หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พวงทอง ภวัครพันธุ์: ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ต้องโทษฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน

พวงทอง ภวัครพันธุ์: ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ต้องโทษฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน

 


ข้อเสนอให้นิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่ต้องโทษฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน กำลังทำให้ข้อเรียกร้องการนิรโทษกรรมบิดเบี้ยว ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า พรรค ปชป.เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ที่ฝ่าฝืนพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ

นัก วิชาการอิสระ นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ ก็เสนอว่าให้ออก พ.ร.บ. เป็นสองฉบับ ๆ แรกนิรโทษคนที่ทำความผิดเล็ก ๆ เช่น ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ส่วนคนที่โดนคดีอาญาอื่น ๆ ต้องมาดูอีกทีว่าจะให้นิรโทษหรือไม่

ก่อนที่ใครจะเสนออะไรนั้น ควรต้องทำความใจข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อน

ประการแรก  บรรดาผู้ชุมนุม 1,019 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น ในขณะนี้ พวกเขาได้พ้นโทษไปหมดแล้ว! (มีทั้งโทษปรับ จนถึงจำคุก 6 เดือน- 1 ปีครึ่ง)

คนกลุ่มนี้จึงไม่ใช่เป้าหมาย “เร่งด่วน” ของการเคลื่อนไหวให้นิรโทษกรรมที่นำโดยกลุ่ม “แนวร่วม 29 มกรา ปลดปล่อยนักโทษการเมือง”
แน่ นอนว่า คนกลุ่มนี้ก็สมควรได้รับนิรโทษกรรม “ลบล้างความผิด” ให้กับพวกเขา เพราะข้อมูลที่ ศปช.รวบรวมขึ้นมา ชี้ว่าขั้นตอนการจับกุมและดำเนินคดีมีปัญหามาก มีการซ้อมทรมานในระหว่างการจับกุม, เจ้าหน้าทีสั่งฟ้องโดยอาศัยเพียงภาพถ่ายในบริเวณที่ชุมนุม, ตำรวจจูงใจว่าหากรับสารภาพ ศาลก็จะรอลงอาญาเพราะโทษไม่สูง แต่ปรากฏว่ากลับถูกตัดสินจำคุกโดยศาลใช้เวลาพิจารณาไม่กี่นาที

ข้อหา ที่ติดตัวคนเหล่านี้จะกลายเป็นตราบาป สร้างความลำบากในอาชีพการงานให้กับพวกเขาอย่างยิ่ง จึงสมควรนิรโทษกรรมให้กับคนเหล่านี้ด้วย แต่มันเป็นการนิรโทษกรรม "ย้อนหลัง" ลบล้างความผิด ที่ยังพอรอกันได้

สงครามกลางเมืองในภาคใต้ ถึงเวลาที่จะปลดปล่อยความคิดจากลัทธิอำมาตย์

สงครามกลางเมืองในภาคใต้ ถึงเวลาที่จะปลปล่อยความคิดจากลัทธิอำมาตย์ 

 


 
 
สำหรับ ผู้รักความเป็นธรรมและสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย เวลาเราพิจารณาความขัดแย้งที่เป็นสงครามกลางเมืองในภาคใต้ เราต้องเอากะลาความรักชาติออกจากหัว และต้องปลดปล่อยความคิดตนเองออกจากการครอบงำของลัทธิอำมาตย์ เพื่อมาดูว่าความสงบที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร


ความสงบที่แท้จริงต้องมาจากความยุติธรรม เพราะตั้งแต่การสร้างรัฐชาติไทย โดยการเขียนพรมแดนขึ้นมาระหว่างรัฐบาลล่าอาณานิคมของรัชกาลที่ห้าที่ กรุงเทพฯ และรัฐบาลล่าอาณานิคมของอังกฤษที่ลอนดอน ชาวมาเลย์มุสลิมไม่เคยได้รับความเคารพ ไม่เคยมีโอกาสที่จะมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่เคยมีเสรีภาพที่จะปกครองตนเองตามหลักพื้นฐานของประชาธิปไตย ดังนั้นไม่ต้องมาคิดปกป้องพรมแดนรัฐชาติไทยที่ฝ่ายอำมาตย์กล่อมเกลาให้เรา เชื่อว่า “ศักดิ์สิทธิ์” ควรหันมาปกป้องเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ปกป้องความสงบสุขของประชาชน ปกป้องสิทธิของเชื้อชาติที่หลากหลายแทน


