ระบบทาสกับการเหยียดสีผิว
ระบบทาสเป็นระบบที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับความ
เท่าเทียมของมนุษย์
นักปรัชญา “ยุคแสงสว่าง” อาจนั่งดื่มกาแฟและพูดคุยเรื่องเสรีภาพ แต่กาแฟ
และน้ำตาลที่เขาดื่ม หรือบุหรี่ที่เขาสูบ
ล้วนแต่มาจากแรงงานบังคับของทาสทั้งสิ้น
โดย C. H.
ก่อนศตวรรษที่ 18 ทาสส่วนใหญ่ในโลกไม่ใช่คนผิวดำ และคำว่า slave (ทาส) ในภาษาอังกฤษมาจากคำว่าเชื้อชาติ “สลาฟ” ใน
ยุโรปกลาง
ในขั้นตอนแรกของการบุกเบิกทวีปอเมริกามีการใช้แรงงานเกษตรพันธสัญญาจากยุโรป
ที่ต้องทำงานฟรีหลายปี แต่ระบบนี้สร้างแรงงานน้อยเกินไป
จึงมีการหันมาใช้แรงงานทาสผิวดำที่ถูกจับในทวีปอัฟริกาและนำไปขายโดยหัวหน้า
เผ่าพื้นเมืองเอง
ระบบทาสในทวีปอเมริกาและเกาะคาริเบี้ยน เชื่อมโยงและเสริมเศรษฐกิจทุนนิยมที่กำลังเติบโตในอังกฤษและที่อื่นของยุโรปในลักษณะ “สามเหลี่ยมของการค้าขาย” คือ ผลผลิตจากอังกฤษ เช่นเครื่องมือเหล็ก อาวุธ และผ้า ถูกแลกกับทาสที่อัฟริกา ทาสเหล่านั้นจะถูกขนส่งไปขายในอเมริกาและคาริเบี้ยน และเงินจากการขายทาสจะนำไปซื้อน้ำตาล ยาสูบ และฝ้าย เพื่อขายในยุโรป
ระบบทาสเป็นระบบที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับความเท่าเทียมของมนุษย์ นักปรัชญา “ยุคแสงสว่าง” อาจนั่งดื่มกาแฟและพูดคุยเรื่องเสรีภาพ แต่กาแฟ และน้ำตาลที่เขาดื่ม หรือบุหรี่ที่เขาสูบ ล้วนแต่มาจากแรงงานบังคับของทาสทั้งสิ้น
ข้อแก้ตัวที่นักคิดและนักธุรกิจใช้ เพื่อสร้างความชอบธรรมกับระบบทาสมีสองข้อคือ
ข้อแก้ตัวอันแรก คือการมองว่าทาสเป็นแค่ทรัพย์สมบัติปัจเจก ดังนั้นคนที่สนับสนุนสิทธิในทรัพย์สมบัติ อย่าง จอห์น ลอค ซึ่งถือหุ้นในบริษัที่ได้ประโยชน์จากการค้าทาส จะมองว่าระบบทาส “ไม่ผิดศีลธรรม”
ข้อแก้ตัวที่สอง คือการเสนอว่าคนผิวดำ “ไม่ใช่มนุษย์” ดังนั้นอุดมการณ์ความเท่าเทียมของมนุษย์ หรือความคิดศาสนาคริสต์ “ไม่ขัดแย้ง” กับระบบทาส นี่คือรากฐานกำเนิดของความคิดที่เหยียดสีผิวหรือเกลียดชังคนผิวคล้ำ และความคิดแบบนี้มีความสำคัญในการสร้างความแตกแยกระหว่างคนธรรมดาผิวขาวกับ คนผิวดำ เพื่อไม่ให้คนชั้นล่างสามัคคีและร่วมต่อสู้กับคนชั้นบน เพราะในอดีตมนุษย์ไม่เคยให้ความสำคัญกับสีผิว ในอียิปต์หรือโรมคนสีผิวแตกต่างกันมีทั่วไปในทุกระดับของสังคม
ระบบทาสทำลายเศรษฐกิจอัฟริกา เพราะการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ทำลายอุตสาหกรรมพื้นเมือง และการจับทาสทำให้ประชากรผู้ผลิตในอัฟริกาลดลงด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เปิดทางให้ตะวันตกเข้ามายึดครองอัฟริกาเป็นอาณานิคมได้ง่าย ขึ้น
ระบบทาสในทวีปอเมริกาและเกาะคาริเบี้ยน เชื่อมโยงและเสริมเศรษฐกิจทุนนิยมที่กำลังเติบโตในอังกฤษและที่อื่นของยุโรปในลักษณะ “สามเหลี่ยมของการค้าขาย” คือ ผลผลิตจากอังกฤษ เช่นเครื่องมือเหล็ก อาวุธ และผ้า ถูกแลกกับทาสที่อัฟริกา ทาสเหล่านั้นจะถูกขนส่งไปขายในอเมริกาและคาริเบี้ยน และเงินจากการขายทาสจะนำไปซื้อน้ำตาล ยาสูบ และฝ้าย เพื่อขายในยุโรป
ระบบทาสเป็นระบบที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับความเท่าเทียมของมนุษย์ นักปรัชญา “ยุคแสงสว่าง” อาจนั่งดื่มกาแฟและพูดคุยเรื่องเสรีภาพ แต่กาแฟ และน้ำตาลที่เขาดื่ม หรือบุหรี่ที่เขาสูบ ล้วนแต่มาจากแรงงานบังคับของทาสทั้งสิ้น
ข้อแก้ตัวที่นักคิดและนักธุรกิจใช้ เพื่อสร้างความชอบธรรมกับระบบทาสมีสองข้อคือ
ข้อแก้ตัวอันแรก คือการมองว่าทาสเป็นแค่ทรัพย์สมบัติปัจเจก ดังนั้นคนที่สนับสนุนสิทธิในทรัพย์สมบัติ อย่าง จอห์น ลอค ซึ่งถือหุ้นในบริษัที่ได้ประโยชน์จากการค้าทาส จะมองว่าระบบทาส “ไม่ผิดศีลธรรม”
ข้อแก้ตัวที่สอง คือการเสนอว่าคนผิวดำ “ไม่ใช่มนุษย์” ดังนั้นอุดมการณ์ความเท่าเทียมของมนุษย์ หรือความคิดศาสนาคริสต์ “ไม่ขัดแย้ง” กับระบบทาส นี่คือรากฐานกำเนิดของความคิดที่เหยียดสีผิวหรือเกลียดชังคนผิวคล้ำ และความคิดแบบนี้มีความสำคัญในการสร้างความแตกแยกระหว่างคนธรรมดาผิวขาวกับ คนผิวดำ เพื่อไม่ให้คนชั้นล่างสามัคคีและร่วมต่อสู้กับคนชั้นบน เพราะในอดีตมนุษย์ไม่เคยให้ความสำคัญกับสีผิว ในอียิปต์หรือโรมคนสีผิวแตกต่างกันมีทั่วไปในทุกระดับของสังคม
ระบบทาสทำลายเศรษฐกิจอัฟริกา เพราะการนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมจากอังกฤษ ทำลายอุตสาหกรรมพื้นเมือง และการจับทาสทำให้ประชากรผู้ผลิตในอัฟริกาลดลงด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้เปิดทางให้ตะวันตกเข้ามายึดครองอัฟริกาเป็นอาณานิคมได้ง่าย ขึ้น
(คลิกฟัง)