หน้าเว็บ

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำไมต้องถอนทหารออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

ทำไมต้องถอนทหารออกจากจังหวัดชายแดนภาคใต้

 

สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาคือ การมีทหาร หรือแม้แต่ตำรวจ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในรอบห้าสิบปีที่ผ่านมา เคยห้ามความรุนแรงและปกป้องประชาชนจริงหรือ? คำตอบคือ “ไม่เคยเลย” และขณะนี้เราก็เห็นชัดว่า ทหารและตำรวจคุมสถานการณ์และเอาชนะฝ่ายกบฏต่อรัฐอำมาตย์ไทยไม่ได้

 

โดย ลั่นทมขาว

พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่ก้าวหน้ากว่าพรรคอื่น เรื่องการกระจายอำนาจการปกครองในสามจังหวัดภาคใต้ แต่ปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะพื้นที่ภาคใต้เกือบทั้งหมด เพราะอะไร? 

ในประการแรก
 “ภาคใต้” ไม่ ได้เหมือนกันหมด สามจังหวัดภาคใต้เป็นพื้นที่ของชาวมาเลย์มุสลิมที่พูดภาษายะวี คนมาเลย์มุสลิมเหล่านี้ยากจนและโดนกดขี่โดยรัฐไทย บางส่วนที่อยากแบ่งแยกประเทศหรือเกลียดชังรัฐ อาจไม่ไปเลือกตั้งเลย นอกจากนี้คนในพื้นที่อาจยังไม่ไว้ใจคำสัญญาของพรรคเพื่อไทย เพราะมีประวัติการเข่นฆ่าประชาชนมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลไทยรักไทย คงต้องมีการพิสูจน์กันเป็นรูปธรรม และคำถามสำคัญคือเพื่อไทยพร้อมจะเปลี่ยนแนว “รักชาติไทย” ของรัฐบาลต่างๆ ในอดีตแค่ไหน

ในประการที่สอง
 ถ้า เราพิจารณาส่วนอื่นของภาคใต้ มันเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างจะรวย มีทรัพยากร มีธุรกิจท่องเที่ยว นี่คือสาเหตุที่พื้นที่อย่างภูเก็ต หรือหาดใหญ่ สนับสนุนประชาธิปัตย์และอำมาตย์ มันเป็นเรื่องชนชั้น แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าทุกคนในภาคใต้ร่ำรวย และนอกจากนี้มีคนจนจากภาคอื่นที่เข้ามาตั้งบ้านทำงานอีกด้วย แต่เวลาเลือกตั้งเขาจะต้องกลับไปบ้านเกิด

ในประการที่สาม
 อดีต พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในภาคใต้ มีส่วนชักชวนให้คนก้าวหน้าและนักต่อสู้ไปสนับสนุนประชาธิปัตย์ในยุคป่าแตก ซึ่งอาจยังมีผลตกข้างถึงทุกวันนี้
แต่ถ้าจะมาพูดถึงแนวการแก้ปัญหาใน สามจังหวัดภาคใต้ ก่อนอื่นต้องฟันธงว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาสงครามกลางเมืองในภาคใต้ได้ ถ้าไม่มีการถอนทหารออกจากพื้นที่ เพื่อเปิดทางให้แก้วิกฤตด้วยวิธีการเมือง

(อ่านต่อ)

http://turnleftthai.blogspot.com/2012/04/blog-post_04.html

ว่าด้วยการใช้ความรุนแรงของรัฐ: การกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม vs การควบคุมจลาจล

ว่าด้วยการใช้ความรุนแรงของรัฐ: การกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม vs การควบคุมจลาจล

 

 

โดย ภัควดี วีระภาสพงษ์

ประเด็นการใช้ความรุนแรงและการไม่ใช้ความรุนแรงหรือสันติวิธี กลายเป็นประเด็นที่ค่อนข้างสับสนในสังคมไทย วิธีการเช่นไรที่ถือเป็นการใช้ความรุนแรง? การประท้วงด้วยการเทเลือดถือเป็นการใช้ความรุนแรงหรือไม่? การปราศรัยด้วยวาจาหยาบคายเป็นการใช้ความรุนแรงหรือไม่? การเพิกเฉยต่อการสังหารหมู่กลางเมืองหรือถึงขั้นยินดีในการฆ่าถือเป็นความ รุนแรงหรือไม่? รัฐมีความชอบธรรมที่จะใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนเมื่อไร? ความรุนแรงระดับไหนที่รัฐพึงใช้และไม่พึงใช้?