การ “แก้” ปัญหาภาคใต้ต้องมาจากการประชุมคุยกันของพลเมืองในพื้นที่โดยไม่มีกรอบอะไรมาจำกัดการแสดงความเห็น 


ทหารแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะพวกนายพลคือฆาตกรที่เข่นฆ่าคนมาเลย์มุสลิมมาตลอด ตั้งแต่ยุครัชกาลที่ห้า หก ยุคเผด็จการทหาร และยุคการเมืองปัจจุบัน ทหารและตำรวจคือฝ่ายที่ใช้ความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง แต่พวกนายพลมักจะไม่ตาย คนที่ตายเป็นทหารระดับล่าง ลูกหลานประชาชนคนจน ทหารระดับสูงสร้างความสงบสุขในสังคมไทยไม่ได้ เพราะมีประวัติอันยาวนานในการฆ่าประชาชน ล่าสุดคือคนเสื้อแดง ก่อนหน้านั้นก็นักศึกษาในยุค ๑๔ และ ๖ ตุลา


นักการเมืองกระแสหลักแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะพวกนี้คลั่งชาติและป่าเถื่อนพอๆ กับทหาร ไม่ว่าจะเป็นอภิสิทธิ์จากพรรคประชาธิปัตย์ หรือทักษิณที่คุมพรรคเพื่อไทย ล้วนแต่มือเปื้อนเลือดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนที่กรุงเทพฯ คนที่ตากใบ หรือคนบริสุทธิ์ในสงครามยาเสพติด


คนที่ด่ากบฎต่อรัฐไทยว่าเป็น “โจรใต้” ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเขาไม่เข้าใจว่ากบฏกับโจรไม่เหมือนกัน โจรเป็นคนปล้นคนอื่น เช่นทหารที่ปล้นประชาธิปไตย หรือนักการเมืองที่ปล้นทรัพยากรจากพลเมืองด้วยระบบกลไกตลาด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา”


เอ็นจีโอ คนเสื้อแดง หรือนักวิชาการ แก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าเขา ไม่เริ่มต้นที่การกดขี่ที่รัฐไทยกระทำต่อคนในพื้นที่ ไม่ต้องมาขอร้องนามธรรมให้ “ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง” เพราะนั้นเหมือนกับการบอกคนที่ถูกข่มขืนไม่ให้ใช้ความรุนแรงป้องกันตัวเอง จากผู้ใช้ความรุนแรงจริง และอย่ามาดูถูกชาวบ้านว่า “ไม่รู้เรื่อง” หรือดูถูกชาวบ้านว่า “งงไม่เข้าใจทั้งทหารและกบฎ” เขาเข้าใจกันทุกคน แต่เขาอาจมีความเห็นหลากหลายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาต่างหาก


ปัญหาภาคใต้แก้ไม่ได้ในกรอบรัฐชาติปัจจุบัน ดังนั้นถ้าอยากสร้างสันติภาพและความอยู่ดีเป็นสุข ต้องก้าวข้ามความคิดล้าสมัยของ “ความเป็นไทย” หรือ “รัฐชาติไทยที่แบ่งแยกไม่ได้” มันแบ่งได้ มันจัดระบบใหม่ได้ เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างนี้มาตลอดกาล ก่อนสมัยรัฐชาติเมื่อสองร้อยปีก่อน คนอยู่กันเป็นชุมชน ไม่ใช่ในรัฐชาติ


