หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

การศึกษาภายใต้ทุนนิยม

การศึกษาภายใต้ทุนนิยม



 
การศึกษาภายใต้ทุนนิยม จะปฏิรูปอย่างไร
https://www.youtube.com/watch?v=gie4hW2d5ug 

โดย อ.ใจ อึ๊งภากรณ์

ระบบการศึกษาสาธารณะสำหรับประชาชน เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกหลังกำเนิดของทุนนิยม เพราะก่อนหน้านี้ ภายใต้ระบบฟิวเดิล ระบบศักดินา หรือระบบทาส คนส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรด้วยเทคโนโลจีพื้นฐาน ดังนั้นคนที่อ่านออกเขียนได้ และคนที่ศึกษาวิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือวรรณคดี มีแค่พวกพระ หรือครูศาสนา หรือในกรณีจีน จะเป็นพวกข้าราชการที่ต้องผ่านการสอบคัดเลือกไม่กี่คนเท่านั้น

เมื่อระบบทุนนิยมเข้ามา มีการพัฒนาเครื่องจักรและเทคโนโลจีอย่างรวดเร็ว คนส่วนใหญ่ถูกดึงหรือผลักเข้ามาในระบบการผลิตสมัยใหม่และหลุดจากชีวิตชนบท แม้แต่ในชนบทก็เริ่มมีการนำระบบเกษตรทุนนิยมเข้ามาแทนที่การผลิตของเกษตรกรรายย่อย ในระยะแรกๆ ของกำเนิดทุนนิยม หรือที่เขาเรียกกันว่ายุค “การปฏิวัติอุตสาหกรรม” ชนชั้นปกครองยังไม่ต้องการแรงงานฝีมือที่อ่านออกเขียนได้ แค่ต้องการ “ผู้ใช้แรง” ดังนั้นไม่มีระบบโรงเรียนสำหรับเด็กส่วนใหญ่ และผู้ใหญ่ทั้งชายหญิง และเด็กเล็กจนโต ก็ต้องไปทำงานกับเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ร้านค้า หรือในเหมืองแร่ แรงงานเด็กแบบนี้มีประโยชน์สำหรับนายทุนที่สามารถจ่ายค่าจ้างน้อยๆ และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวกรรมาชีพ เพราะค่าแรงของผู้ใหญ่ไม่พอเลี้ยงครอบครัว จริงๆ แล้วมันก็ไม่ต่างจากสังคมเกษตรก่อนทุนนิยมด้วย เพราะทุกคนในครอบครัวต้องช่วยทำงานในยุคนั้น เพียงแต่ว่าระบบอุตสาหกรรมมันโหดร้าย สกปรก อันตราย และเต็มไปด้วยวินัยบังคับ ที่มาจากหัวหน้างานหน้าเลือด สภาพชีวิตของคนงานทุกอายุก็แย่ เพราะขาดอาหารที่มีคุณภาพ และขาดแสงแดดและอากาศบริสุทธิ์ ในประเทศยากจนสมัยนี้ เรายังพบแรงงานเด็กและสภาพการทำงานที่ย่ำแย่สุดจะทนได้ แต่มันเป็นกรณีส่วนน้อยถ้าดูภาพรวมของโลก

เมื่อทุนนิยมพัฒนาขึ้น และมีเทคโนโลจีที่สลับซับซ้อนมากขึ้น นายทุนเริ่มเห็นประโยชน์ของคนงานที่มีทักษะ การศึกษา และฝีมือมากขึ้น ยิ่งกว่านี้แรงงานที่มีประสิทธิภาพสูงในการสร้างกำไรให้นายจ้าง ย่อมเป็นแรงงานที่มีสุขภาพดีแข็งแรง ดังนั้นมีการนำระบบการศึกษาสำหรับเด็กทุกคนมาบังคับใช้ผ่านนโยบายและค่าใช้จ่ายของรัฐ แต่เนื่องจากทุนนิยมเป็นสังคมชนชั้น การศึกษาที่รัฐจัดให้คนธรรมดา ย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการศึกษาในโรงเรียนเอกชนหรือมหาวิทยาลัยของอภิสิทธิ์ชนที่จัดไว้สำหรับลูกหลานคนรวยและผู้มีอำนาจ