มีหลายประเด็นที่สามารถถกเถียงกันได้ไม่รู้จบและมีความเห็นไปได้ต่างๆ อาทิเช่น การใช้วาจาหยาบคายเป็นความรุนแรงหรือไม่ เป็นเรื่องที่วิวาทะกันไปได้อีกนานและคงหาข้อสรุปที่เป็นที่สุดหรือพึงพอใจ ของทุกฝ่ายได้ยาก แต่ก็มีบางประเด็นสำคัญๆ ที่มีบรรทัดฐานและหลักปฏิบัติชัดเจน ทั้งยังปฏิบัติกันเป็นส่วนมากในประเทศที่ “เจริญแล้ว” ทั่วโลก แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่สับสนและไม่เข้าใจกันในสังคมไทยอย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น คำถามว่า ความรุนแรงระดับไหนที่รัฐพึงใช้และไม่พึงใช้ต่อประชาชน เป็นต้น
 
(อ่านต่อ)
http://www.prachatai.com/journal/2012/04/39962

หนัง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ โดนแบน อ้างก่อความแตกแยก

หนัง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ โดนแบน อ้างก่อความแตกแยก

 

 

http://www.youtube.com/watch?v=vd6JEk6Imco&feature=player_embedded#! 


3 เม.ย.55 คณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์(กองเซ็นเซอร์) ในกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม มีมติสั่งห้ามฉาย ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่ได้รับทุนสร้างจากกองทุนส่งเสริมภาพยนตร์ของ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย (สศร.) กระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ซึ่งเพิ่งสร้างเสร็จและเข้าตรวจพิจารณาปีนี้

ตามเอกสารบันทึกการตรวจพิจารณาภาพยนตร์ระบุว่า “คณะกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า ภาพยนตร์เรื่องเชคสเปียร์ต้องตาย (Shakespeare Must Die) มีเนื้อหาที่ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ตามกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2552 ข้อ 7 (3) จึงมีมติไม่อนุญาต โดยจัดเป็นประเภทภาพยนตร์ที่ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร ตามมาตรา 26 (7) แห่งพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์ พ.ศ. 2551”

ทั้งนี้ ภาพยนตร์เรื่อง ‘เชคสเปียร์ต้องตาย’ เป็นภาพยนตร์ไทยที่สร้างขึ้นจากบทละคร ‘โศกนาฏกรรมแม็คเบ็ธ’ (The Tragedy of Macbeth) ของวิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) กวี เอกของโลก เป็นเรื่องราวของขุนพลที่มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างไร้ขอบเขตและคลั่งไคล้ในไสย ศาสตร์ เมื่อมีแม่มดมาทักว่าจะได้เป็นกษัตริย์ในภายหน้า และโดยการยุยงของภรรยา เขาสังหารพระราชาเพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ แม็คเบ็ธปกครองแผ่นดินด้วยความบ้าอำนาจ พาให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคมืดมนแห่งความหวาดกลัว โดยที่ตัวเขาเองก็ปราศจากความสุข ต้องใช้ความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อรักษาอำนาจของตน ละครเรื่องแม็คเบ็ธนี้ ได้มีการจัดแสดงโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยเมื่อปีที่แล้ว นอกจากนี้ยังบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาของเด็กมัธยมต้นทั่วโลกมายาวนาน และได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง โดยนักทำหนังอินเดีย ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น

ด้านมานิต ศรีวานิชภูมิ ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ถึง การแบนภาพยนตร์ดังกล่าวในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบุว่า “เหตุการณ์นี้ทำให้ผมเห็นว่า เราไม่สามารถพูดถึงเรื่องศีลธรรม ความโลภ ความบ้าอำนาจ ความมักใหญ่ใฝ่สูงอันไร้ขอบเขตกันได้อีกแล้วในประเทศไทย ผู้คนอยู่กันด้วยความกลัว ราวกับว่าอยู่ใต้แม็คเบ็ธในบทละครของเชคสเปียร์จริงๆ มันแปลกประหลาดมากที่องค์กรของกระทรวงวัฒนธรรมลุกขึ้นแบนหนังที่กระทรวง วัฒนธรรมเองเป็นผู้สนับสนุน และกองเซ็นเซอร์ ภายใต้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เห็นควรแบนเชคสเปียร์”

 

(อ่านต่อ) 

http://www.prachatai.com/journal/2012/04/39958


ประมวลเสียงคัดค้าน หลังหนังไทย "เชคสเปียร์ต้องตาย" ถูกคำสั่ง "ห้ามฉาย"

(คลิกอ่าน)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333538454&grpid=01&catid=&subcatid=

Hot Topic 04-04-2012 พบจาตุรนต์ ฉายแสง

Hot Topic 04-04-2012 พบจาตุรนต์ ฉายแสง
  

Posted Image

(คลิกฟัง)
http://www.youtube.com/watch?v=TjrRb9g7g-Y&feature=player_embedded

The Daily Dose 04เมย55.wmv

The Daily Dose 04เมย55.wmv


 

(คลิกฟัง) 

http://www.youtube.com/watch?v=FvLp5met79o&feature=relmfu

Wake up Thailand 04-04-55

Wake up Thailand 04-04-55

 

(คลิกฟัง) 

http://www.youtube.com/watch?v=2xPvD_rUVPI&feature=player_embedded#!

นิติราษฎร์: การทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการฯ

นิติราษฎร์: การทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการฯ

 

วรเจตน์ ภาคีรัตน์ (เขียนในส่วนเยอรมนี)
 ปิยบุตร แสงกนกกุล(เขียนในส่วนฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ กรีซ สเปน และตุรกี)
วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล เขียนถึงบทเรียนเรื่องการทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการ และการไม่ ยอมรับรัฐประหารในนานาอารยะประเทศ 
การทำลายกฎหมายและคำพิพากษาในระบอบเผด็จการและการไม่ยอมรับรัฐประหารในนานาอารยะประเทศ

เยอรมนี

เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปเป็นยุติว่าคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วนั้น เป็นสิ่งที่ชี้ขาดว่าสิทธิหน้าที่ของบุคคลในทางกฎหมายมีอยู่อย่างไร คำพิพากษานั้นจะถูกหรือผิดอย่างไรในทางกฎหมายก็ตาม โดยปกติแล้ว ก็ย่อมมีผลผูกพันบรรดาคู่ความในคดี ข้อพิพาททางกฎหมายย่อมยุติลงตามการชี้ขาดคดีของศาลซึ่งถึงที่สุด และคำพิพากษาดังกล่าวย่อมเป็นฐานแห่งการบังคับคดีตลอดจนการกล่าวอ้างของคู่ ความในคดีต่อไปได้  คุณค่าของการต้องยอมรับคำพิพากษาของศาลก็คือ ความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะของบุคคล อันมีผลบั้นปลายในการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม กรณีย่อมเป็นไปได้เสมอที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้นอาจเกิดความผิดพลาดขึ้น ความผิดพลาดดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากความจงใจหรือความประมาทเลินเล่อ ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม หรือความผิดพลาดนั้น อาจเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยก็ได้ ระบบกฎหมายที่ดีย่อมกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีการทบทวนคำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้ว ได้ ในทางกฎหมาย เราเรียกกระบวนการทบทวนคำพิพากษาที่ถึงที่สุดไปแล้ว แต่มีความบกพร่อง และหากปล่อยไว้ไม่ให้มีการทบทวน ก็จะไม่ยุติธรรมแก่คู่ความในคดีว่า การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ในกรณีที่ปรากฏในกระบวนการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ว่าคำพิพากษาที่ถึงที่ สุดแล้วนั้น เป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาด ศาลที่พิจารณาคดีดังกล่าวนั้น ย่อมต้องยกคำพิพากษาเดิมซึ่งเป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาดเสีย แล้วพิพากษาคดีดังกล่าวใหม่

การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ จึงเป็นหนทางของการลบล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว แต่เป็นคำพิพากษาที่ผิดพลาด ทั้งนี้ตามกระบวนการ ขั้นตอน และหลักเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าในระบบกฎหมายนั้น โดยองค์กรที่มีอำนาจลบล้างคำพิพากษาที่ผิดพลาดดังกล่าว ก็คือ องค์กรตุลาการหรือศาลนั่นเอง

(อ่านต่อ) 
http://www.prachatai.com/journal/2012/04/39967

"จักรภพ เพ็ญแข" เปิดใจประเด็น "ปรองดอง-ทักษิณ" ชี้อำนาจเก่ากลัว "นิติราษฎร์" มากสุด

"จักรภพ เพ็ญแข" เปิดใจประเด็น "ปรองดอง-ทักษิณ" ชี้อำนาจเก่ากลัว "นิติราษฎร์" มากสุด

 

 

"จักรภพ เพ็ญแข" ลี้ภัยทางการเมืองจากประเทศไทยไปกว่า 3 ปี ล่าสุด ทีมข่าวพิเศษของเว็บไซต์ประชาไทนัดสัมภาษณ์อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรีผู้นี้ ที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่งกลางกรุงพนมเปญ


จักรภพตั้งประเด็นที่น่าสนใจ 3 ประการ ประการแรคือ เขามองเห็นว่าเมืองไทยภายใต้กระแสปรองดองนั้นเป็นวาระพักรบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ทางเลือกที่สามของการเรียกร้องประชาธิปไตยเกิด ขึ้น แม้จะยังไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่ชัดเจนของทางสายนี้ แต่เขาเห็นว่า นี่เป็นโอกาสที่จะตั้งคำถามให้คนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้เลือกว่า จะสู้เพื่อเปลี่ยนสังคมหรือสู้เพียงเพื่อรวบสังคมมาเป็นของตัวเอง


เมื่อถามเขาถึงบทบาทของทักษิณในขบวน ต่อสู้ จักรภพยังคงแสดงความหวังว่าทักษิณมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในขบวนการเปลี่ยน แปลงสังคม แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทักษิณต้องเลือกเองว่าจะเลือกทางสบายหรือลำบาก


และสุดท้าย เงื่อนไขในการกลับประเทศ แม้ว่าจะข้อกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นอัยการจะสั่งไม่ฟ้องไปแล้วในวันเดียวกับที่เขาให้สัมภาษณ์ประชาไท (30 มี.ค.) แต่นั่นไม่ใช่แรงจูงใจที่จะทำให้เขาเดินทางกลับเข้าประเทศ


นี่คือ หนึ่งในตัวอย่างคำสัมภาษณ์ของจักรภพ


"ผมขอพูดจากข้อ เท็จจริงดีกว่านะ ผมตอบเท่าที่รู้ก็คือว่า เหตุที่การปรองดองเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนเกือบจะสัมฤทธิ์ผลตามความต้อง การของทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่เป็นเพราะฝ่ายแรกหรือฝ่ายที่สอง แต่เป็นเพราะนิติราษฎร์ การเกิดขึ้นของนิติราษฎร์เป็นการสร้างความรู้สึกคุกคามให้กับฝ่ายอำนาจเก่า อย่างรุนแรง


"นิติราษฎร์ เป็นกลุ่มที่ฝ่ายอำนาจเก่ากลัวมากกว่า นปช.และคุณทักษิณเยอะ ทุกครั้งที่นิติราษฎร์ออกโรงมีความเคลื่อนไหว จะมีการยอมจากฝ่ายอำนาจเก่ามาก มากในทุกเรื่องในทุกมิติ ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้อยากยกหางนิติราษฎร์ ไม่อยากให้นิติราษฎร์กลายเป็นเทวดาใหม่เหมือนกัน แต่เพื่ออยากให้รู้ว่ามีผล และคนที่สนับสนุนนิติราษฎร์ไม่ควรไปเยินยอนิติราษฎร์จนกลายเป็นเทวดาไป แต่ช่วยเขาคิดช่วยเขาทำ ตรงไหนเริ่มจะไม่ไหว ก็ต้องประคองก็ช่วยกันด้วย เพื่อให้มันเป็นขบวนการประชาชนต่อไป


"ทุกขบวนการการ เมือง เมื่อมีความนับสนุนมากๆ จากประชาชน จะมีคนที่เรียกว่าผู้ดำรงชีพจากการเมือง เข้ามาแทรกกลาง ถ้าพูดไม่เพราะคือ นายหน้าการเมืองเข้ามาแทรกกลาง จนกระทั่งยกผู้นำการเมืองขึ้นไปอยู่บนหิ้ง และประชาชนไปอยู่ข้างล่าง ตัวเขาจะได้เป็นชนชั้นที่จะเชื่อมโยงทั้งสองราย เพื่อประโยชน์ทางการเมือง มันเกิดขึ้นกับทุกขบวนการเมื่อเวลาผ่านไป เพราะฉะนั้น ไม่อยากเห็นแบบนั้นกับนิติราษฎร์ เพราะฉะนั้นการที่นิติราษฎร์มีตัวตนที่ชัดเจน แล้วก็มีคนอย่างอาจารย์สมศักดิ์ (เจียมธีรสกุล) ทั้งเห็นด้วยและวิจารณ์นิติราษฎร์จะทำให้ขบวนการมันอยู่ได้อย่างดี มันเป็นสมดุลใหม่ อยากให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ หรือมีอย่างอาจารย์นิธิ (เอียวศรีวงศ์) หรือมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ยืนอยู่ห่างๆ แล้วตะโกนไกลๆ มาว่า เอาเลย แต่ไม่เข้าร่วม อย่างนี้เป็นวิธีการประคอง


"เมื่อกี้ไม่ ได้พูดจากความคิดนะ พูดจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผมก็เป็นนักศึกษาจากของจริงเหมือนกัน ผมก็นั่งดู เอ๊ะ ทำไมนักวิชาการ 7 คนซึ่งไม่มีฐานอำนาจทางการเมืองใดๆ เลย ไม่มีลักษณะเชื่อมโยงทางการเมืองใดๆ เลย ไม่มีทุนทางการเมืองที่สนับสนุนอย่างชัดเจนใดๆ เลยถึงได้เป็นที่ครั่นคร้ามของผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แล้วเรียกว่าสามารถชี้นำทุกอย่างโครงสร้างในสังคมปัจจุบันได้ ผมก็เลยได้คำตอบกับตัวเองว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากนี้ไป คืออำนาจในการเปลี่ยนแปลงความคิด มาสู่การเคารพในสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเป็นสิทธิทางการเมืองนะ สิทธิในการประกอบอาชีพ สิทธิของเด็ก สิทธิของคู่สมรส สิทธิของ sexual orientation สิทธิในทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมันจะกลับไปตอบโจทย์เดียวกัน หรือแม้แต่สิทธิของอภิชาติพงศ์ที่เป็นอภิชาติพงศ์ สิทธิของโจอี้บอยที่เป็นโจอี้บอย สิทธิของใครต่อใครที่จะเป็นตัวของตัวเองมันกลายเป็นปราการใหญ่ที่ทำให้ทุกคน มีจุดร่วมกันโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นแนวร่วมโดยที่ไม่เหมือนกันเลย แบบที่หลายประเทศเป็น อย่างสหรัฐอเมริกาเป็น อย่างในยุโรปเป็น ไปถามเลยนั่งกันอยู่ 3 คน มีความเห็น 4 อย่าง แต่สามารถทำงานร่วมกันได้ เพราะมีลักษณะร่วมก็คือว่าแบบเธอๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน แบบฉันๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน แบบคุณๆ ก็ไม่อยากเปลี่ยน ตกลงมีลักษณะร่วมกันคือ ไม่อยากให้มายุ่ง มันก็จะมาผนึกกำลังกัน นี่คือสิ่งที่นิติราษฎร์กำลังนำความคิดนี้เข้ามา สุดท้ายคนที่หนุนนิติราษฎร์อาจจะไม่ใช่คนที่เชื่อตามนิติราษฎร์ แต่จะเป็นคนที่ออกมาปกป้องให้นิติราษฎร์ได้คิดอย่างนิติราษฎร์ต่อ เพื่อวันหนึ่งฉันจะได้คิดแบบฉันบ้าง นี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากของความคิดแบบเดิมของไทย ..."


 

(ที่มา)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1333470313&grpid=01&catid=&subcatid=