 | ตลาดหุ้นทั่วโลกประสบกับภาวะเลวร้ายที่สุดใน ไตรมาส 3 นับตั้งแต่หายนะทางการเงินเมื่อปี 2008 เป็นต้นมา อันเนื่องมาจากวิกฤตหนี้ในยุโรป ประกอบกับการที่สหรัฐฯถูกสถาบันจัดอันดับทางการเงินหลายแห่งปรับอันดับความ น่าเขื่อถือลง โดยเมื่อวานนี้ (30 ก.ย.) ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของไตรมาส 3 ราคาหุ้นในตลาดนิวยอร์กดำดิ่งลงกว่าร้อยละ 2 เพราะมีสัญญาณเศรษฐกิจในจีน ยุโรป สหรัฐ ชะลอการเติบโตลง ประกอบกับวิกฤติหนี้สินในกรีซยังไม่คลี่คลาย ด้านดัชนีเอสแอนด์พี 500 มีผลประกอบการลดลงถึง 14% ในไตรมาสที่ผ่านมา เฉพาะเดือนกันายนเพียงเดือนเดียวลดลงถึง 7% ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปรับตัวลง 240.60 จุด หรือ 2.16 % ปิดที่ 10,913.38 จุด เช่นเดียวกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 28.98 จุด หรือ 2.50% ลงมาปิดที่ 1,131.42 จุด และดัชนีแนสแดค อ่อนตัวลง 65.36 จุด หรือ 2.63% ปิดที่ 2,415.40 จุด ทั้งนี้ในจำนวนหุ้นบริษัทชั้นดี 30 แห่งที่นำมาคำนวณเป็นดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ มีเพียงหุ้นบริษัทเมิร์ค ผู้ผลิตยารายใหญ่ ที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนที่เหลือ 29 บริษัทลดลง โดยเฉพาะหุ้นบริษัทอีสต์แมน โกดัก ยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตฟิล์มถ่ายภาพมีราคาอ่อนตัวลงมาปิดต่ำกว่าหุ้นละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นครั้งแรก จากที่เคยพุ่งขึ้นไปสูงสุดกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 1996 นายหน้าค้าหลักทรัพย์กล่าวว่า สาเหตุมาจากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอย หลังจากมีข้อมูลว่ากิจกรรมการผลิตในจีนหดตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน และข้อมูลภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่น่าผิดหวัง ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เผยตัวเลขอำนาจการบริโภคของประชาชนอ่อนแอลง เนื่องจากมีรายได้ลดลงร้อยละ 0.1 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นครั้งแรกในเกือบ 2 ปี ขณะที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น นักวิเคราะห์ชี้ว่า แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นผู้บริโภคสามารถนำเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้รวด เร็วขึ้น ข่าวร้ายของเศรษฐกิจโลกมีเพิ่มขึ้นจากข่าวเงินเฟ้อในยุโรปพุ่งขึ้นเป็น ร้อยละ 3.0 ในเดือนที่แล้ว สร้างความประหลาดใจแก่นักวิเคราะห์และส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วยุโรปดำดิ่ง |
  | ผู้นำระดับสูงของจีนออกปรากฏตัวเนื่องในวัน ชาติ ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน กลางกรุงปักกิ่ง โดยนายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ให้คำมั่นว่าจะทำให้จีนเป็นประชาธิปไตย และให้สิทธิแก่ประชาชนมากขึ้น ประธานาธิบดีหู จิ่นเทา นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า และผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ เดินทางมาที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และคารวะอนุสาวรีย์ผู้สละชีพเพื่อการปฏิวัติ เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ 62 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายกรัฐมนตรีจีน แถลงเมื่อคืนวานนี้ว่า จะจัดการกับปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคม เช่น เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น การขยายตัวของช่องว่างรายได้ การว่างงาน ความมั่นคงด้านอาหาร การคอร์รัปชั่น การทำลายสิ่งแวดล้อม และความไม่ยุติธรรมในสังคม รัฐบาลจีนจะพยายามสร้างหลักประกันและระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ รวมถึงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่หวั่นวิตกและกระทบต่อผลประโยชน์โดยตรง ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ยืนยันว่า จีนจะยึดมั่นในอุดมการณ์สังคมนิยมในรูปแบบของจีน ซึ่งหมายถึงการปกครองด้วยพรรคการเมืองเดียว และปฏิเสธการแบ่งแยกอำนาจที่เห็นได้ทั่วไปในรัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลก นายเวิน ย้ำคำมั่นจะพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในจีน แม้เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลได้ใช้ความรุนแรงปราบปรามการก่อความไม่สงบ นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า รัฐสภาของจีนกำลังพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาที่จะอนุญาตให้ตำรวจควบคุม ตัวผู้ต้องสงสัยเป็นเวลานาน 6 เดือน โดยไม่ต้องตั้งข้อหาหรือแจ้งไปยังครอบครัวของผู้ที่ถูกจับให้ได้รับทราบ การพิจารณาแก้ไขกฎหมายดังกล่าวถูกกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนวิพากษ์วิจารณ์ อย่างรุนแรงว่า เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดแจ้ง |
 | แม้ว่าประชากรต่ำกว่า 10% ของเดนมาร์ก จะประสบกับภาวะโรคอ้วน ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งทวีปยุโรปก็ตาม แต่ทางการก็เตรียมจัดการกับปัญหาดังกล่าวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยการเก็บภาษีประเภทใหม่ ซึ่งก็คือ"ภาษีไขมัน" การเก็บภาษีดังกล่าว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค.นี้ ชาวเดนมาร์กจะต้องซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆที่มีส่วนประกอบของ"ไขมันอิ่มตัว"ใน ราคาสูงขึ้น ซึ่งนักวิจัยที่สถาบันอาหารและเศรษฐศาสตร์ทรัพยากรของเดนมาร์กระบุว่า มันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนกำหนดของประชากรถึง 4% ผลิตภัณฑ์เนย น้ำมันปรุงอาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมที่มีไขมันสูง จะมีการปรับราคาขึ้นสูงสุด ขณะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไขมันอิ่มตัวมากกว่า 2.3% จะถูกคิดภาษีในอัตรา 16 โครเนอร์ (ราว 87 บาท) ต่อกิโลกรัมของไขมันอิ่มตัว นอกจากนั้น ผู้บริโภคอาจยังต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นราว 30% หากต้องซื้อเนย 1 ก้อน หรือเพิ่มขึ้น 8% ต่อมันฝรั่งทอด 1 ถุง ขณะที่น้ำมันโอลีฟ ออยล์ขนาด 1 ลิตร จะเพิ่มขึ้นอีก 7.1% ผลของภาษีตัวนี้ได้รับการจับตามองจากอังกฤษอย่างใกล้ชิด ขณะที่ชาวอังกฤษกว่าร้อยละ 20 มีภาวะโรคอ้วน ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยส่งเสริมสุขภาพของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และหากว่ามีการนำภาษีชนิดนี้ไปใช้ในอังกฤษจริง โดยนับไปหักลดราคาผักและผลไม้ อาจทำให้ประชากรกว่า 3,200 คน รอดพ้นจากภาวะโรคอ้วนได้ |