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะรัฐต้องเก็บภาษีจากนายทุน บริษัทต่างๆ และประชาชนทั่วไปสำหรับระบบการศึกษา และแน่นอนนายทุนใหญ่และคนรวยไม่ต้องการจ่ายภาษีสูงๆ เพื่อให้มีการศึกษาระดับเลิศๆ ให้กับเด็กทั่วไปที่พอโตขึ้นแล้วจะมาเป็นคนงาน ส่วนลูกหลานคนมีอำนาจหรือคนรวยเป็นพวกที่จะเตรียมตัวเข้าสู่ชนชั้นปกครอง เขาจึงต้องได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด 

ในระยะแรกเส้นแบ่งระหว่างโรงเรียนหรือสถานที่ศึกษาที่เก็บค่าเรียนสูง กับสถานที่ศึกษาของรัฐที่ให้เรียนฟรี มันเพียงพอที่จะแยกพวกเด็กส่วนใหญ่ที่จะเป็นผู้ถูกปกครองออกจากเด็กที่จะเป็นชนชั้นปกครองในอนาคต แต่พอทุนนิยมพัฒนาถึงระดับสูงขึ้น นายทุนจำเป็นที่จะต้องมีลูกจ้างประเภทที่เป็นช่างฝีมือที่เข้าใจ ใช้ และออกแบบเทคโนโลจีได้ ดังนั้นในโรงเรียนรัฐจึงมีการสอบคัดเลือกเด็กบางส่วน ที่จะเป็นแรงงานฝีมือระดับกลาง และผู้ที่ผ่านการสอบนี้จะมีสิทธิพิเศษเข้าโรงเรียนรัฐที่มีคุณภาพมากขึ้น บางคนอาจได้รับทุนพิเศษเพื่อเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีด้วย   

Wake Up Thailand

Wake Up Thailand 



 


Wake Up Thailand ประจำวันที่ 21 มกราคม 2557 ตอนที่ 2
ภูมิใจไทยชูนโยบายรัฐสวัสดิการ เดินหน้าเลือกตั้ง 
http://shows.voicetv.co.th/wakeup-thailand/94701.html 
  
Wake Up Thailand ประจำวันที่ 21 มกราคม 2557 ตอนที่ 1
หมอก็มีหนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากับคนอื่น ตื่นเต้นทำไม 
http://www.youtube.com/watch?v=0bk3yUshJ9w 

Wake Up Thailand ประจำวันที่ 20 มกราคม 2557 ตอนที่ 2
สมชัยไปจุดเทียนได้แล้ว 
http://www.dailymotion.com/video/x19z3an_สมช-ยไปจ-ดเท-ยนได-แล-ว 

Wake Up Thailand ประจำวันที่ 20 มกราคม 2557 ตอนที่ 1
จับได้แล้วมวลมหาประชาชน =คนกทม.18%
http://www.dailymotion.com/video/x19z2xv 

Divas Cafe

Divas Cafe  
 

 
 
Divas Cafe ประจำวันที่ 21 มกราคม 2557
บทเรียนการปฏิวัติรัสเซีย กับ นิติภูมิ นวรัตน์
http://www.youtube.com/watch?v=BQis-q1KDqY 

Divas Cafe ประจำวันที่ 20 มกราคม 2557
ถกจริยธรรมกกต.กับ คุณสดศรี สัตยธรรม
http://www.dailymotion.com/video/x19z654_ถกจร-ยธรรมกกต-ก-บ-ค-ณสดศร-ส- 

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลือกตั้ง57 ทางออกประเทศไทย 21 1 2014

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลือกตั้ง57 ทางออกประเทศไทย 21 1 2014





(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=xTREdXBCHAY&desktop_uri=%2Fwatch%3Fv%3DxTREdXBCHAY&app=desktop

สมปป. แถลงจุดยืนปกป้องประชาธิปไตย ชวนไปเลือกตั้ง

สมปป. แถลงจุดยืนปกป้องประชาธิปไตย ชวนไปเลือกตั้ง

 
สมปป. แถลงจุดยืนปกป้องประชาธิปไตย ชวนไปเลือกตั้ง
สมาพันธ์มหิดลปกป้องประชาธิปไตย (สม ปป.) ชวนพี่น้อง นักศึกษาไปเลือกตั้งเพื่อปกป้องและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ชี้ข้อเรียกร้องของกปปส.-กปท.ยากที่จะเป็นไปได้  
 
 
สมาพันธ์มหิดลปกป้องประชาธิปไตยหรือ สมปป. ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1ดังนี้

เรื่องที่ ๑ การชุมนุมล้มระบอบประชาธิปไตย
การชุมนุมของคณะกรรมการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่ สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.และการชุมนุมของกองทัพประชาชนโคนระบอบทักษิณ หรือ กปท. ถือเป็นการชุมนุมที่สร้างความประหลาดใจเป็นประวัติการณ์ของประเทศไทย เพราะนอกจากเรื่องจุดประสงค์ที่ต้องการในสิ่งยากที่จะเป็นไปได้ เช่น เรียกร้องนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลาออกจากการรักษาการ เรียกร้องนายกพระราชทาน ให้ปฏิรูปก่อนค่อยมีการเลือกตั้ง การจัดตั้งสภาประชาชน การตั้งตนเป็นรัฐาธิปัตย์ เป็นต้น ดังนี้แล้ว ยังมีวิธีการในลักษณะกระทำนอกกติการะบอบประชาธิปไตยที่ทำให้ได้มาซึ่งจุด ประสงค์นั้นยังพิเศษกว่าการชุมนุมที่อื่นๆด้วย อาทิ การชุมนุมปิดกรุงเทพมหานคร การบุกยึดกระทรวงต่างๆและสถานที่ราชการ ตัดน้ำตัดไฟทำให้เครื่องพิมพ์บัตรเลือกตั้งที่โรงพิมพ์ทำงานไม่ได้ ล้อมสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งบางจังหวัดทำให้ผู้ที่จะมาสมัครสมาชิก ผู้แทนราษฎรไม่สามารถมาลงสมัครได้ ปิดล้อมธนาคาร ขู่บุกสถานฑูตต่างประเทศ การบอยคอตของพรรคนอมินี เป็นต้น


ที่ทำให้แปลกใจยิ่งกว่าเดิม คือ มีอธิการบดีหลายมหาวิทยาลัย ดารานักร้องนักแสดงหลายสังกัด แพทย์พยาบาลหลายแห่ง กกต.บางท่าน นักวิชาการหลายแขนง ประชาชนผู้มีการศึกษาและมีอันจะกิน มาเข้าร่วมชุมนุมกันอย่างล้นหลามเกิดเป็น กระแสธงสามสีฟีเวอร์ เพราะม็อบนี้ใช้สัญลักษณ์ธงชาติไทยสามสีที่ทำให้ผู้เข้าร่วมเกิดความรู้สึก ว่า "ตนรักชาติจึงออกมากู้ชาติ" จนอาจเรียกได้ว่า "คลั่งชาติ" ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีนกหวีดที่ถือว่าเป็นพร็อพหลักในการชุมนุมครั้งนี้ด้วย และยังถูกปลูกฝังชนิดฝังหัวจากแกนนำมากหน้าหลายตา จากคำว่า "มวลมหาประชาชน" จนตอนนี้กลายเป็นว่าผู้ร่วมชุมนุมเกิดความรู้สึกกับตัวเองว่า "ตนคือตัวแทนของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ, ตนคือชนชั้นสูง, ใครที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทาง กปปส. กปท. ถือเป็นขี้ข้าทักษิณทั้งหมด, มีเพียงท่านกำนันสุเทพและกปปส.เท่านั้นที่จะนำพาประเทศไทยแห่งนี้รอดพ้น วิกฤติระบอบทักษิณครั้งนี้ไปได้ คอร์รัปชั่นจะหมดไป นักการเมืองโกงจะไม่มีอีกแล้ว ประชาธิปไตยจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อำนาจจะถูกกระจายสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง ชาวบ้านจะลืมตาอ้าปากได้ เศรษฐกิจไทยจะรุ่งเรืองเฟื่องฟู เทียบเท่านานาอารยประเทศ สังคมไทยจะร่มเย็นเป็นสุข" พวกเค้าเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากการปฏิรูปที่นำโดยท่านกำนันสุเทพ กปปส. กปท.และแท็คทีมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่เคยชนะในการเลือกตั้งเลยกว่า 20 ปี

ด่าน สุดท้าย ขุนองค์กร อิสระ

ด่าน สุดท้าย ขุนองค์กร อิสระ




นส นรม รมต หญิง ยิ่งลักษณ์ เป็นคน แปลก
เธอ หน้าตาดี ผิดพี่ ผิดน้อง

เธอ มีราศรี อยู่ที่ขา
เธอ บำเพ็ญ ขันติบารมี เยี่ยง จันทกุมาร

เธอ ทำแต่งาน ไม่พูดมาก เหมือน นรม ชายๆๆ ทั้งหลาย
เธอ ไม่ได้เป็นคนกรุงเทพ แบบ เราๆ ท่านๆ
เธอ ไม่ได้เรียน รร ผู้ดี อย่างเราๆ ท่านๆ ใน กทม

เธอ อุ้แต่คำเมือง พูดคำไทย ได้น้อย ร เป็น ล
เธอ อู้คำฝรั่ง ไม่ดี เท่า นร นอก ที่ไปชุบตัวแต่เด็ก
เธอ น่าจะเป็น ไพร แต่เล่นบท ผู้ดี

สงสัย ล้มเธอ ยาก
ขุนทหาร คงคิดหนัก
ขุนศาล ก็กลัวๆ กล้าๆ
ขุนองค์กร อิสระ เป็นด่าน สุดท้าย ครับ (good luck Somchai na Four Seasons)


cK@YingluckGoodLuck....

Charnvit Ks

ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เฉลิมคุม ศรส. สุเทพไม่กลัว-ถ้าสลายสวดมนต์ลูกเดียว

ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เฉลิมคุม ศรส. สุเทพไม่กลัว-ถ้าสลายสวดมนต์ลูกเดียว


 
นายกฯ ระบุ พรก.ฉุกเฉิน เน้นใช้กำลัง ตร.เป็นหลัก ปฏิบัติตามหลักสากล ไม่ซ้ำรอย ปี 53 


ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน 60 วันเริ่ม 22 ม.ค. เฉลิม อยู่บำรุง จะดูแลศูนย์รักษาความสงบ ขณะที่สุเทพ เทือกสุบรรณบอกเลยว่าไม่กลัว จะยึดแนวทางสันติ-อหิงสา ถ้ามาสลาย ผู้ชุมนุมจะสวนมนต์


21 ม.ค. 2557 - เมื่อเวลา 19.05 น. สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ปราศรัยที่เวทีสวนลุมพินีกล่าวกับผู้สนับสนุนว่าที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น เพื่อนำกำลังมาสลายการชุมนุม แต่บอกเลยว่าผู้ชุมนุมไม่กลัว พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และจะยึดแนวทางสันติ สงบ ปราศจากอาวุธ ไม่มีความรุนแรง มีกำลังมาสลายเท่าไหร่ ผู้ชุมนุมก็จะสวดอิติปิโสลูกเดียว และผู้ชุมนุมจะถอย โดยอาจจะถอยเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะผู้ชุมนุม กปท. และ คปท. เฝ้าทำเนียบไว้ให้แล้ว สุเทพยังย้ำด้วยว่าสมัยนี้ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาปราบประชาชนไม่ได้แล้ว

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 18.30 น. เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่า รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พรก.ฉุกเฉิน กินระยะเวลา 60 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ม.ค. นี้ โดยพื้นที่บังคับใช้ตาม พ.รบ.การรักษาความมั่นคงฯ เดิม ประกอบด้วย กรุงเทพฯ , นนทบุรี , ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี , บางพลี สมุทรปราการ ตั้งร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีแรงงาน เป็นผู้กำกับดูแลศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.)

ไอ้เทือก....มึงเป็นเหี้ยอะไร

ไอ้เทือก....มึงเป็นเหี้ยอะไร





ไอ้เทือก....มึงเป็นเหี้ยอะไร
http://www.youtube.com/watch?v=HY2t7AjQCKs

แหกปากเลือกข้าง???

แหกปากเลือกข้าง???



Photo 
PhotoPhoto

"แหก ปากทั้งที... ไม่ยอมประณามการขึ้นเวทีด่านายกด้วยคำหยาบคายทางเพศของหมอจากสงขลา แต่คณบดีแพทยศาสตร์ 8 สถาบัน ออกแถลงการณ์เสนอปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ดูพฤติกรรมมันแล้วไม่แปลกใจ ไอ้พวกอยากโกงการเลือกตั้ง และให้คนไทยเป็นทาส" 

ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ม็อบเทือกจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น

ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ม็อบเทือกจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น



พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์


(1)

"เมื่อวันอาทิตย์ ขับรถผ่านม็อบเทือกตรงรัชโยธิน เห็นชัดกับตาเลยว่า ทหารในชุดลายพรางจำนวนมาก มาทำหน้าที่เป็นการ์ดรปภ.ให้กับม็อบ ยืนจังก้าโดยรอบ อำนวยความสะดวกให้ม็อบเทือก ตรวจตรารถยนต์และคนที่เดินผ่านไปมา มีรถบรรทุกทหารสีเขียวจอดอยู่และเคลื่อนตามขบวน ซึ่งก็อุตส่าห์แก้เขินด้วยการเอาตรากาชาดมาปะไว้อย่างลวก ๆ แบบไม่แนบเนียน

อย่างที่ทราบกันว่า สองเดือนมานี้ ตำรวจก็ตรวจจับทหารที่มาเป็นการ์ดได้หลายคน หลายชุดแล้ว พร้อมอาวุธร้ายแรง มีทั้งหน่วย SEAL เรียกว่า ทำกันแบบฟ้าแจ้งจางปาง ไม่ต้องปิดบังกันแล้วว่า ทหารสนับสนุนม็อบเทือกเพื่อล้มรัฐบาล ไม่ต้องมา "แอ็บ" ว่า เป็นกลางกันอีกต่อไป

แนวทางที่เป็นไปได้คือ ม็อบเทือกเข้ายึดสถานที่ราชการสำคัญต่าง ๆ แบบถาวร ไม่ใช่แค่ให้ผู้ชุมนุมเดินผ่านประตูเข้าไปโวยวายเสร็จ กลับออกมาบอกว่า ยึดแล้วอย่างที่ผ่านมา แต่จะเป็นการยึดถาวรในทุกกระทรวงหลัก ให้หน่วยราชการที่เป็นแขนขารัฐบาลเป็นอัมพาตทั้งหมด ทำงานและให้บริการประชาชนไม่ได้ ซึ่งถ้ายืดเยื้อไปถึงเลือกตั้ง 2 ก.พ. ก็มีแนวโน้มจะทำกับหน่วยเลือกตั้งในกรุงเทพฯและอีกหลายจังหวัดด้วย

นี่คือแบบจำลอง "ปฏิวัตประชาชน" ที่เอาทหารมาแอ็บเป็นประชาชน ลุกฮือยึดอำนาจจากรัฐบาล ก็คือทำรัฐประหารนั่นเอง คนพวกนี้คิดว่า คนไทยส่วนข้างมากกินแกลบ คิดว่า รัฐบาลและสื่อต่างชาติกินผักบุ้ง คิดว่า ทำแบบนี้ คนไทยส่วนใหญ่และต่างชาติจะหลงเชื่อและไม่ต่อต้าน

นี่มันปี 2557 แล้ว ศตวรรษที่ 21 แล้ว คนไทยวันนี้ เรียนหนังสือมาทุกคน มีทีวี วิทยุ เคเบิล อินเตอร์เน็ต และจานดาวเทียมกันเกือบทุกบ้านแล้ว เคยใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันมาคนละหลายรอบแล้ว ผมก็รอดูว่า คนพวกนี้จะกล้าทำตามที่วางแผนไว้ไหม?"

 

(2)

"เป็นไปตามที่คาดว่า ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ม็อบเทือกจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งยิงปืน โยนระเบิด ฯลฯ คนบาดเจ็บล้มตายถี่ขึ้น และจะมีทุกวันนับแต่นี้ไป ตอนนี้ถึงขั้นยิงปืนและโยนระเบิดกันกลางวันแสก ๆ ต่อหน้ากล้อง CCTV โดยไม่ปิดบังกันแล้ว

ใครเป็นคนบงการ ดูง่าย ๆ ว่า ใครได้ประโยชน์? รัฐบาลไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากเหตุรุนแรง ผลประโยชน์ของรัฐบาลคือ ต้องให้บ้านเมืองสงบ เพื่อให้การเลือกตั้งดำเนินไปได็ และกกต.ก็จะไม่มีข้ออ้างล้มการเลือกตั้งตาม "ใบสั่ง"