ดังนั้นสำหรับคนก้าวหน้า ที่อยากเห็นความสงบ อยากเห็นความเป็นธรรมสำหรับพี่น้องชาวใต้ และอยากเห็นสิทธิเสรีภาพที่แท้จริงในสังคมของเรา ที่ประกอบไปด้วยหลากหลายเชื้อชาติ แต่ไม่เคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราต้องเรียกร้องให้มีการถอนทหารตำรวจออกไปจากภาคใต้ ยกเลิกกฏหมายฉุกเฉินทุกชนิดเพราะล้วนแต่เป็นกฏหมาย “ปราบปราม” ทั้งนั้น เราต้องยืนขึ้นท้าทายความคลั่งชาติ การเคารพธงชาติที่ใช้กดขี่ “คนต่าง” เราต้องเรียกร้องให้มีการลงโทษฆาตกรรัฐทั้งหลาย ทั้งทหารและนักการเมือง ทั้งที่ทำในภาคใต้และที่กรุงเทพฯ 


แต่การเรียกร้องเฉยๆ ที่ไปหวังให้พวกข้างบนทำอะไรให้เราคงไม่มีประโยชน์ เราต้องรวมตัวกันเป็นองค์กรทางการเมือง เชื่อมกับขบวนการแรงงาน เชื่อมกับชุมชนต่างๆ เพื่อเป็นปากเสียงให้คนที่ถูกกดขี่ ไม่ว่าจะเป็นมาเลย์มุสลิม คนจนในภาคอีสาน คนงานที่ไม่มีสหภาพแรงงาน สตรี นักโทษการเมือง หรือคนโรฮิงญา 

(ที่มา) 

Wake Up Thailand

Wake Up Thailand
 


Wake Up Thailand ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556  ตอนที่ 2
เมื่อนิรโทษกรรม ไม่ใช่จุดหมายร่วม 
http://www.dailymotion.com/video/xxht93_yy-yy- 


ความซับซ้อนที่ตามมา  จากการตาย 16 ศพที่ภาคใต้
 
Wake Up Thailand ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556  ตอนที่ 1
ความซับซ้อนที่ตามมา จากการตาย 16 ศพที่ภาคใต้ 

The Daily Dose ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556

The Daily Dose ประจำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2556


อภิสิทธิ์แก๊งค์ไอติมต้องออก...เปิดให้พรรคปฏิรูป 
 
อภิสิทธิ์แก๊งค์ไอติมต้องออก...เปิดให้พรรคปฏิรูป 
http://www.youtube.com/watch?v=QAKAyO4LqZk

Divas Cafe ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556

Divas Cafe ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 
 


วาเลนไทน์สไตล์นักมานุษยวิทยา กับ อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร 
http://www.dailymotion.com/video/xxhus3_yyyyyyyy 

รักที่จะขัดคำสั่ง : ความตายของวาเลนไทน์

รักที่จะขัดคำสั่ง : ความตายของวาเลนไทน์

 


นักโทษชายวาเลนตีนูส (Valentinus) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ นักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) เป็นภาพตัวแทน (Representative) ของ “เทศกาลแห่งความรัก” ซึ่งประวัติความเป็นมาของเขาได้เล่าถึง การถูกตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยวิธีตัดศีรษะด้วยข้อหาขัดคำสั่งของจักรพรรดิ โรมัน [1] ก่อนอื่น ต้องยอมรับว่า ประวัติความเป็นมาของวาเลนตีนูส มีความคลุมเครือและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อยู่หลายส่วน อย่างไรก็ตาม การสังหารหมู่แบบไม่มีเหตุผล (Great Persecution) [2] ตามบันทึกในประวัติศาสตร์โรมันก็มีอยู่จริง เป็นไปได้ว่า วาเลนตีนูส ในฐานะนักบวชชาวคริสต์อาจเป็นเหยื่อรายแรกๆ ของความอยุติธรรมนั้น ซึ่งวีรกรรมของเขาคงทำให้หลายคนเกิดความประทับใจจนเป็นที่เล่าขานสืบต่อกัน มาในลักษณะตำนาน นั่นคือ ความกล้าหาญที่จะขัดคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยความรักและมนุษยธรรม