมาจากการใช้อาวุธ

สรุปแล้วเสื้อแดงต้องพลีชีพ เสื้อแดงต้องติดคุก เสื้อแดงต้องโดน 112 และล้วนแต่กลับบ้านไม่ได้ แต่ทหาร พันธมิตรฯ และประชาธิปัตย์จะไม่ต้องโดนอะไรเลย และทักษิณจะได้กลับบ้าน พวกเราจะยอมรับสถานการณ์แบบนี้หรือ?

การสร้างความยุติธรรม หรือเสรีภาพประชาธิปไตย ต้องสร้างโดยพลเมืองภายในสังคม บทเรียนมีมากมายทั่วโลก สังคมที่เริ่มสร้างความยุติธรรมหลังเหตุการณ์นองเลือดของเผด็จการ อย่างเกาหลีใต้ ตุรกี อาเจนทีนา หรืออัฟริกาใต้ อาศัยการเคลื่อนไหวต่อสู้ของมวลชนเป็นหลัก ส่วนในสเปน หรือชิลี การ “รอ” “ใจเย็น” “ยอมจำนน” ไม่ได้นำไปสู่การเปิดเผยความจริงและการประนามผู้กระทำความผิด 

ในเมื่อชนชั้นปกครองไทย ไม่ว่าจะเป็นซีกทหาร ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย หรือทักษิณ จงใจไม่กำจัดผลพวงของรัฐประหาร และจงใจให้คนที่ฆ่าประชาชนลอยนวลอีกครั้ง เป็นครั้งที่สี่ ความหวังอยู่ที่กระแสของคณะนิติราฏร์ แต่เขาทำเองสองสามคนไม่ได้ มวลชนที่รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมต้องเคลื่อนไหวร่วมกับเขา

แต่ สิ่งหนึ่งที่พวกเราต้องเข้าใจอย่างชัดเจนคือ ฝ่ายอำมาตย์ ฝ่ายทหาร ฝ่ายเพื่อไทย ฝ่ายนปช. มีการจัดตั้ง มีโครงสร้างองค์กรเพื่อรวมพรรคพวกในการทำอะไร หรือในการเคลื่อนไหว มีการประสานงานกันอย่างหนักแน่น มีการเดินร่วมกัน ดังนั้นถ้าแดงก้าวหน้าหรือแดงอิสระจะแข่งกับเขาได้ เราก็ต้องจัดตั้งในลักษณะที่ประสานงานกันเป็นองค์กรเดียวเช่นกัน การอยู่อย่างปัจเจกในกลุ่มเล็กๆ เป็นการเอาใจตัวเอง อาจสร้างความพึงพอใจกับตนเองได้ แต่เปลี่ยนสังคมไม่ได้ ถ้าเราไม่จัดตั้งเราก็แค่เหมือนน้ำที่สาดใส่ก้อนหินของฝ่ายตรงข้าม มันไหลลงดินโดยไม่มีผลอะไร

(ที่มา)