ยิ่งรุนแรง มีคนเจ็บตายถี่ ๆ สถานการณ์จะยิ่งล่อแหลม ควบคุมยากขึ้น สื่อจะช่วยกันกระพือให้ผู้คนแตกตื่น การจัดการเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ ที่มีการชุมนุมจะทำไม่ได้ เป็นข้ออ้างให้ กกต.เบี้ยวไม่จัดการเลือกตั้ง นับแต่นี้ กกต.จะยิ่งดิ้นพล่าน ๆ อ้างเหตุรุนแรงกดดันให้รัฐบาลเลื่อนเลือกตั้ง และถ้ารุนแรงไปถึงจุดหนึ่งที่วางแผนไว้ ทหารก็จะมีข้ออ้างครบออกมากระทำการตาม "ใบสั่ง" อีกเช่นกัน

ภาพจะเสมือนรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ การกล่าวหาว่า รัฐบาลเป็นคนทำ ซึ่งมีผลต่อเนื่องให้การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ไม่มีความชอบธรรมไปด้วย ทั้งหมดนี้ เป็น "แผนง่าย ๆ" ที่ใคร ๆ ก็อ่านออก และก็เป็นแผนที่แกนนำ กปปส.ต้องการให้เกิด

ก็ต้องช่วยกันแชร์ ช่วยกันแฉข้อมูล ความจริงให้คนส่วนใหญ่ได้รับรู้ รวมทั้งสื่อและรัฐบาลต่างชาติ ที่ตอนนี้ทั้งหมด ได้ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตยอย่างชัดเจนแล้ว"

ไม่มีชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเปรม

ไม่มีชัยชนะของฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเปรม

โดย ภาคิน นิมมานนรวงศ์


ข้อโต้แย้ง (1)

ไม่นานมานี้ บทความ ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งชี้ว่า การที่ยิ่งลักษณ์เดินทางเข้าพบเปรมในบ้านสี่เสาฯ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าบรรดาเครือข่ายสถาบันกษัตริย์ (Network Monarchy) ได้เลือกแล้วว่าจะยืนข้างประชาธิปไตย ผู้เขียนบทความยังตีความไปด้วยว่า นี่คือการแสดงจุดยืนของเครือข่ายสถาบันกษัตริย์เพื่อการปรับตัวในระยะยาว กลับกัน ท่ามกลางชัยชนะของยิ่งลักษณ์ (เครือข่ายทักษิณ) และฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านของเปรม เครือข่ายสถาบันกษัตริย์ก็ได้รับชัยชนะอีกครั้งเช่นกัน เพราะพวกเขารู้ดีว่า “เพื่อเอาชนะใจคนหมู่มาก พวกเขาต้องเลือกใคร”

จากข้อสรุปข้างต้น จึงดูเหมือนว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ ทุกคนจะชนะ เว้นเพียงแต่สุเทพและคณะเท่านั้นที่ถูกหักหลัง ปัญหาคือ หากฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะแล้วจริง ๆ ตั้งแต่ในบ้านเปรม ทุกวันนี้ เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่กันแน่

แน่นอนว่า หากต้องการดำรงอยู่ต่อไปในสังคมไทยในระยะเปลี่ยนผ่าน เครือข่ายสถาบันกษัตริย์จำต้องยอมรับว่าพวกเขามิได้มีอาญาสิทธิ์ตามอำเภอใจ ในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ และควรตระหนักเสียทีว่า ที่มาของอำนาจการปกครองที่ชอบธรรม คือคะแนนเสียงของประชาชน มิใช่เพียงเสียงกระซิบของสถาบันทางวัฒนธรรมอันล้าสมัยใด ๆ ที่ไม่อาจตรวจสอบได้ กระนั้น เพียงแค่การเข้าพบและแลกเปลี่ยน "ของขวัญ" ระหว่างกัน คือสัญญาณที่เพียงพอแล้วหรือว่าพวกเขาพร้อมจะเปลี่ยนแปลง

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตลอดครึ่งเดือนผ่านมา สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น คือการประกาศปิดกรุงเทพฯ ท่ามกลางการคาดเดาไปต่าง ๆ นานาว่านายทุนเบื้องหลังการประท้วงที่ยืดยาวมาหลายเดือนนี้เป็นใครบ้าง (ในกรณีของคนเสื้อแดง เป็นที่รับรู้และคาดเดาไม่ยากอยู่แล้วว่า นายทุนนั้นคือทักษิณ) เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เครือข่ายสถาบันกษัตริย์เองยังคงให้การสนับสนุนผู้ประท้วง และอย่างน้อยที่สุด บางคนในเครือข่ายนั้นก็ได้เปิดหน้าไพ่ออกมาแล้วว่า เขาหรือเธอไม่มีวันอยู่ข้างประชาธิปไตย ต่อให้ต้องกลายเป็นกบฏ

วาทกรรม “ปฏิรูป” ของ กปปส.คืออะไร?

วาทกรรม “ปฏิรูป” ของ กปปส.คืออะไร?

 















โดย อ.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

ธงนำทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ก็คือ “ปฏิรูปประเทศ” ซึ่งใช้ดึงดูดมวลชนชั้นกลางที่มีการศึกษาจำนวนหนึ่งให้เข้าร่วมขบวน นี่คือ “วาทกรรมพิษ” เพราะ “การปฏิรูป” ของ กปปส. เป็นเพียง “คำหวาน” ที่ใช้ปิดบังเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา ซึ่งก็คือ การล้มล้างระบอบรัฐสภาและการเลือกตั้ง แล้วแทนที่ด้วยระบอบเผด็จการ 

แนวคิด “ปฏิรูป” มีมาตั้งแต่ปลายสมัยนายกรัฐมนตรีพล อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับความนิยมในหมู่ปัญญาชนและคนชั้นกลางที่มีการศึกษา เป็นแนวคิดที่สืบเนื่องมาจากวาทกรรมทางการเมืองที่แพร่หลายในหมู่คนชั้นกลาง ขณะนั้น ซึ่งก็คือวาทกรรม “นักการเมืองเลว”

พวกจารีตนิยมไทยที่สืบ ทอดอำนาจกันด้วยชาติตระกูล เครือญาติ และตำแหน่งในระบอบรัฐไทยนั้น มุ่งบั่นทอนระบบการเมืองแบบเลือกตั้งมาโดยตลอดนับแต่สูญเสียอำนาจไปในปี 2475 ระบอบรัฐสภาและการเลือกตั้งที่สถาปนาขึ้นโดยคณะราษฎรได้เปิดโอกาสเป็นครั้ง แรกให้สามัญชนที่มีความสามารถ (และหลายคนมีโภคทรัพย์) แต่ไร้ชาติตระกูลและสถานะในระบอบรัฐไทยได้มีช่องทางเข้ามาร่วมแบ่งปันอำนาจ ทางการเมืองได้ นี่นับเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจและสถานะตามประเพณีที่พวกจารีตนิยมผูกขาดไว้ ตลอดมา

พวกจารีตนิยมจึงได้สร้างวาทกรรมขึ้นมาเพื่อโจมตีคณะราษฎร โดยกล่าวหาว่า คณะราษฎรยึดอำนาจไปจากพระมหากษัตริย์ แล้วก็ผูกขาดอำนาจ แสวงหาประโยชน์เฉพาะในกลุ่มตน นี่คือ วาทกรรม “นักการเมืองเลว” ฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะโจมตีคณะราษฎรแล้ว ยังยกเอาคุณงามความดีทั้งหมดไปให้กลุ่มจารีตนิยมว่า เป็นต้นธารแห่งความดีงาม สุจริต และความเจริญก้าวหน้าทั้งปวงของประเทศสยามอีกด้วย

มาคุย “ปฏิรูป” กันเถิด (1) แก้ความเหลื่อมล้ำ

มาคุย “ปฏิรูป” กันเถิด (1) แก้ความเหลื่อมล้ำ 


 

รายงานขององค์กรอ็อกซ์แฟมระบุว่า กลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก 85 คน สามารถรวบรวมความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล เทียบกับประชากรยากจนของโลกรวมกัน 3,500 ล้านคน โดยกลุ่มคนร่ำรวยร้อยละ 1 ของโลกมีทรัพย์สินอยู่มากถึง 110 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 3,600 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่าประชากรยากจนที่สุดครึ่งหนึ่งของโลก 65 เท่า

เศรษฐีจำนวนมากมาจากสหรัฐและประเทศพัฒนา
สหรัฐอเมริกามีผลิตภัณฑ์มวลรวม GDP = 16.2 ล้านล้าน$
ไทยมีผลิตภัณฑ์มวลรวม GDP= 0.4 ล้านล้าน$

ทั้งๆ ที่ประเทศไทยยังไม่พัฒนาเท่าหลายประเทศในตะวันตก แต่เศรษฐีไทย 3 คนติดอันดับ 85 ของโลกตามข้อมูลของ Forbes
1. คนแรก อันดับ 8  ทรัพย์สิน  44.24 พันล้าน$
2. คนที่สอง นายธนินท์ เจียรวนนท์ อันดับ 58 ทรัพย์สิน 14.3 พันล้าน$   เกษตร/อาหาร
3. คนที่สาม เจริญ สิริวัฒนภักดี  อันดับ 82 ทรัพย์สิน 11.7 พันล้าน$   เครื่องดื่ม

4. คนที่สี่ ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ อันดับ 736    ทรัพย์สิน 2 พันล้าน$  อสังหาริมทรัพย์
5. คนที่ห้า กฤตย์ รัตนรักษ์  อันดับ  785  ทรัพย์สิน  1.95 พันล้าน$    สื่อและอสังหาริมทรัพย์
6. คนที่หก ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ    825    ทรัพย์สิน 1.85 พันล้าน$ โรงพยาบาล
7. คนที่เจ็ด ทักษิณ ชินวัตร  อันดับ 882 ทรัพย์สิน 1.7 พันล้าน$ โทรคมนาคมและอสังหาริมทรัพย์

ประเด็นสำคัญที่เราควรผลักดันในการปฏิรูป คือการเก็บภาษีในอัตราสูงพิเศษจากเศรษฐีไทยและบริษัทใหญ่ ตามที่อาจารย์ปรีดีเคยเสนอ เพื่อสร้างระบบรัฐสวัสดิการ และใครที่ไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้เวลาเสนอ “การปฏิรูป” ในปัจจุบัน ก็คงไม่อยากทำอะไรอย่างจริงจัง

(ที่มา)
http://turnleftthai.blogspot.dk/2014/01/1_22.html 

ประมวลภาพ: จุดเทียนเขียนสันติภาพ เดินหน้าเลือกตั้ง ต้านรัฐประหารในที่ต่างๆ(19 ม.ค.)

ประมวลภาพ: จุดเทียนเขียนสันติภาพ เดินหน้าเลือกตั้ง ต้านรัฐประหารในที่ต่างๆ(19 ม.ค.)



 
 
20 ม.ค.2557 ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรม "จุดเทียนเขียนสันติภาพ" เพื่อเรียกร้องให้ยุติการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ต่อต้านการรัฐประหารและสนับสนุนให้เคารพเสียงของคนทั้งประเทศเดินหน้าเลือก ตั้งวันที่ 2 ก.พ.นี้ โดยประชาไทได้รวบรวมภาพกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ ที่จัดกิจกรรมเมื่อเย็นจนถึงค่ำวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยเริ่มมีการผูกผ้าขาวแสดงออกเชิงสัญญาลักษณ์นำโดยกลุ่มพอกันที หยุดการชุมนุมที่สร้างเงื่อนไขไปสู่ความรุนแรง ด้วย

(ที่มา)

อ็อกแฟมเผยคนรวยสุดในโลก 85 คน มีทรัพย์สินเท่าคนจนสุด 3.5 พันล้านคนรวมกัน

อ็อกแฟมเผยคนรวยสุดในโลก 85 คน มีทรัพย์สินเท่าคนจนสุด 3.5 พันล้านคนรวมกัน

 

 
File:Occupy Oakland 99 Percent signs.jpg
Oxfam: 85 richest people as wealthy as poorest half of the world
http://www.theguardian.com/business/2014/jan/20/oxfam-85-richest-people-half-of-the-world


องค์กรเพื่อการขจัดความยากจนระบุในรายงานว่า กลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในโลกที่มีทรัพย์สินรวม 110 ล้านล้านดอลลาร์ และพยายามใช้อิทธิพลเพื่อแก้กติกา ลดภาษี แทรกแซงการเมือง ทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นอีก โดยการกระจุกตัวทางเศรษฐกิจเช่นนี้จะส่งผลต่อปัญหาเรื่องเสถียรภาพและความ ไม่สงบในสังคม


20 ม.ค. 2557 องค์กรอ็อกแฟม อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งมีเป้าหมายในการขจัดปัญหาความยากจนและความไม่เป็นธรรม ได้เปิดเผยรายงานประจำปี 2555-2556 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาระบุว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ด้านรายได้มาจากการพยายามยึดกุมอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำที่มีความร่ำรวยเพียง ไม่กี่คน