รัฐบาลตุ๊กตาหุ่นเชิดของทหาร
โดย อ.ใจ อึ๊งภากรณ์
ใน
ขณะที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อจับมือต้อนรับฆาตกร
กษัตริย์เผด็จการ ฮามัด บิน อีซา จากบาห์เรน
ผู้เข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าที่เรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อสองปีก่อน
รัฐมนตรีต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
ก็กำลังเล่นละครคลั่งชาติที่ศาลโลกเรื่องเขาพระวิหาร
เขาพระวิหารเป็นวัดเขมร สร้างโดยชาวเขมร
ในสมัยที่เขมรเป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ที่ครอบครองดินแดนที่ปัจจุบันเป็น
ประเทศไทย ลาว และเขมร
และทุกอย่างที่ชนชั้นปกครองไทยอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมคนชั้นสูง “ไทย”
เอามาจากเขมรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นราชาศัพท์ หรือรูปแบบการก่อสร้าง
สุโขทัยก็เป็นเมืองเขมรที่ปกครองโดยกษัตริย์เขมร อยุธยาก็มีกษัตริย์เขมร
ดังนั้นการ “ทวงคืน” อะไรต่ออะไรที่พวกฝ่ายขวาเสื้อเหลืองและทหารมองว่า
“เป็นของไทย” ล้วนแต่เป็นคำโกหกเพื่อปกปิดความจริงทั้งสิ้น
มันปกปิดความเหลื่อมล้ำและการกดขี่ภายในสังคมไทยเอง
แต่แทนที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะหาทางร่วมพัฒนาโบราณสถาณเขาพระวิหาร
เพื่อประโยชน์และความสงบสุขของพลเมืองสองฝั่งชายแดน
เหมือนที่เคยพยายามทำก่อนรัฐประหาร ๑๙ กันยา
รัฐบาลและรัฐมนตรีสุพงษ์ก็เต้นไปเต้นมาตามจังหวะและเนื้อเพลงของทหารและพวก
คลั่งชาติ
การทะเลาะกันเกี่ยวกับพื้นดินไม่กี่เมตรรอบๆ วัด
ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่ต่างจากเด็กๆ ตีกันเพื่อแย่งของเล่น
จะแคร์ไปทำไมว่าเศษดินบนภูเขาเป็น “ของใคร” ? ในเมื่อมาใช้ร่วมกันก็ได้
แต่ชนชั้นปกครองไทยและเขมรแคร์เรื่องนี้ เพราะมันเป็นการแข่งกันเบ่งอำนาจ
และอย่าลืมว่าอำนาจดังกล่าวของชนชั้นปกครองใช้เพื่อเข่นฆ่า กดขี่
และขูดรีดพลเมืองภายในประเทศ
ดังนั้นพวกที่หลงไหลโบกธงไทยเพื่อทะเลาะกับเขมรเรื่องเขาพระวิหาร
ซึ่งรวมถึงคนเสื้อแดงบางคนด้วย ก็แค่เป็นทาสรับใช้ของอำมาตย์เท่านั้น
มันเป็นการคลานทางปัญญา
สิ่งที่เราเห็นในยุคนี้คือการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเน้นบทบาทของทหารใน
เรื่องเขาพระวิหาร
คือปล่อยให้นายพลมือเปื้อนเลือดจากการฆ่าเสื้อแดงมามีความเห็นและอิทธิพล
เรื่องนี้ ในระบบประชาธิปไตยทหารไม่ควรมีความเห็นใดๆ
เรื่องการเมืองระหว่างประเทศหรือเรื่องอื่นในที่สาธารณะ
ในเรื่องสื่อดิจิตอลก็เหมือนกัน ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทหารมี
“อภิสิทธิ์พิเศษ” ในการครองช่องของตนเอง โดยมีการอ้างถึง “ความมั่นคง”
การครองสื่อของทหารเป็นแง่หนึ่งของเผด็จการ และเป็นวิธีกอบโกยความร่ำรวย
“ผิดปกติเกินเงินเดือนตนเอง” สำหรับพวกนายพลมือเปื้อนเลือดอีกด้วย
การเสือกในรัฐวิสาหกิจก็เช่นกัน
และเป็นผลพวงของเผด็จการทหารตั้งแต่ยุคสฤษดิ์
นอกจากนี้ในการเจรจา “สันติภาพ” ในภาคใต้ ก็มีทหารนำเป็นหลัก
คือทหารนำการเมืองนั้นเอง ซึ่งไม่มีวันนำไปสู่สันติภาพแท้ได้
เพราะปัญหาใหญ่คือการใช้กำลังของรัฐไทยต่อคนกลุ่มน้อย
เพื่อบังคับให้คนที่ไม่เข้ารูปแบบ “ความเป็นไทย”
ต้องถูกบังคับให้แปรตัวไปพูดภาษาไทยและจำยอมต่อวัฒนธรรมของอำมาตย์
การที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังคลั่งการใช้ 112 และไม่มีวันยอมยกเลิกกฏหมายนี้ หรือปล่อยนักโทษการเมือง 112 ก็เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของทหาร เพราะทหารเป็นกลุ่มหลักที่อาศัยความชอบธรรมจากระบบกษัตริย์และต้องการใช้ 112 เพื่อไม่ให้ใครวิจารณ์การใช้กษัตริย์ของทหาร แต่แน่นอนพวกนักการเมืองนายทุนในพรรคเพื่อไทยก็ต้องการใช้เช่นกัน
แม้แต่คณะกรรมการ ที่อ้างว่าเป็น “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน” ก็มีพวกใส่เครื่องแบบ
ล่าสุดรัฐมนตรีเฉลิม อยู่บำรุง
ก็เสนอว่าควรจะนีรโทษกรรมทหารและนักการเมืองที่ฆ่าเสื้อแดง
อันนี้ไม่น่าแปลกใจ เพราะไม่ว่าจะทำโดยทางการหรือไม่
รัฐบาลเพื่อไทยก็ปล่อยให้พวกฆาตกรมือเปื้อนเลือดเหล่านี้ลอยนวลอยู่แล้ว
ไม่ใช่แค่ลอยนวลด้วย ประยุทธิ์อ้าปากลั่นในทุกเรื่องได้
ในประเทศตุรกีหรืออาเจนทีนา
รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกล้าจัดการกับทหารหลังยุคเผด็จการได้
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไม่ทำอะไร ไม่ใช่เพราะ “ไม่กล้า” แต่เป็นเพราะ
“จงใจจับมือกับทหาร”
ดังนั้นการที่นายกยิ่งลักษณ์จับมือกับฆาตกรกษัตริย์เผด็จการฮามัด บิน อีซา
จากบาห์เรน เป็นแค่สัญญลักษณ์ว่าการฆ่าเสื้อแดงหรือชาวบาห์เรน “ไม่ผิด”
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลตุ๊กตาหุ่นเชิดของทหาร และทำหน้าที่รับใช้ทหารดีกว่าพรรคประชาธิปัตย์หลายเท่า
(ที่มา)